บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 102 ราวกับเทพเซียนผู้ถูกเนรเทศ ทว่าเย่อหยิ่งเกินไป
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 102 ราวกับเทพเซียนผู้ถูกเนรเทศ ทว่าเย่อหยิ่งเกินไป
ปรมาจารย์วิถียุทธ์!
ใบหน้าอาวุโสหลีแปรเปลี่ยนกะทันหัน ความขุ่นเคืองก่อนหน้าสลายสิ้น
ในเวลานี้ แม้แต่เฉินจินหลงและคนอื่นต่างก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์เริ่มไม่ถูกต้องแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังรับชมฉากนี้ ทุกคนจึงเข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดชายหนุ่มชุดม่วงจึงดูมั่นใจนัก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตัวตนของชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นสูงส่งและพิเศษยิ่ง!
แต่สิ่งที่ทำให้เฉินจินหลงและคนอื่นสับสนก็คือ ตัวตนอันสูงส่งเช่นนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้… กลับแสดงท่าทีเคารพ!
มองเห็นชายชราร่างผอม ดวงตาหวงเฉียนจวินเบิกกว้างพลางกล่าวขึ้น “พี่ซู นั่นมันชาวประมงที่เราเห็นเมื่อตอนลงเรือไม่ใช่หรือ? เขา เขา…เขาเป็นปรมาจารย์วิถียุทธ์จริงหรือ?”
ไม่แปลกใจที่เขาจะตกตะลึง
ครั้งอยู่ที่ท่าเรือ ซูอี้ชี้สุ่มออกไปและกล่าวว่าชายชราร่างผอมที่กำลังล้างอวนจับปลาริมแม่น้ำเป็นปรมาจารย์วิถียุทธ์
ทว่าหวงเฉียนจวินไม่เชื่อ โดยคิดว่าซูอี้เพียงชี้ส่งเดช ความแตกต่างในการรับรู้และตัวตน เป็นเหตุนำพามาซึ่งอคติและความขัดแย้ง
ใครจะคาดคิดว่านี่คือปรมาจารย์วิถียุทธ์ตัวจริง!
หวนนึกถึงเรื่องนี้ หัวใจของหวงเฉียนจวินปั่นป่วน ในที่สุดก็เข้าใจความหมายของการมีตาหามีแววไม่ โง่เขลาราวกับถูกใบไม้บังตา
ได้ยินถ้อยคำหวงเฉียนจวิน เฝิงเสี่ยวเฟิงและคนอื่นล้วนตกตะลึง
ปรมาจารย์วิถียุทธ์!
การดำรงอยู่เหมือนกับมังกรสวรรค์!
ตัวตนเช่นนี้ในมหานครอวิ๋นเหอ เรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่ที่กระทืบเท้าหนึ่งครั้งสั่นสะเทือนสามหน!
“คารวะคุณชายซู”
หลังจากที่จางตั้วและคนอื่นเข้ามา พวกเขาก็เดินตรงไปทักทายซูอี้
ครั้งที่อยู่บนเรือ พวกเขาล้วนเห็นท่วงท่าเพลงดาบไร้เทียมทานเหนือปรมาจารย์ของซูอี้
เป็นดาบนั้นที่ช่วยเหลือโจวจือหลีและทุกคนไว้ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสพบเจอซูอี้อีกครั้ง แล้วจะไม่ให้เกียรติได้อย่างไร?
“ผู้เฒ่าชรามู่จงถิง คารวะคุณชายซู”
ชายชราร่างผอมก้าวมาด้านหน้าด้วยรอยยิ้ม ประสานมือคารวะขึ้นกล่าวคำออก
ครั้งซูอี้และคนอื่นมาถึงหน้าประตูภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ เมื่อเห็นโจวจือหลีและชิงจินถูกดูดความสนใจ มู่จงถิงจึงอดถามไม่ได้
จากคำอธิบายของโจวจือหลี เขาจึงได้ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับความเลิศล้ำของซูอี้ในการพลิกผันสถานการณ์บนเรือ จึงรู้สึกชื่นชมบุรุษหนุ่มอย่างท่วมท้น
แลเห็นทุกคนทำความเคารพซูอี้ ในเวลานี้ใครบ้างจะไม่รู้ว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว?
รับชมฉากนี้ ทำให้ทุกคนตาพร่ามัว ทั้งอารมณ์ยังปั่นป่วนยิ่ง
แลเห็นดังนั้นนายหญิงชุ่ยอวิ๋นประสานมืออย่างเร่งรีบ ถ้อยคำสุภาพกล่าวออก “กลายเป็นว่าท่านมู่อยู่ที่นี่ ขออภัยที่ข้าน้อยไม่รู้มาก่อน จึงไม่ได้ออกมาพบเป็นการส่วนตัว โปรดท่านมู่ให้อภัย”
มือและเท้าอาวุโสหลีเย็นเยียบ ใบหน้าซีดขาวไร้สี
มู่จงถิงผู้ว่าเขตปกครองหย่งเหอ ปรมาจารย์วิถียุทธ์ขอบเขตหลอมกำเนิดขั้นที่สองจากห้าขั้น ใครบ้างจะไม่รู้จักเขา?
“ฟังคำแนะนำข้า การตัดลิ้นสมควรเป็นการลงโทษเบาที่สุด ไม่เช่นนั้น แม้แต่ตัวข้าก็ไม่อาจรักษาภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ของเจ้าไว้ได้”
มู่จงถิงหันมองนายหญิงชุ่ยอวิ๋น ถ้อยคำกล่าวออกแฝงความนัย
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นกระวนกระวายใจ ดวงตาคู่งามเหลือบมองชายหนุ่มในชุดคลุมม่วงซึ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่ไม่ไกล
จากนั้นนางก็หันมองซูอี้ที่นั่งอยู่ที่เดิมอย่างสงบตั้งแต่ต้นจนจบ ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าซูอี้นั้นไม่ได้หยิ่งผยอง
ไม่จำเป็นต้องใช้ป้ายหยกม่วงเพื่อกลายเป็นเสือ
เพราะเขามีความมั่นใจอยู่แล้ว!
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นสูดหายใจลึก หันมองอาวุโสหลีด้วยท่าทีไม่แยแส ก่อนกล่าวถ้อยคำออก
“อาวุโสหลี จำสิ่งที่ข้าพูดก่อนขึ้นมาได้หรือไม่ อย่าเข้ายุ่งเกี่ยว อย่าพูดจาไร้สาระ เจ้า… จงแก้ไขมันด้วยตัวเองซะ”
อาวุโสหลีสีหน้าเศร้าหมองขณะพึมพำ “มันเป็นหายนะจากปากข้าเอง ผู้เฒ่าชราสายตาพร่ามัวมองเห็นผิดไป จึงมีราคาที่ต้องจ่าย!”
กรึบ!
สีหน้าเผยความเจ็บปวด เลือดไหลย้อยจากริมฝีปากที่ปิดแน่น
จากนั้น มืออันสั่นเทาของเขาจับลิ้นเปื้อนเลือดออกจากปาก ก่อนโค้งศีรษะลงในทิศทางของซูอี้
รับชมฉากนองเลือดนี้ เฉินจินหลงและผู้อื่นใบหน้าซีดเผือด
พวกเขาทุกคนต่างรู้จักอาวุโสหลี คนผู้นี้เป็นลูกน้องที่น่าเชื่อถือมากที่สุดของนายหญิงชุ่ยอวิ๋น ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังด้วยการบ่มเพาะขอบเขตรวบรวมลมปราณ
ตัวตนของเขาทัดเทียมกับผู้นำตระกูลหลายคนในเมือง
แต่ตอนนี้ เขาทำได้เพียงกัดลิ้นและก้มศีรษะยอมรับความพลาดพลั้งของตนเอง!
“คุณชายซู คิดอย่างไรกับเรื่องนี้?” โจวจือหลีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ซูอี้เพียงโบกมือ เกียจคร้านเกินจะกล่าวถ้อยคำใด
โจวจือหลีพยักหน้า ก่อนหันไปทางนายหญิงชุ่ยอวิ๋น “ให้เขาลงไปรักษาตัว ส่วนเจ้าอยู่คุยกับเราเรื่องอื่นต่อ”
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นลอบถอนหายใจ เร่งรีบกล่าวเตือนอาวุโสหลี
เขาหันหลังเดินจากไป แลเห็นแผ่นหลังอันหมองหม่น
ซูอี้ลุกขึ้นยืน มองโจวจือหลีและกล่าวออก “ในเมื่อเจ้าต้องการทดแทนหนี้บุญคุณครั้งก่อน เช่นนั้นเจ้าต้องจัดการเรื่องวันนี้… ซึ่งข้าขอเพียงข้อเดียวเท่านั้น อย่าให้เรื่องนี้รั่วไหลออกไปแม้เพียงเสี้ยวเดียว”
เขาเพิ่งมาถึงมหานครอวิ๋นเหอวันนี้ หากสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่แพร่งพรายออกไปถึงหูเหล่าศัตรู มันไม่ใช่เป็นการบอกเตือนศัตรูของเขาให้หลบลี้ไปหรืออย่างไร?
นั่นไม่ใช่สิ่งที่ซูอี้ต้องการเห็น
โจวจือหลีกล่าวถ้อยคำผิดหวัง “คุณชายซู จัดการเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้นับว่าเป็นการแทนคุณใหญ่ครั้งนั้นได้อย่างไร? แต่อย่าได้กังวล ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
เปลือกตามู่จงถิงกระตุกไหว ซูอี้ผู้นี้กล้าสั่งองค์ชายหกทำสิ่งต่าง ๆ แต่ขณะเดียวกันองค์ชายหกกลับดูยินดี…
รับชมสิ่งนี้ทำให้เขาตระหนักได้ว่าซูอี้ไม่ใช่คนธรรมดายิ่งกว่าที่คิด
“ไปกันเถอะ” ซูอี้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมผลักรถเข็นของเฝิงเสี่ยวเฟิง เอ่ยเรียกหวงเฉียนจวินและคนอื่นให้ออกไปพร้อมกัน
ครั้งถึงหน้าประตู เขาพลันฉุกคิดบางสิ่งและกล่าวออก “อีกอย่าง ไม่ต้องสร้างความลำบากให้เถ้าแก่เนี้ยชุ่ยอวิ๋น นางเป็นคนฉลาด”
“ที่สำคัญ ค่าใช้จ่ายงานเลี้ยงวันนี้ อย่าลืมช่วยข้าจ่ายด้วย” เมื่อจบประโยคซูอี้และพวกหวงเฉียนจวินออกไป
ห้องโถงตกอยู่ในความเงียบ
ไม่ว่าจะเป็นพวกเฉินจินหลงหรือนายหญิงชุ่ยอวิ๋น พวกเขาทั้งหมดล้วนจับจ้องไปที่โจวจือหลี
เมื่อซูอี้ไม่อยู่แล้ว ท่าทีของโจวจือหลีแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
เขานั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทีวางอำนาจ “บอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่มาทั้งหมด พูดให้กระชับและเรียบง่าย ข้าไม่ชอบเรื่องไร้สาระ”
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เห็นอย่างกระชับและตรงประเด็น
“กลายเป็นว่าตระกูลเซียวกำลังติดพันซูอี้…”
เมื่อโจวจือหลีรู้ว่าซูอี้ใช้ป้ายหยกม่วงเพื่อจัดงานเลี้ยงในโถงธารคีรีของชั้นเก้า เขาอดไม่ได้จะถอนหายใจ “ไม่ทราบเลยว่าเป็นใครในตระกูลเซียวที่มีไหวพริบเช่นนี้ เขาได้ตัดหน้าข้าก่อนแล้ว”
หัวใจนายหญิงชุ่ยอวิ๋นสั่นสะท้าน “คุณชายซูกล่าวไว้ว่า เขาได้รับป้ายหยกนี้จากผู้อาวุโสเซียวเทียนเชวี่ย”
ดวงตาโจวจือหลีหรี่เล็กลง ก่อนกล่าวถ้อยคำออก “กลับกลายเป็นผู้อาวุโสเซียวนี่เอง ถูกต้องแล้ว เฉพาะผู้มีสติปัญญาเลิศล้ำเช่นผู้อาวุโสเซียวเท่านั้น จึงจะสามารถเห็นความพิเศษของซูอี้ได้”
“เซียวเทียนเชวี่ย…” มู่จงถิงประหลาดใจเช่นกัน
นั่นคือจวิ้นอ๋องหลานหลิง ผู้มีชื่อเกรียงไกรไปทั่วหล้า!
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะสำนึกผิดในใจ เป็นรื่องน่าขันที่นางและอาวุโสหลีนึกคิดไปว่าซูอี้โป้ปด
ใครจะคาดคิด ป้ายหยกม่วงนี้เป็นของขวัญจากเซียวเทียนเชวี่ยจริง!
แต่แม้ป้ายแผ่นเล็กนี้จะมีอำนาจน่าสะพรึง ผู้ถือมันกลับน่าหวั่นเกรงยิ่งกว่า!
“ซูอี้เพิ่งบอกกล่าวว่าเจ้าเป็นคนฉลาด เช่นนั้นข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”
ถัดจากนั้น โจวจือหลีกล่าวถ้อยคำเอาแต่ใจ “แต่เรื่องวันนี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง อย่างน้อยก็อย่าทำให้ซูอี้ผิดหวัง เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นกล่าวเสียงค่อย “ทุกสิ่งอย่างจะเป็นไปตามคุณชายปรารถนาเจ้าค่ะ”
โจวจือหลียิ้มพอใจ ก่อนหันมองมู่จงถิงและกล่าวออก “ท่านมู่ ตัวตนของข้าคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เหตุใดท่านจึงไม่จัดการปัญหาในวันนี้แทนข้าล่ะ?”
มู่จงถิงยิ้มตอบ “เรื่องเล็ก ข้าเป็นผู้ว่าเขตปกครองหย่งเหอ ผู้ใดอยากล้างแค้นขอให้มา”
โจวจือหลีพยักหน้ารับและกล่าวกับนายหญิงชุ่ยอวิ๋น “จงจำให้ขึ้นใจว่า เป็นท่านมู่ที่สังหารทั้งสองในคืนนี้ ส่วนเหตุผลประกอบ เจ้าคิดขึ้นเองได้เลย”
หัวใจนายหญิงชุ่ยอวิ๋นสั่นสะท้าน นางพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า
มองเห็นว่าบุคคลสำคัญอย่างมู่จงถิง จึงทำได้เพียงเชื่อฟังถ้อยคำของโจวจือหลี เห็นเช่นนี้นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าตัวตนของโจวจือหลีน่าเกรงขามเพียงใด?
หวนนึกถึงท่าทีของโจวจือหลีที่มีต่อซูอี้อีกครั้ง นายหญิงชุ่ยอวิ๋นตระหนักถึงปากที่เต็มไปด้วยความขมขื่น ไม่สามารถแก้ไขสิ่งใดได้อีก
“ส่วนคนพวกนี้…”
โจวจือหลีหันมองเฉินจินหลงและคนอื่น ๆ
จางตั้วเอ่ยคำแนะนำด้วยท่าทีจริงจัง “แค่ฆ่าทิ้งทั้งหมด ยิ่งคนรู้เรื่องราวนี้น้อยลงเท่าใดยิ่งดี จะปลอดภัยที่สุด”
เฉินจินหลงและคนอื่นหวาดกลัวจนแทบเป็นสิ้นสติ รีบเอ่ยถ้อยคำคร่ำครวญและอ้อนวอนขอความเมตตา
“ฆ่าผู้บริสุทธิ์โดยไม่เลือกปฏิบัตินั้นไม่ดี”
โจวจือหลีครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “บันทึกตัวตนพวกเขาทีละคน ไถ่ถามเกี่ยวกับเครือญาติและสหาย หากข่าวคราวรั่วไหลออกไป ไม่ว่าจะมาจากผู้ใด ให้กำจัดพวกเขาและกลุ่มคนเบื้องหลังทิ้งทั้งหมด”
บทลงโทษแบบติดร่างแห!
มันโหดเหี้ยมและเลือดเย็นอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งแม้แต่จักรพรรดิบางองค์ที่มีจิตใจอันโหดเหี้ยมก็ไม่ทำเช่นนี้
แต่อย่างน้อยก็ให้โอกาสเฉินจินหลงได้มีชีวิตอยู่ต่อ
สิ้นเสียง โจวจือหลีลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมกับมู่จงถิง
ส่วนที่เหลือให้จางตั้วและคนอื่นสะสางเรื่องราว
ในเวลานี้ นายหญิงชุ่ยอวิ๋นไม่รู้แล้วว่าควรมีความสุขหรือเศร้าโศกดี ความคิดมากมายผสมปนเปในใจ
โถงห้วงสมุทร
“เรื่องราวคลี่คลายหรือไม่?”
ชิงจินพิงราวบันไดเหม่อมองออกไปไกล พลันหันกลับมามองโจวจือหลีและมู่จงถิงที่เดินเข้ามา
“เรียบร้อยดี”
โจวจือหลีถอนหายใจแผ่วเบา “น่าเสียดายที่เป็นเรื่องเล็กเกินกว่าจะใช้ความสามารถของข้า มิเช่นนั้น บางทีซูอี้อาจได้เห็นความจริงใจและยอมทำงานให้”
ชิงจินเย้ยหยัน “แม้ว่าเจ้าไม่ได้ไป คนอย่างเขาก็มีวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง บางทีการที่เจ้าออกไปช่วย เจ้าไม่ได้ช่วยเขาแต่เป็นกลุ่มคนฝั่งตรงข้ามเขามากกว่า”
โจวจือหลียิ้มอย่างขมขื่น “อาจารย์อา อย่าทำให้ข้ารู้สึกว่าตัวเองโง่เขลาแบบนี้ได้หรือไม่?”
“ข้าแค่อยากเตือนอีกครั้งว่าคนอย่างซูอี้ ไม่มีทางรับอำนาจในมือเจ้า สิ่งที่เขาไล่ตามคงเหมือนกับตัวข้า มันเป็นการบรรลุเส้นทางเต๋า เป็นหนทางสู่ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ที่แท้จริง”
ชิงจินหวนนึกถึงทุกการพบปะกับซูอี้ ดวงตาของนางสั่นไหวราวกับสายลมพัดหวน
“ชีวิตอันเป็นนิรันดร์? วิถียิ่งใหญ่นั้นมีอยู่จริงหรือ?” มู่จงถิงอดไม่ได้จะเอ่ยถาม
ชิงจินกล่าวตอบอย่างไม่ลังเล “มีแน่นอน!”
แต่แล้วนางกลับส่ายศีรษะ หันมองฉากค่ำคืนนอกหน้าต่างพลางลอบถอนหายใจ “น่าเสียดาย ในประวัติศาสตร์ต้าโจวตั้งแต่โบราณกาล มีเพียงเทพเซียนเดินดินที่ดำรงอยู่เท่านั้น ไร้ซึ่งตัวตนที่สามารถเหาะเหินเดินบนอากาศได้ บางที… นั่นอาจเป็นเทพเซียนที่แท้จริง?”
มู่จงถิงรู้สึกทึ่ง
เขารู้จักเทพเซียนเดินดิน แต่เทพเซียนที่เหาะเหินได้จะมีลักษณะเป็นอย่างไร?
ไม่มีใครล่วงรู้ได้!
ในเวลานี้ สายตาชิงจินเหลือบเห็นซูอี้และคนอื่นเดินออกจากภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์
“ท่าทางของชายคนนี้ ราวกับเทพเซียนผู้ถูกเนรเทศ ทว่าเขาเย่อหยิ่งเกินไป”
รับชมร่างสูงและโดดเดี่ยวของซูอี้ ชิงจินพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา