บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 103 ระลอกคลื่น
ถนนต้นหลิว
ภายในลานบ้านทรุดโทรมที่สร้างจากอิฐโคลน
ซูอี้และเฝิงเสี่ยวเฟิงนั่งอยู่หน้าบันไดหิน ในมือต่างถือไหสุรา พูดคุยและดื่มด้วยกัน
เฝิงเสี่ยวหรานนั่งอยู่ไม่ไกล มือถือหญ้าแกล้งจิ้งหรีดบนพื้น
ส่วนอาเฟยถูกส่งกลับบ้านไปแล้ว
หวงเฉียนจวินใช้โอกาสนี้เพื่อออกไปหาซื้อบ้านในเมือง
“ศิษย์พี่ซูอี้ ท่านแตกต่างจากเมื่อก่อนจริง ๆ” เฝิงเสี่ยวเฟิงถอนหายใจ
กระทั่งตอนนี้ ก็ยังยากสำหรับเขาที่จะสงบสติลงเมื่อหวนนึกถึงแสงเงาของคมดาบที่วูบไหวในภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งอย่างเฉินจินหลง ยังทำได้เพียงคุกเข่าและก้มศีรษะลง
ตัวตนอันโดดเด่นอย่างเหนียนอวิ๋นเฉียวและเหยียนเฉิงหรง หากบอกว่าจะฆ่า ศิษย์พี่ของเขาก็ฆ่าอย่างง่ายดาย
แม้จะมีนายหญิงชุ่ยอวิ๋นและอาวุโสหลีออกหน้า ซูอี้ยังสามารถพูดคุยและหัวเราะอย่างห้าวหาญ!
และยิ่งไปกว่านั้น อำนาจเหล่านั้น แทบเรียกได้ว่าไม่ได้มาจากอำนาจของป้ายหยกม่วง!
จากนั้นโจวจือหลีและกลุ่มของเขาก็มาถึงทีละคน เฝิงเสี่ยวเฟิงตระหนักได้ว่า ศิษย์พี่ซูอี้ไม่ใช่คนเดิมที่เขารู้จักอีกต่อไป!
ขณะนี้พลังของศิษย์พี่เขาผู้นี้ แม้แต่ปรมาจารย์วิถียุทธ์ยังต้องแสดงท่าทีนอบน้อม!
“ผู้คนอาจเปลี่ยนไป แต่ข้ายังไม่ลืมว่าผู้ใดเป็นมิตรหรือศัตรู” ซูอี้จิบสุราและกล่าวตอบเป็นกันเอง
เฝิงเสี่ยวเฟิงพยักหน้ารับ ก่อนหัวเราะกับตัวเอง “ก่อนหน้านี้ข้ากังวลแทบแย่ แต่ตอนนี้ หากคนเหล่านั้นต้องการกลับมาล้างแค้น เกรงว่าจะไม่ต่างจากการปาไข่กระทบหิน ดูเหมือนว่าข้าจะกังวลมากเกินไปเอง”
ซูอี้ตบไหล่เขาพร้อมกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องน่ารำคาญเหล่านั้นเลย พรุ่งนี้เราจะย้ายบ้านกัน จากนั้นข้าจะช่วยรักษาขาของเจ้า อีกอย่างข้าจะสอนเสี่ยวหรานให้บ่มเพาะด้วย”
“รักษาขา?”
เฝิงเสี่ยวหรานเป็นคนแรกที่กล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น นางลุกขึ้นเดินมาหาซูอี้และกล่าวออก “พี่ซูอี้ พี่ชายของข้าจะฟื้นตัวได้จริงหรือ?”
นัยน์ตาลุ่มลึกและงดงามของเด็กสาวเปล่งประกายสดใสเปี่ยมล้นด้วยความหวัง
เฝิงเสี่ยวเฟิงตกตะลึง ขณะหัวใจปั่นป่วนอย่างรุนแรง
“ก็แค่กระดูกหัก แม้แต่ตัวตนอย่างพวกปรมาจารย์วิถียุทธ์ยังแก้ไขได้โดยง่ายดาย แน่นอนว่าสำหรับข้าจึงไม่มีปัญหาอะไร” ซูอี้กล่าวออกด้วยรอยยิ้ม
ถ้อยคำเหล่านี้ดังกังวานชัดเจน หากผู้อื่นได้ยิน พวกเขาคงกล่าวหาว่าซูอี้หยิ่งผยองเพ้อเจ้อ
แต่เฝิงเสี่ยวหรานกลับปลาบปลื้มใจยิ่ง “ยอดเยี่ยมไปเลย!”
เฝิงเสี่ยวเฟิงอดไม่ได้จะกล่าวถ้อยคำลังเล “ศิษย์พี่ซูอี้ หากไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าได้ฝืนกำลัง ข้า…”
ซูอี้ยิ้มกล่าว “อย่าคิดสิ่งใดให้มาก วันพรุ่งนี้เจ้าจะรู้เอง”
“พี่ซูอี้ ขอบคุณเจ้าค่ะ!”
เฝิงเสี่ยวหรานสูดหายใจเข้าลึก ก่อนโค้งคำนับลงด้วยสีหน้าจริงจังและใสซื่อ “เมื่อใดที่เติบใหญ่ ข้าจะตอบแทนบุญคุณอย่างดีด้วยช่วงชีวิตที่เหลือของข้า!”
ซูอี้หันมองเฝิงเสี่ยวเฟิงและกล่าวยิ้ม “ดูสิ แม้แต่เสี่ยวหรานยังเชื่อใจข้ามาก แล้วเจ้ามัวกังวลสิ่งใด?”
เฝิงเสี่ยวเฟิงเกาศีรษะและเผยยิ้มขมขื่น
ในหัวใจเขารู้สึกว่า ทุกสิ่งอย่างในคืนนี้ดูเกินจริง ราวกับเป็นความฝัน กลัวว่าเมื่อตื่นมาจะพบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
…
ภายในคืนเดียวกัน
หลี่โม่อวิ๋นก้าวเดินตามลำพังบนถนนอันพลุกพล่าน ทว่ากลับหนาวสะท้านในหัวใจอย่างไม่อาจอธิบายได้
ไม่นานนี้ เขาเพิ่งเห็นซูอี้และกลุ่มของเขาขึ้นรถม้าออกจากภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์โดยไม่ได้รับอันตรายใด
แต่เมื่อเขาไปภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์เพื่อสอบถามเรื่องราว กลับพบว่าข่าวคราวความสยดสยองทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับโถงธารคีรีในชั้นเก้าถูกปิดกั้นอย่างสมบูรณ์!
สิ่งที่ทำให้ระแวดระวังยิ่งกว่านั้นคือ นายหญิงชุ่ยอวิ๋นปรากฏตัวพร้อมกลุ่มคนแปลกหน้าด้วยท่าทีจำยอม และเชิญ ‘เขา’ ไปยังห้องส่วนตัว
ชายคนหนึ่งนามว่าจางตั้วกล่าวเตือนเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า เรื่องราวเกี่ยวกับงานเลี้ยงในภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ค่ำคืนนี้ห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด
มิฉะนั้น เขาและครอบครัวในเมืองกว่างหลิงจะถูกกวาดล้างสิ้น!
หลี่โม่อวิ๋นรู้สึกถึงความผิดปกติอย่างถึงที่สุด ทั้งยังเคืองโกรธและแคลงใจ
เขาไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในโถงธารคีรี แล้วเขาจะแพร่งพรายสิ่งใดได้?
แต่เขาไม่อาจเพิกเฉยต่อคำขู่นี้
เพราะนายหญิงชุ่ยอวิ๋นบอกกล่าวว่า ผู้ใดก็ตามที่ทำเรื่องราวคืนนี้รั่วไหลออกไปจะต้องตาย จะไม่มีใครได้รับการยกเว้น รวมถึงตัวนางเองด้วย!
สิ่งนี้ทำให้หัวใจหลี่โม่อวิ๋นเย็นเยียบอย่างสมบูรณ์
กระทั่งออกจากภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ เขายังรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย
“หลังจากเฉินจินหลงและคนอื่นไปยังโถงธารคีรี พวกเขาถูกซูอี้ฆ่างั้นหรือ?”
“นายหญิงชุ่ยอวิ๋นเป็นตัวตนที่ทรงอำนาจมาก แต่นางยังถูกสั่งให้ปิดปากไว้ ทั้งยังไม่กล้าขัดคำสั่ง นี่ดูราวกับไม่ใช่เรื่องจริง!”
“ซูอี้…ซูอี้… เจ้าเก็บซ่อนความลับไว้มากมายเพียงใดกันแน่!?”
ระหว่างทาง ในหัวหลี่โม่อวิ๋นเต็มไปด้วยความคิดหลากหลาย หัวใจตกอยู่ในภวังค์
ครั้งเผชิญหน้ากับซูอี้ในอดีต หลี่โม่อวิ๋นอ้างตนว่าเป็นคนรุ่นใหม่อันดับหนึ่งแห่งเมืองกว่างหลิง และถือว่าซูอี้เป็นเพียงเขยแต่งเข้าบ้านที่สูญเสียการบ่มเพาะ เป็นคนไร้ค่าโดยสมบูรณ์
และเพราะเหวินหลิงเจา เขาจึงต้องการจัดการซูอี้อย่างลับ ๆ เพื่อที่จะได้ไล่ตามนางอย่างไร้ข้อกังขา
ทว่าหลี่โม่อวิ๋นไม่คาดคิดมาก่อนว่า ซูอี้จะปิดบังความโหดเหี้ยมของตัวเองไว้!
วันที่สองเดือนสอง เขยแต่งเข้าบ้านผู้นี้ประสบความสำเร็จในงานประลองประตูมังกร สร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งสองฝั่งแม่น้ำต้าฉาง
ไม่กี่วันต่อมา หยวนลั่วซีคุณหนูตระกูลหยวนผู้มีอำนาจสูงศักดิ์ในมหานครอวิ๋นเหอ ยอมรับเขยผู้นี้เป็นแขกผู้มีเกียรติ!
แล้วมาวันนี้ ซูอี้ได้ปรากฏตัวที่ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ในมหานครอวิ๋นเหอ ทั้งได้รับการต้อนรับจากนายหญิงชุ่ยอวิ๋นและสามารถจัดงานเลี้ยงในโถงธารคีรีบนชั้นเก้า
และด้วยเหตุใดไม่ทราบได้ แต่น่าจะเป็นเพราะการดำรงอยู่ของซูอี้ ส่งผลให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในโถงธารคีรีคืนนี้ถูกปิดกั้น
แม้แต่ตัวตนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างเขา ก็ยังต้องทนรับคำเตือนและการคุกคามอันโหดเหี้ยมที่สุด!
นี่ดูเหลือเชื่อเกินไป
สำหรับหลี่โม่อวิ๋น เรื่องราวเหล่านี้ไม่ต่างจากการถูกตบครั้งแล้วครั้งเล่า
จนถึงตอนนี้ หัวใจเขาอัดแน่นด้วยความสับสน
ในภายภาคหน้า… เขาจะยังต้องการต่อสู้กับตัวตนแสนอันตรายอย่างซูอี้อีกหรือ?
ทันใดนั้น เสียงพูดคุยและหัวเราะดังขึ้นจากสถานที่ไม่ไกลนัก
หลี่โม่อวิ๋นเหลือบมองอย่างไม่ได้ตั้งใจ สายตาพลันสะดุดกับร่างงามสง่าอันคุ้นเคย
หญิงสาวสวมชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อน มวยผมขึ้นสูง เอวคอดบาง คิ้วดั่งหยก ผิวขาวยิ่งกว่าหิมะ ใบหน้าเข้ารูปดูงดงาม ทั้งยังเปี่ยมล้นด้วยความมีชีวิตชีวาและบริสุทธิ์
ภายใต้แสงจากไฟถนน นางเปรียบเสมือนเทพธิดาที่หลุดออกมาจากภาพวาด ทุกท่วงท่าดูงดงามและอ่อนช้อย
นางมาพร้อมกับกลุ่มสหายหญิงสาว เมื่อเปรียบเทียบกับนางแล้ว คนอื่นล้วนเหมือนมีใบหน้าธรรมดา
ราวกับไข่มุกท่ามกลางผืนทราย!
พวกนางพูดคุยและหัวเราะไปตลอดทาง ทั้งยังต้องประหลาดใจกับจำนวนของสายตาที่จับจ้องมายังหญิงสาว
“เหวินหลิงเสวี่ย!”
หลี่โม่อวิ๋นตกตะลึง ทันใดนั้นก็จำได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ภายใต้การจัดการส่วนตัวของเจ้าสำนักดาบชิงเหอ ซือคงสั่ว เหวินหลิงเสวี่ยไม่เพียงเข้ามาอยู่ในสำนักดาบชิงเหอเพื่อฝึกฝน แต่ยังกลายเป็นศิษย์สายในทันทีอีกต่างหาก
เหตุการณ์นี้สร้างความฮือฮาอย่างมาก
ทว่าขณะเดียวกัน ก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์มากมาย โดยกล่าวว่าเหวินหลิงเสวี่ยอาศัยความสัมพันธ์ของพี่สาวเพื่อเข้าสู่สำนักดาบชิงเหอ
ด้วยระดับการบ่มเพาะที่นางมีขณะนี้ นางไม่คู่ควรกับการเป็นศิษย์สายในแม้แต่น้อย
แม้กระทั่งศิษย์สายในสำนักคนอื่น ๆ ยังก้าวออกมาเพื่อท้าทายเหวินหลิงเสวี่ย
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้น…
ภายในสามกระบวนท่า ศิษย์สายในเหล่านั้นกลับพ่ายแพ้ไปอย่างน่าสังเวช
เหวินหลิงเสวี่ยสร้างชื่อในการต่อสู้ครั้งนั้น แล้วยังพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนเอง แม้แต่คำวิพากษ์วิจารณ์ก็หายไป
จนถึงตอนนี้ เหวินหลิงเสวี่ยได้กลายเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่ศิษย์สายใน
ไม่ใช่เพียงเพราะความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะรูปลักษณ์อันโดดเด่นหาใครเปรียบเทียบได้ไม่ เฉกเช่นเทพธิดาในภาพวาด ซึ่งทำให้หญิงสาวรอบกายดูจืดจางเมื่อถูกเปรียบเทียบ
“เฮ้อ!”
ไม่นาน หลี่โม่อวิ๋นก็ถอนหายใจ
เขาพลันหวนนึกได้สิ่งหนึ่ง เขยแต่งเข้าบ้านอย่างซูอี้ไม่เพียงแต่มีภรรยาผู้แสนเย็นชาและเด็ดเดี่ยวเช่นเหวินหลิงเจา แต่เหวินหลิงเสวี่ยยังเป็นสหายคนสนิทที่สุดของเขยผู้นี้ด้วย…
ยิ่งครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ หัวใจของหลี่โม่อวิ๋นยิ่งรวดร้าว ราวกับจะแตกสลายให้ได้
…
ตรอกหยกวสันต์
ที่ซ่อนของกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬ
เมื่อเห็นเลือดที่ไหลนองบนพื้น ผู้นำกลุ่มหลู่เฉวียนอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึก มือและเท้าเย็นเยือก
สมาชิกคนสำคัญดั่งกระดูกสันหลังของกลุ่มถูกฆ่าตายไปแล้วเจ็ดถึงแปดคน!
ครั้งรับรู้เหตุการณ์จากลูกน้อง ความตกตะลึงปรากฏบนใบหน้าเขา
“เหตุการณ์นี้… เกิดขึ้นจากการจับเด็กสาวตัวเล็กที่อาศัยอยู่ในถนนต้นหลิวอย่างนั้นหรือ?”
ถนนต้นหลิว สถานที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนยากไร้ที่สุดของมหานครอวิ๋นเหอ!
แต่ละคนไม่ต่างจากมดปลวก ดิ้นรนเอาชีวิตรอดในแต่ละวัน แม้ถูกฆ่าตายก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีปัญหาใดตามมา
แต่แล้วคราวนี้ พวกเขาจับตัวเด็กสาวธรรมดาจากถนนต้นหลิว แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นแหล่งกบดานกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬถูกถล่มย่อยยับ พี่น้องตายนับไม่ถ้วน ซึ่งทำให้หลู่เฉวียนแทบไม่เชื่อหูอยู่ครู่หนึ่ง
“ทราบหรือไม่ว่ามันเป็นใคร?”
หลังจากผ่านไปนาน หลู่เฉวียนเอ่ยถามด้วยใบหน้าซีดเผือด
ลูกน้องบริเวณใกล้เคียงต่างส่ายศีรษะ
หนึ่งในนั้นกล่าวออกอย่างลังเล “เรียนท่านผู้นำ เท่าที่เรารู้ พี่ชายของเด็กสาวคนนั้นเคยเป็นศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอขอรับ”
ท่าทีของหลู่เฉวียนแปรเปลี่ยนในทันใด
เมื่อเห็นว่าเขากำลังโกรธ ชายคนนั้นจึงรีบกล่าวต่อ “ท่านผู้นำอย่าเพิ่งโกรธไป แม้พี่ชายของเด็กสาวคนนั้นจะเคยเป็นศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอ แต่ครึ่งปีก่อนเขาถูกสำนักดาบชิงเหอทอดทิ้ง เนื่องจากเขากลายเป็นคนพิการไร้ประโยชน์ เป็นคนไร้ซึ่งอำนาจและไร้ประโยชน์ยิ่งกว่าคนธรรมดา”
หลู่เฉวียนคล้ายกับไม่มั่นใจ “ไปตรวจสอบ! อย่าลืมดูว่ามีใครติดต่อกับพี่น้องคู่นี้เมื่อไม่นานนี้ไหม! ความเกลียดชังนี้ไม่สามารถปล่อยไว้ได้ หากชัดเจนแล้ว ข้าจะไปขอให้ผู้อาวุโสอู่เทียนฮ่าวออกมาจัดการเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว!”
อู่เทียนฮ่าว!
จ้าวแห่งโลกใต้ดินฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ในมหานครอวิ๋นเหอ ถูกยกย่องจากหลายกลุ่มให้เป็นอันดับหนึ่งและยังมีชื่อเสียงในฐานะจ้าวแห่งการฆ่าฟัน
“ขอรับ!”
สมาชิกกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬต่างพยักหน้าเห็นด้วย พร้อมเผยท่าทีตื่นเต้น
“จำไว้ แค่สืบหาข่าว อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น!” หลู่เฉวียนเป็นกังวล จึงเอ่ยเตือนอีกครั้ง
คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามสามารถฆ่าล้างสมาชิกกลุ่มของเขาได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นจึงไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่
หลู่เฉวียนไม่ใช่คนโง่ เขาไม่เคยคิดต่อสู้อย่างประมาท
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
ใจกลางพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของมหานครอวิ๋นเหอ
หวงเฉียนจวินขับรถม้าพาซูอี้ เฝิงเสี่ยวเฟิง และเฝิงเสี่ยวหรานเข้ามายังตรอกที่เรียกว่า ‘น้ำเต้า*[1]’
ผู้อยู่อาศัยในตรอกน้ำเต้าแห่งนี้ล้วนร่ำรวยและมั่งคั่ง
หวงเฉียนจวินใช้เงินสามหมื่นตำลึงเมื่อคืนนี้ เพื่อซื้อบ้านขนาดใหญ่ภายในตรอก
ลานบ้านปูด้วยอิฐสีน้ำเงินและกระเบื้องดำ ล้อมรอบด้วยป่าไผ่ มีห้องห้าห้องพร้อมของตกแต่งทุกชนิด
ภายในสวนปลูกต้นทับทิม ต้นพุทรา ต้นท้อ และอีกมากมาย ซึ่งล้วนมีอายุมากกว่าสามสิบปี ต้นสูงใหญ่และดูแข็งแรง
นอกจากนี้ยังมีสวนผัก บ่อน้ำ แปลงดอกไม้ เถาองุ่น เสาหิน บ่อปลา สระบัว และอีกมากมาย สภาพแวดล้อมโดยรอบเงียบสงบมาก
รับชมฉากดังกล่าว ซูอี้อดพยักหน้ากล่าวออกไม่ได้ “ไม่เลวเลย”
หวงเฉียนจวินเฝ้าสังเกตสีหน้าของซูอี้อย่างระมัดระวังโดยตลอด เมื่อเห็นใบหน้าพอใจของอีกฝ่าย เขาพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โชคดี การออกตระเวนหาบ้านเมื่อคืนนี้ไม่เสียเปล่า!
[1] น้ำเต้า พ้องเสียงกับคำว่าอวยพร เป็นการเล่นคำระหว่าง 芦 ที่แปลว่าน้ำเต้า กับ 禄 ที่แปลว่าโชคลาภ