บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1030: เข่นฆ่าตลอดทางสู่ภูมิคังเสวียน
ตอนที่ 1030: เข่นฆ่าตลอดทางสู่ภูมิคังเสวียน
ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน เหวินหลิงเสวี่ยเคอะเขินเกินกว่าจะอยู่ใกล้ซูอี้มากเกินไป ไม่นานนางจึงปล่อยมือ และยืนอยู่ข้างกายซูอี้อย่างมีไหวพริบ
“สหายเต๋าซู เจ้าจากไปปีกว่า ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิไปแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย”
อาคังก้าวออกมาทักทายเขา
ซูอี้ดีดนิ้ว ส่งขวดโอสถหนึ่งขวดให้อาคังในอากาศ และกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “อย่ามัวทักทายเลย ไปฟื้นตัวเถอะ”
อาคังตกใจไปชั่วขณะ ก่อนจะแย้มยิ้มพยักหน้าตกลง
ซูอี้หันมองหนิงซือฮวา ฉาจิ่นและคนอื่น ๆ กล่าวว่า “ยามนี้ พวกเจ้าอยู่พักที่นี่ให้ดีก่อนเถอะ รอข้าไปเดินเล่นที่ตระกูลเยี่ย ช่วยแม่นางซินจ้าว หยวนเหิงและคนอื่น ๆ ออกมาก่อน แล้วเราค่อยพบกันอีกนะ”
จากความทรงจำวิญญาณของเยี่ยอวิ๋นเจี่ย ซูอี้จึงได้รู้ว่าตัวประกันที่ยอดฝีมือตระกูลเยี่ยจับไปได้ถูกพาไปยังภูมิคังเสวียนตั้งแต่เมื่อวานซืนที่ผ่านมา
เมื่อทุกคนได้ยินวาจา พวกเขาก็ชะงักนิ่ง และตระหนักได้ว่ายามนี้มิใช่เวลามาฉลองการกลับพบเจอ
ขวับ!
ซูอี้ฉวยภาพแผนที่คังเสวียนซึ่งอยู่ไม่ไกลมาไว้ในมือ และด้วยหนึ่งวาดฝ่ามือ รอยตราของบรรพชนตระกูลเยี่ยที่ทิ้งไว้ในสมบัตินี้ก็ถูกลบหายอย่างง่ายดาย
เพียงการเคลื่อนความคิดของซูอี้ อิงเชวียผู้ติดอยู่ในสมบัตินี้ก็ถูกปล่อยออกมาทันที
ร่างยาวสิบกว่าจั้งของมังกรเกล็ดดำบาดเจ็บสาหัส โชกเลือดเสียจนดูน่าสยดสยอง
ทว่าเมื่อเขาเห็นซูอี้ มังกรเฒ่าเกล็ดดำก็ร้องเสียงหลง “คุณชายซู!?”
ซูอี้ส่งโอสถให้เขาขวดหนึ่งพลางกล่าวอย่างอบอุ่น “รักษาตัวก่อนเถอะ”
“ขอรับ!”
อิงเชวียแปลงร่างกลับเป็นมนุษย์ และรับขวดโอสถด้วยสองมือ
“จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย เราไปภูมิคังเสวียนกันเถอะ”
ซูอี้ไม่คิดโอ้เอ้
ประการหนึ่งเป็นเพราะเขากังวลถึงความปลอดภัยของเหวินซินจ้าว หยวนเหิงกับคนอื่น ๆ และอีกประการเป็นเพราะความเกลียดชังและจิตสังหารของเขายังไม่ได้รับการปลดปล่อยอย่างแท้จริง
“ได้!”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยตอบตกลงทันที
หลังจากได้เห็นอำนาจต่อสู้อันน่าหวาดหวั่นของซูอี้แล้ว ความกังวลของเขาก็หมดไป และเหลือเพียงความเป็นห่วงสมาชิกราชวงศ์เซี่ยที่ถูกตระกูลเยี่ยจับไป
เช่นบุตรสาวของเขาเซี่ยชิงหยวน เวิงจิ่ว สุ่ยเทียนฉี และคนอื่น ๆ
“พวกเจ้าอยู่ในถ้ำอุกกาบาตกันไปก่อนนะ อย่าห่วงเลย เพราะยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยในมหาทวีปคังชิงเหลือเพียงพวกไก่อ่อน ไม่น่ากังวลแล้วล่ะ”
ซูอี้หันไปกล่าวกับพวกอาคังอย่างนุ่มนวล
ทุกคนพยักหน้าตกลง
และซูอี้กับจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็จากไปด้วยกัน
หลังจากเห็นร่างของพวกเขาหายลับไป อาคังก็ถอนหายใจโล่งอกและพึมพำ “สหายเต๋าซูแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว สมดังคำกล่าวที่ว่า นักรบไม่พบกันสามวันต้องประเมินกันใหม่จริง ๆ”
“ไม่รู้ทำไม แต่เมื่อข้าเผชิญหน้าเขา ข้าก็อดรู้สึกทึ่งและหดหู่ใจมิได้ ราวเผชิญหน้าเทวาจากสวรรค์กระนั้น”
หนิงซือฮวาสะเทือนใจ
“นี่คือความต่างของขอบเขต เหมือนเช่นกวางยามพบพยัคฆ์ ย่อมกลัวเป็นธรรมชาติ”
อิงเชวียเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ทว่าไฉนข้าจึงไม่รู้สึกกัน แล้ว… ข้าก็ไม่รู้เลยว่าพี่ซูอี้น่ากลัวเพียงไร”
เหวินหลิงเสวี่ยกะพริบตากระจ่างด้วยสีหน้างุนงง
“นั่นเพราะหัวใจเจ้าสยบต่อเขาไปแล้วโดยที่เจ้าไม่ได้รู้ตัวจริง ๆ ไงเล่า”
อาคังแย้มยิ้ม
ฉาจิ่นพึมพำ “คุณชาย… เขาแตกต่างจากเมื่อก่อนจริงแท้ เขาดูสูงส่งไร้พันธะกับโลกหล้ายิ่งกว่าเดิม ทว่าไม่ว่าการฝึกฝนของเขาจะสูงส่งเพียงไร แต่อุปนิสัยของคุณชายก็ยังไม่ต่างจากเดิมเลย”
…
ลึกเข้าไปในเทือกเขากว้างใหญ่ในเขตการปกครองของอาณาจักรต้าเซี่ย มีหุบผาอยู่แห่งหนึ่ง
ในหุบผานั้น มีแท่นเต๋าอันแปลกประหลาดแต่เรียบง่ายสร้างขึ้น มันมีขนาดราวสิบจั้ง
ยามนี้ที่รอบแท่นเต๋ามียอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยอยู่สี่คน
“เฮ้อ เจ้าเยี่ยเฟิงช่างมีวาสนา ยามผู้ดูแลจากไป เขาเคยบอกอยู่ว่าจะจะให้ ‘มารดาบน้อย’ คนงามเป็นเตาหลอมฝึกคู่กับเขา ช่างน่าอิจฉาแท้”
ชายร่างผอมผู้หนึ่งรำพัน
มารดาบน้อยเหวินซินจ้าว!
ดาวรุ่งผู้เจิดจรัสที่สุดในมหาทวีปคังชิงทุกวันนี้ ‘นางฟ้าไร้มลทิน’ ผู้โลกหล้าไขว่คว้า
“เจ้าจะไปอิจฉาอันใด ใครให้เยี่ยเฟิงมีบรรพชนที่ดีกันเล่า? มันเทียบกันไม่ได้หรอก”
ชายชุดเหลืองผู้หนึ่งส่ายหน้า
“ไม่รู้ว่าเจ้ามารหัวขนน้อยแซ่ซูโผล่มาหรือยัง หากเขายังมุดหัวต่อไป ไม่ใช่ว่าการกระทำตรากตรำของเราจะเสียเปล่าหรือ?”
“ใครเล่าจะรู้?”
“เฮ้ มีคนมา!”
ทันใดนั้น ชายร่างผอมพลันเงยหน้าขึ้นมองไปไกล
เขาเห็นชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งทะยานฟ้าตรงมา
เขาคือซูอี้
“เจ้าเป็นใคร?”
ชายร่างผอมขมวดคิ้ว
“นั่นเขา! สารเลวแซ่ซู!!”
ชายชุดเหลืองอุทาน เขาจำซูอี้ได้ทันที
ทันใดนั้น อีกสามคนที่เหลือต่างสะดุ้ง พวกเขาตระหนักแล้วว่ามีความผิดปกติ และใช้สมบัติของตนเข้าโจมตีทันควัน
ซูอี้มองชายร่างผอม
ดวงตาของชายร่างผอมวูบไหว “อยากรู้หรือ? ตามเราไปภูมิคังเสวียนสิ แล้วเจ้าจะได้รู้เอง”
ซูอี้แค่นเสียงพลางดีดนิ้ว
ตู้ม!
ร่างของชายร่างผอมแตกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีที่ปลิดปลิว
ถูกทำลายราบคาบ!
วิชาสังหารอย่างโหดเหี้ยมนี้ทำให้อีกสามคนที่เหลือตกใจกลัวสุดขั้ว ไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม
“บอกข้ามา”
ซูอี้มองชายชุดเหลือง
ชายชุดเหลืองสั่นเทิ้มทั้งกาย เข่าของเขาอ่อนยวบ กลืนน้ำลายเอื๊อกพลางกล่าวว่า “หากข้าพูด เจ้าไว้ชีวิตข้าได้หรือไม่?”
เปรี้ยง!
เสียงยังไม่ทันสร่าง ร่างของเขาก็ระเบิดกลายเป็นผุยผงเสียแล้ว
เรื่องนี้ทำให้อีกสองคนกลัวเสียจนสติกระเจิดกระเจิง กรีดร้องอย่างหวาดกลัว หนึ่งในนั้นหันหลังเผ่นหนีราวสติแตกโดยสมบูรณ์
ตู้ม!
ทว่าหลังจากหนีไปได้เพียงสิบจั้งกว่า ร่างของคนผู้นี้ก็กลายเป็นเถ้าปลิวหายไปเช่นกัน
การสังหารอันไม่อาจมองเห็น วิธีการนี้ทำให้คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ไม่อาจรับไหวอีกต่อไป เขาทรุดลงคุกเข่ากับพื้นและกล่าวเสียงสั่น “ใต้เท้าโปรดเมตตา ข้าพูดแล้ว! ข้าพูดแล้ว!”
ซูอี้ส่ายหน้า “อย่างไรเสียข้าก็จะไปตระกูลเยี่ยของพวกเจ้าอยู่ดี พูดหรือไม่ก็ไร้ประโยชน์”
ชายผู้นั้นตะลึงไป
ก่อนที่เขาจะทันตั้งตัว ร่างของเขาพลันสลายเป็นเถ้า ตามรอยเท้าอีกสามคนไป
สีหน้าของซูอี้ไร้อารมณ์เฉยเมยแต่ต้นจนจบ ราวกับเขาไม่ได้ลงมือฆ่าสี่ยอดฝีมือในขอบเขตวงล้อวิญญาณ แต่เป็นแมลงวันไม่น่ามองเพียงไม่กี่ตัว
กิริยาเฉยเมยนี้เผยความเฉยชาและจิตสังหารมหาศาล!
การกระทำของซูอี้ขึ้นกับหนี้แค้นขุ่นข้องเสมอ และเขาไม่เคยฆ่าคนโดยไม่แยกแยะ
ทว่าครานี้แตกต่างออกไป!
ในฐานะเมืองหลวงแห่งต้าเซี่ย นครหลวงจิ๋วติ่งนั้นเป็นบ้านของชีวิตอันไม่อาจคณานับ ทว่าเพียงหนึ่งคืนมันกลับถูกทำลายสิ้นด้วยพลังของตระกูลเยี่ย จนหลงเหลือเพียงซากพัง ๆ และชีวิตผู้บริสุทธิ์ต้องปลิดปลิวอย่างน่าเวทนา
ภูเขาเทียนหมางคือถิ่นอาศัยของราชวงศ์เซี่ย ผู้ที่อาศัยที่นั่นมีมากมาย ทว่าเยี่ยอวิ๋นเจี่ยกลับฟาดฟันทำลายมันในทันใด
สมาชิกราชวงศ์เซี่ยมากมายตายอนาถ!
นอกจากนั้น พวกอาคังยังถูกไล่ล่า เหวินซินจ้าว หยวนเหิงและคนอื่น ๆ ต่างถูกจับตัว และสมาชิกหลักของราชวงศ์เซี่ยก็ถูกจับเป็นเชลย…
การกระทำเหล่านี้ล้วนข้ามเส้นความอดทนของซูอี้ทั้งสิ้น
สำหรับเขา ตระกูลเยี่ยไร้ความจำเป็นต้องคงอยู่ต่อในโลก!
ซูอี้กำหมัดสองมือ เรียกใช้แท่นเต๋าอันเรียบง่ายแต่แปลกตานั้นทันที
นี่คือค่ายกลเคลื่อนมิติที่นำตรงสู่เมืองใหญ่นาม ‘นภาคราม’ ในภูมิคังเสวียน
ส่วนจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยนั้น ซูอี้ได้ผนึกเขาลงในเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงแล้ว และเมื่อมาถึงภูเขาคุนอู๋ ชายหนุ่มจะให้จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยได้ประจักษ์แก่สายตาว่าตระกูลเยี่ยจะถูกทำลายเช่นไร
ไม่นานนัก แท่นเต๋าก็เปล่งแสง ปลดปล่อยพิรุณแสงแห่งมิติสุกสกาวพราวระยับออกมา
ซูอี้ก้าวขึ้นไปบนแท่นเต๋าอย่างไร้ความลังเล
ตู้ม!
ด้วยเสียงคำรามของพลังแห่งมิติ ร่างของซูอี้ก็หายวับไปทันที
…
ภูมิคังเสวียน มีอีกนามว่าเวิ้งแปดดารา
และเมืองนภาครามก็เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในภูมิคังเสวียน
เหตุผลนั้นง่ายมาก ไกลออกไปจากเมืองนี้สามร้อยลี้เป็นที่ตั้งของภูเขาคุนอู๋ และตระกูลเยี่ยซึ่งเป็นขุมกำลังอันยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิคังเสวียนก็ตั้งรกรากอยู่บนนั้น
นับแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน ชื่อเสียงของตระกูลเยี่ยนั้นเป็นดังคำกล่าว ‘ภูเขาคุนอู๋พันจั้ง ตระกูลเยี่ยคุ้มสวรรค์’
พิรุณพร่างพรม ท้องนภามืดครึ้ม
ในตำหนักโบราณอันตระการตาในเมืองนภาคราม
มีแท่นเต๋าตั้งอยู่ในนั้นแท่นหนึ่ง
ชายชราผู้หนึ่งกำลังนั่งอย่างเกียจคร้านอยู่ข้างแท่นเต๋า ถือพัดในมือ พริ้มตาพักผ่อน มีท่าทีผ่อนคลายยิ่ง
ตำหนักนี้คือถิ่นของตระกูลเยี่ย
ตลอดมานี้ ไร้ผู้ใดกล้าก่อกวน
ฮึ่ม!
คลื่นมิติประหลาดพลันปรากฏเหนือแท่นเต๋า ปลุกชายชราผู้กำลังหลับใหล
“หรือบรรพชนอวิ๋นเจี่ยจะจับไอ้หนูแซ่ซูได้แล้วหนอ?”
ชายชราแปลกใจ
ทันใดนั้น เขาก็ดูจะเข้าใจขึ้นมาอย่างคลุมเครือ “นั่นสินะ หากบรรพชนอวิ๋นเจี่ยลงมือ การจะจับตัวไอ้หนูนั่นก็ง่ายนิดเดียว”
แววตาของเขาปรากฏความซับซ้อนอย่างไม่อาจอธิบาย
ขณะครุ่นคิด ชายชราก็ลุกจากที่นั่ง จัดเสื้อผ้าและเตรียมต้อนรับชัยชนะของยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ย
วูบ!
ไม่นานนัก มิติก็เต็มไปด้วยพิรุณแสง และร่างสูงร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
“เฮ้! เจ้าคือ…”
ชายชราตะลึงค้าง ไฉนจึงเป็นคนแปลกหน้าไปได้?
ผู้มาใหม่คนนั้นคือซูอี้ เขากวาดมองไปรอบ ๆ ห้องและค่อย ๆ เดินลงจากแท่นเต๋า “ที่นี่มีเจ้าผู้เดียวหรือ?
“ท่านคือผู้ใด ไฉน…”
ซูอี้ถามกลับ “จำข้าไม่ได้หรือไร?”
ชายชราขมวดคิ้วเล็กน้อย และดูจะตระหนักบางสิ่งในทันที สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยน “เจ้า… เจ้าคือ… เด็กแซ่ซูผู้นั้น!?”
เขาประหลาดใจอย่างยิ่ง หัวใจพลันกระสับกระส่ายขึ้นมา
ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณอันนำสู่มหาทวีปคังชิงนี้ ตระกูลเยี่ยทุ่มเทมหาศาลสร้างขึ้นมา และมีเพียงยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยเท่านั้นที่ใช้มันได้
ทว่ายามนี้ พวกเยี่ยอวิ๋นเจี่ยซึ่งไปยังมหาทวีปคังชิงไม่ได้กลับมา แต่ผู้ที่กลับมากลับเป็นซูอี้ จนทำให้ชายชราจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ดูเหมือนภาพของข้าจะแพร่ไปในตระกูลเยี่ยของเจ้าแล้ว”
ซูอี้กล่าวกับตนเอง
เขาไม่แปลกใจ
หลังจากนั้น ซูอี้ก็หยุดพูดพล่าม เขาเอื้อมมือคว้าในอากาศ
ชายชราไม่มีโอกาสได้ต่อต้านดิ้นรน คอของเขาถูกคว้า ผนึกการฝึกฝน ถูกยกร่างลอยมาหาซูอี้ทันที
ในขณะที่ซูอี้กำลังจะทำลายร่างและค้นวิญญาณของเขาอยู่นั้นเอง
ชายชราก็กรีดร้องอย่างลนลาน “ซูอี้!! ข้าเป็นอารองของแม่เจ้าจากสายตระกูลเยี่ยสายหลัก หากเจ้ามาล้างแค้นครานี้ เจ้าต้องไม่ฆ่าข้านะ!”
……….