บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1029: เหลือทน!
ตอนที่ 1029: เหลือทน!
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยตะลึงงัน
หนึ่งตัวตนขอบเขตจักรพรรดิถูกตบจนเข่าทรุดง่าย ๆ เช่นนี้หรือ!?
เขารู้สึกได้เพียงความว่างเปล่าที่อยู่ในหัว ความรู้ความเข้าใจคลับคล้ายถูกล้มล้าง
แม้เขาจะคาดเดาไว้แล้วว่าซูอี้ผู้กลับมหาทวีปคังชิงมายามนี้อาจมีอำนาจพอจะสังหารจักรพรรดิได้ แต่ก็ไม่คาดเลยว่าตัวตนจักรพรรดิจากตระกูลเยี่ยจะรับหนึ่งฝ่ามือจากเขายังไม่ได้…
อาคังและคนอื่น ๆ ทะยานร่างออกจากในถ้ำอุกกาบาตแล้ว และบังเอิญได้เห็นภาพนี้เข้าพอดี พวกเขาจึงอดตะลึงไม่ได้
เมื่อไม่กี่วันก่อน เยี่ยอวิ๋นเจี่ยนำกลุ่มยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยโผล่มา ทำลายนครหลวงจิ๋วติ่งลงได้อย่างแสนง่าย
ทว่ายามนี้ เจ้าสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้แสนน่ากลัวกลับถูกสยบได้ด้วยหนึ่งฝ่ามือจากซูอี้!
ใครเล่าจะไม่แปลกใจ?
“สารเลว!!”
ใบหน้าของเยี่ยอวิ๋นเจี่ยแดงก่ำ เดือดดาลด้วยความอับอาย “ข้าจะทำอันใดเจ้าไม่ได้เลยจริงหรือ?”
อำนาจทั่วร่างของเขาพลุ่งพล่านทวีกำลัง!
ทั่วเขตแดนสั่นสะเทือนรุนแรง สถานการณ์แปรผัน
ปราณแห่งขอบเขตจักรพรรดิผุดพรายจากร่างของเยี่ยอวิ๋นเจี่ยอย่างเงียบงัน
ตู้ม!
อำนาจแห่งกฎสวรรค์ซึ่งปกคลุมมหาทวีปคังชิงปั่นป่วน เห็นได้ชัดว่ามีปราณโกลาหลทิ้งตัวลงจากนภา พยายามข่มพลังของเยี่ยอวิ๋นเจี่ยไว้
ภาพนี้ทำให้ทุกคนตัวสั่นหวาดกลัว และตระหนักถึงลางร้าย
ทว่าเยี่ยอวิ๋นเจี่ยไม่ได้สนใจสิ่งนั้นอีกต่อไป
ยามนี้เขายอมถูกกฎสวรรค์ย้อนโจมตี แต่ขอจัดการกับซูอี้ก่อน!
อำนาจที่ชายหนุ่มผู้นี้ถือครองท้าทายสวรรค์มากเกินไป มันร้ายกาจเหนือความคาดหมาย หากไม่ปราบเสียยามนี้ มันจะนำมาซึ่งปัญหาไร้สิ้นสุด!
“จงตื่น!”
เยี่ยอวิ๋นเจี่ยตะโกน
แสงวิถีเจิดจ้าทั่วสรรพางค์ ดีดฝ่ามือสีทองที่กดร่างของเขาไว้ออกไป และลุกขึ้นจากพื้น
ยามนั้น เส้นผมและหนวดเคราของเขาพริ้วไสว อาภรณ์พัดพลิ้ว ดวงตาเย็นชาดุจกระแสอสนีบาต เปี่ยมด้วยปราณจักรพรรดิยิ่งใหญ่ดุจเทพ
แค่พลังในร่างของเขา จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย อาคังและคนอื่น ๆ ก็ถูกกดดันเสียจนไม่อาจหายใจ รู้สึกไร้พลังราวมดแมลง
ตู้ม!
ปราณโกลาหลกดลงมายังร่างของเยี่ยอวิ๋นเจี่ย สร้างบาดแผลและโลหิตหลั่งไหลจากร่างของเขา
ทว่าด้วยพลังมหาวิถีที่โคจรอยู่ของเขา เขาก็ต้านพลังกฎสวรรค์ของมหาทวีปคังชิงทิ้งไป!
อำนาจวิเศษนี้ทำให้หัวใจของทุกคนจมสู่ก้นหุบเหวน้ำแข็ง
นี่หรือ พลังที่แท้จริงของขอบเขตจักรพรรดิ!?
ดวงตาของเยี่ยอวิ๋นเจี่ยกะพริบเปิดปิด จิตวิญญาณพลุ่งพล่าน และกล่าวอย่างเย็นชา “มารหัวขนน้อย เจ้าควรรู้สึกโชคดีที่บีบให้ข้าต้องทำเช่นนี้…”
ก่อนจะทันพูดจบ เขาก็เห็นว่าในแววตาของซูอี้เจือความดูแคลน อีกฝ่ายทำเพียงซัดฝ่ามือโดยไม่คิดมากความ
ตู้ม!
ฝ่ามือสีทองกว้างราวหนึ่งจั้งฟาดใส่อากาศ
ภายใต้สายตาตกตะลึงของเหล่าผู้ชม เยี่ยอวิ๋นเจี่ยผู้เผยบรรยากาศน่ากลัวราวเทพเซียนกลับอ่อนแอเยี่ยงแมลงวันยามเผชิญฝ่ามือนี้ จากนั้นเขาก็ถูกฟาดร่วงลงพื้น
ผิวกายปริแตก กระดูกป่นหัก ร่างของเขายังไม่ทันถึงพื้น โลหิตก็ทะลักไหลจากปาก หู จมูกและตา ใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด
โดยเฉพาะเสียงกรีดร้องที่โหยหวนราวหมูถูกเชือด
ปุ!
ยามเมื่อเขาร่วงลงกระทบหล้า สภาพของเยี่ยอวิ๋นเจี่ยก็โชกไปด้วยเลือดแล้ว
ภาพนี้ทำให้จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย อาคังและคนอื่น ๆ ตกตะลึงพรึงเพริด
ความย้อนแย้งนั้นใหญ่หลวงเกินไป
ใครเล่าจะคิดว่าเยี่ยอวิ๋นเจี่ยผู้สำแดงฤทธาแห่งจักรพรรดิจะยังไม่อาจหาญสู้?
ยิ่งกว่านั้นคือ เขายังบาดเจ็บสาหัสด้วยหนึ่งฝ่ามือ!
เรื่องน่าขำที่สุดคือกฎสวรรค์แห่งมหาทวีปคังชิงยังฉวยโอกาสนี้ฟาดใส่เยี่ยอวิ๋นเจี่ยราวชดเชยส่วนที่ขาดหาย ฟาดฟันร่างของเขาพังทลายสั่นกระตุกอย่างรุนแรงราวสติใกล้คลั่ง
ความเสียหายรุนแรงเสียจนแม้จักรพรรดิจากตระกูลเยี่ยจะอับอายกรุ่นโกรธเพียงไร เขาก็ยังต้องผนึกอำนาจจักรพรรดิของเขาอีกครั้งทันที
หาไม่ เขาได้ตายแน่!
“เอาสิ ลุกขึ้นมา พูดต่อสิ”
ซูอี้เดินมาหา
จักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำอย่างเยี่ยอวิ๋นเจี่ยอาจจะสามารถกร่างอำนาจในมหาทวีปคังชิงทุกวันนี้ได้
ทว่าในสายตาของซูอี้ มันไม่ต่างอันใดกับมดแมลงเลย
นั่นก็เพราะเขาเคยสังหารตัวตนจักรพรรดิแบบนี้มามากมายนับไม่ถ้วนตั้งแต่ยังอยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณแล้ว!
“อย่าเข้ามานะ!”
เยี่ยอวิ๋นเจี่ยกรีดร้อง ร่างสะท้านทั่วด้วยตระหนกตกใจ
หัวใจของผู้คนสะท้านสั่นอีกครั้ง
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยจำเรื่องเมื่อคืนไม่กี่วันก่อนได้ ยามที่เยี่ยอวิ๋นเจี่ยปรากฏขึ้น บนอากาศ เขาทำลายภูเขาเทียนหมางในดาบเดียว ทำให้ราชวงศ์ต้าเซี่ยต้องดับดิ้นอย่างน่าอนาถ
ยามนั้น เยี่ยอวิ๋นเจี่ยช่างอหังการไร้เทียมทานดุจเทพ
ทว่ายามนี้ เขากลับเหมือนสุนัขเฒ่าบาดเจ็บที่ร่างสั่นงันงกทั้งวันคืน สภาพน่าเวทนา!
อาคังและคนอื่น ๆ ต่างตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ ไม่อาจจินตนาการได้ว่าตัวตนร้ายกาจผู้เกือบเอาชนะพวกนางเมื่อกาลก่อนจะแสนปวกเปียกเมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้
“เหลือทนจริง ๆ”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ
ยามนี้ เขาเปี่ยมด้วยโทสะและจิตสังหาร และก่อนที่เขาจะได้เวลาระบาย เยี่ยอวิ๋นเจี่ยก็ทรุดลงร่อแร่ ซึ่งทำให้เขาไม่สบอารมณ์เสียเลย
“ซูอี้ ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็มีเลือดตระกูลเยี่ยไหลเวียนอยู่ และข้าก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของแม่เจ้า เจ้า… เจ้าฆ่าข้าไม่ได้นะ!”
เยี่ยอวิ๋นเจี่ยกล่าวเสียงสั่น
เส้นผมของเขายุ่งเหยิง ปนเปื้อนด้วยฝุ่นและเลือด ย่ำแย่ยิ่งกว่าขอทานข้างถนน
เขากล่าวพลางกระเสือกกระสนคลานกับพื้น ก้มหัวกล่าว “อีกอย่าง เรามาที่นี่เพื่อเชิญเจ้ากลับตระกูล ไร้เจตนาทำร้ายเจ้า ขอเพียงเจ้าไม่ฆ่าข้า ข้ารับปากว่าเจ้าจะได้รับสืบทอดมรดก พิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิได้นะ!”
เขาหอบหายใจถี่รัว เงยหน้าขึ้นมองซูอี้ “ลุงของเจ้า เยี่ยอวิ๋นหลันน่าจะบอกเจ้าแล้วว่ามรดกนั้นน่าเหลือเชื่อเพียงไหน เจ้ามีเลือดแม่เจ้าอยู่ในกาย มีคุณสมบัติมากพอจะสืบทอดมรดกนี้นะ!”
พิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิ!
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยและอาคังอดตกตะลึงไม่ได้ แม้จะรู้ชัดเจนว่าเยี่ยอวิ๋นเจี่ยทำเพียงร้องขอชีวิต แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในตระกูลเยี่ยมีมรดกเช่นนี้อยู่จริง
ทว่า ซูอี้กลับกล่าวอย่างเฉยเมย “เยี่ยอวิ๋นหลันไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าตระกูลเยี่ยของพวกเจ้าไม่ได้อยู่ในสายตาข้าแม้แต่น้อย?”
เยี่ยอวิ๋นเจี่ยตะลึงค้างราวไม่อาจเข้าใจ
ซูอี้กล่าวต่อ “ยิ่งกว่านั้นคือ ข้าก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิไปแล้ว และสมบัติของตระกูลเยี่ยของเจ้า สำหรับข้าก็ไม่ต่างอันใดกับของไร้ค่า”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว ผู้ฟังทั้งหลายต่างตะลึงทันที
เป็นจักรพรรดิไปแล้ว!!!
ทุกคนตกตะลึงจนร่างสั่นสะท้าน
ยามนี้เอง พวกเขาจึงตระหนักว่าผ่านไปเพียงปีกว่า ซูอี้ผู้กลับมายังมหาทวีปคังชิงในครานี้ได้เป็นจักรพรรดิไปแล้ว!
“จักรพรรดิ? เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้!”
เยี่ยอวิ๋นเจี่ยกรีดร้องราวถูกทำร้ายจิตใจสถานหนัก “ข้ารู้พื้นเพของเจ้า ปีนี้เจ้าอายุเพียงสิบเก้า และปีก่อนเจ้าก็เพิ่งก้าวสู่วิถีวิญญาณ จะใช้เวลาเพียงหนึ่งปีก่อนก้าวเป็นจักรพรรดิได้เช่นไร?”
อันที่จริง ไม่แปลกใจเลยที่เยี่ยอวิ๋นเจี่ยจะกระทำการหยาบคายเช่นนี้
หากเปลี่ยนเป็นจักรพรรดิคนอื่นมารู้ว่าซูอี้ใช้เวลาเพียงสองปีกว่าในการข้ามผ่านวิถีวิถียุทธ์ วิถีต้นกำเนิดและวิถีวิญญาณเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิได้ เขาคงตะลึงจนสิ้นปัญญาเป็นแน่
กระทั่งในที่เช่นภูมิมืดมิดและมหาแดนดิน การเลื่อนขอบเขตรวดเร็วเช่นนี้ยังไม่อาจหาใดเทียบ!
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยและอาคังเองก็ตะลึงไม่ต่างกัน
“เจ้าจะตายอยู่แล้ว จะเชื่อหรือไม่ก็ช่าง”
ซูอี้กล่าว คว้าร่างของเยี่ยอวิ๋นเจี่ยยกขึ้นสู่อากาศ ดวงตาเฉยเมยสงบเงียบ “ทว่าก่อนเจ้าตาย ข้าไม่คิดมากหากจะบอกเรื่องหนึ่งให้เจ้าตายตาหลับ”
เยี่ยอวิ๋นเจี่ยกลัวหัวหดจนไม่อาจกล่าววาจาใดได้
ซูอี้กล่าวเบา ๆ “ตระกูลเยี่ยของเจ้าได้แตะเกล็ดย้อนของข้าเข้าแล้ว และครานี้ ข้าจะล้างทั้งตระกูลตามเจ้าไป”
วาจาเฉยเมยไร้อารมณ์นี้ทำให้เยี่ยอวิ๋นเจี่ยตัวสั่น ตะลึงนิ่งทั่วร่าง คนผู้นี้… คิดล้างตระกูลเยี่ยของพวกเขาหรือ!?
ตู้ม!
โดยไม่รีรอให้เยี่ยอวิ๋นเจี่ยครุ่นคิด ร่างของเขาก็แตกสลาย เลือดเนื้อแปรเป็นเถ้าถ่าน
“ไม่!”
วิญญาณของเยี่ยอวิ๋นเจี่ยกรีดร้องอย่างหวาดกลัว ดิ้นรนสุดชีวิต
ทว่าในเวลาเพียงอึดใจ เขาก็ถูกซูอี้กักวิญญาณและสืบค้น
ครู่ถัดมา ซูอี้ก็ปัดฝ่ามือ และวิญญาณของเยี่ยอวิ๋นเจี่ยก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
จักรพรรดิจากตระกูลเยี่ยผู้นี้ ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่อาจต่อต้านขัดขืนได้ และถูกสังหารอย่างหมดจด ณ ยามนี้เอง!
สายลมหวีดหวิวท่ามกลางนภากว้างใหญ่
อาภรณ์เขียวของซูอี้ไร้จุดด่างพร้อย
ทว่าด้วยความเรียบง่ายนี้ เขากลับสังหารจักรพรรดิราวบี้มดได้!
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย อาคังและคนอื่น ๆ ที่เห็นเรื่องราวทั้งหมดนี้ต่างรู้สึกเหนือจริงราวฝันเฟื่อง หัวใจของพวกเขาตะลึงอึ้งจนไม่อาจเปรียบเปรย
สำหรับพวกเขา ขอบเขตจักรพรรดินั้นเหมือนตำนาน ไร้เทียมทานดุจเทพ
โดยเฉพาะเมื่อการจองจำแห่งยุคมืดเข้าปกคลุมมหาทวีปคังชิงเมื่อสามหมื่นปีก่อน โลกนี้ก็ไร้จักรพรรดิที่แท้จริงมานับแต่ยามนั้น
ดังนั้น เมื่อได้เห็นจักรพรรดิในตำนานถูกซูอี้ตบตีสังหารตามใจเหมือนเป็นไก่เป็นสุนัข ความตกใจก็มหาศาลยิ่งนัก
ในฐานะจิตวิญญาณต้นกำเนิดผู้ก่อเกิดจากที่มาแห่งคังชิง อาคังย่อมเคยเห็นตัวตนของจักรพรรดิเยี่ยงหยวนหมอเทียน ราชันย์ปีศาจพระสุเมรุมาก่อน และครั้งหนึ่งเคยเป็นสหายต่อกัน
ทว่าอาคังไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าไฉนซูอี้จึงร้ายกาจเสียจนสังหารจักรพรรดิได้เยี่ยงเชือดไก่ฆ่าสุนัขหลังไม่ได้พบกันแค่ปีกว่า!
“ไฉนพวกเจ้าจึงมองข้าราวไม่รู้จักกันเยี่ยงนี้เล่า?”
ซูอี้หันกลับมาพูดยิ้ม ๆ
ดวงตาของเขากวาดมองใบหน้าของอาคัง เหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่น หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ ส่วนหัวใจวิถีของเขาซึ่งเดิมเต็มไปด้วยโทสะกับจิตสังหารก็ผ่อนลงเล็กน้อยในที่สุด
ด้วยวาจานั้น ทุกคนก็ดูราวเพิ่งตื่นจากฝัน
“พี่ซูอี้ ที่แท้ก็เป็นพี่จริง ๆ! ข้าก็นึกไปเสียแล้วว่ามีเทพเซียนจุติจากฟ้าลงมาช่วยเรา”
เหวินหลิงเสวี่ยกล่าวอย่างปรีดา น้ำเสียงของนางกังวานใส และพุ่งเข้ามาหาเขาทันที
ในอดีต นางจะสวมกอดซูอี้โดยไม่ลังเล เพราะนางคุ้นเคยกับความใกล้ชิดเช่นนี้ยามอยู่ในบ้านตระกูลเหวินที่เมืองกว่างหลิงแล้ว
ทว่ายามนี้ เมื่อนางมาถึงตัวซูอี้ นางก็ลังเลชั่วขณะ
ซูอี้ลูบหัวหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม วาจาของเขาอบอุ่นเปี่ยมรัก “หลิงเสวี่ยโตแล้ว เริ่มรู้แล้วว่าชายหญิงไม่ควรใกล้กันจนเกินงาม”
เหวินหลิงเสวี่ยขบริมฝีปากสีชมพูของนาง และพลันเอื้อมแขนดุจหยกของนางกอดซูอี้ไว้แน่น ศีรษะน้อยของนางวางบนอกของซูอี้อย่างแนบชิด ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงหวานใส “พี่ซูอี้ ต่อหน้าพี่ ข้าไม่สงสัยอันใดหรอก!”
หญิงสาวงดงามจิ้มลิ้ม ร่างเพรียวบาง กิริยาละเอียดอ่อนสง่างาม เรือนผมมีกลิ่นหอมสดชื่นจาง ๆ
บรรยากาศอันคุ้นเคยนี้ทำให้ซูอี้ผ่อนคลายขึ้นมาก
ไม่ว่าจะเป็นยามก่อนหรือหลังฟื้นความทรงจำในอดีตชาติ อดีตน้องภรรยาตรงหน้าเขานี้ก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างดีเสมอ
ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ในใจของซูอี้ เหวินหลิงเสวี่ยนั้นเหมือนน้องสาวผู้น่ารักคนหนึ่ง