บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1031: ดุจเดินบนพื้นราบ
ตอนที่ 1031: ดุจเดินบนพื้นราบ
ซูอี้หยุดการเคลื่อนไหวและกล่าวว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้าพูด บอกมาว่าเหตุใดข้าจึงไม่ควรฆ่าเจ้า”
ชายชราสูดหายใจลึก ๆ สองสามหน สะกดกลั้นความกลัวในใจ
เขาแน่ใจว่าหากอีกฝ่ายไม่พอใจในคำตอบ ชายหนุ่มตรงหน้าเขาจะฆ่าเขาราวเป็นมดตัวหนึ่งแน่แท้!
“ตัวประกันที่ผู้ดูแลใหญ่พากลับมาเมื่อวานซืนถูกพิษกู่ฝังไว้ในวิญญาณแล้ว เพื่อป้องกันสถานการณ์เลวร้ายที่สุด และพวกเขาจะใช้ชีวิตตัวประกันเหล่านี้มาบีบบังคับเจ้า”
ชายชรากล่าวรัวเร็ว “นี่ยังหมายความว่าหากเจ้ามุ่งตรงไปยังภูเขาคุนอู๋ ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร เจ้าก็จะถูกข่มขู่แน่นอน ข้าเชื่อว่า… เจ้าคงไม่อยากเห็นตัวประกันเหล่านี้ถูกฆ่าหรอกกระมัง?”
ซูอี้กล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “เหตุผลนี้ไม่เพียงพอจะเปลี่ยนชีวิตเจ้าได้ อย่าลืมว่าค้นวิญญาณเจ้าก็ทำให้ข้ารู้เรื่องนี้ได้เช่นกัน”
ชายชรารู้สึกประหม่า เขารีบพูดว่า “ข้ายังช่วยได้นะ!”
เขากัดฟันพูดด้วยสีหน้าโศกเศร้า “ว่าตามตรง แม้ข้าจะเป็นสมาชิกตระกูลสายหลัก แต่ไม่กี่ปีมานี้ ข้าถูกพวกเจ้าเฒ่าจากตระกูลสาขาเรียกเล่นเป็นหมา”
“แต่โชคร้าย สายตระกูลหลักของเราแห้งเหี่ยวแสนนาน และยามนี้นอกจากข้า ก็เหลือเพียงไม่กี่สิบคนที่ยังมีชีวิต…”
ซูอี้ขมวดคิ้วกล่าวแทรก “หากยังพูดไร้สาระ อย่าหาว่าข้าเสียมารยาทนะ”
ชายชราสั่นสะท้านทั้งกาย กัดฟันและพูดว่า “ข้าช่วยเจ้าลอบเข้าไปในภูเขาคุนอู๋ ช่วยตัวประกันเหล่านั้นเงียบ ๆ ได้นะ! ยิ่งกว่านั้น ข้าจะช่วยเจ้าหาวิธีสลายพิษที่ตัวประกันเหล่านั้นด้วยทุกวิถีทางที่ทำได้ด้วย!”
ซูอี้แค่นเสียงกล่าว “ก็ได้อยู่”
ทว่าชายชรายังไม่ทันได้ถอนใจโล่งอก ซูอี้ก็กล่าวต่อ “ปล่อยการคุ้มกันวิญญาณและให้ข้าสำรวจวิญญาณเจ้า ขอเพียงข้าแน่ใจว่าเจ้าไม่ได้โกหก ข้าก็ไม่ถือหากจะปล่อยเจ้าไปหลังจบเรื่องทั้งหมดนี้”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว ร่างของชายชราก็ชะงักนิ่ง สีหน้ากระอักกระอ่วนเหมือนจะพูดบางอย่าง
ตู้ม!
ฝ่ามือของซูอี้ออกแรง ดวงตาของชายชราเหลือกชี้ฟ้า สลบไปทันที
ซูอี้เริ่มสำรวจวิญญาณของเขาในพริบตา
ครู่ต่อมา เขาก็เก็บจิตสัมผัสแล้วเงียบไป
ชายชราผู้นี้มีนามว่าเยี่ยอวิ๋นสุ่ย เป็นอารองของมารดาเขาเยี่ยอวี่เฟยจริง ๆ แม้จะเกิดในสายเลือดตระกูลหลัก แต่ฐานะของเขาต่ำต้อยมาก และตลอดมาก็ทำเพียงอยู่รอดในตระกูลไปวัน ๆ เท่านั้น
ประสบการณ์ของเยี่ยอวิ๋นสุ่ยหยาบกระด้างอย่างมาก ไม่เพียงเขาจะอยู่ในกำมือของผู้อาวุโสตระกูลสาขา แต่กระทั่งบุคคลรุ่นเยาว์ในตระกูลยังกล้าข่มเหงรังแกเขาด้วยสารพัดวิธีอันเป็นไปได้ ทำกับเขาราวเป็นทาส
กระทั่งเชื้อสายตระกูลหลักยังดูถูกเขา ด่าเขาที่ดื้อดึงทำให้ตระกูลหลักเสียหน้า
ทว่าในความทรงจำของเยี่ยอวิ๋นสุ่ย ซูอี้ได้ค้นพบเรื่องเล็กน้อยบางอย่าง
ตอนที่แม่ของเขา เยี่ยอวี่เฟยถูกใส่ความและจะเดินทางไปยังมหาทวีปคังชิง เยี่ยอวิ๋นสุ่ยลอบเตือนเยี่ยอวี่เฟยให้ระวังตัว ก่อนจะบอกให้นางจากไปโดยอย่ากลับตระกูลมาอีก หาไม่ชีวิตของนางจะตกอยู่ในอันตราย
เยี่ยอวิ๋นสุ่ยยังลอบเตือนเยี่ยอวิ๋นหลันหลายครั้งหลายคราว่าให้เขารับภาระไว้คนเดียว อย่าเลือกต่อสู้กับตระกูลสาขาของตระกูลเยี่ยเลย
กระทั่งยามที่เยี่ยอวิ๋นหลันกลับมายังตระกูลเมื่อปีก่อนและแจ้งข่าวการตายของเยี่ยอวี่เฟย เยี่ยอวิ๋นสุ่ยยังไปร้องไห้ลำพังที่ป้ายหลุมศพบิดาของเยี่ยอวี่เฟย
เรื่องเล็กน้อยไม่สลักสำคัญเหล่านี้ ซึ่งอยู่ในความทรงจำของเยี่ยอวิ๋นสุ่ยไม่มีทางเป็นของปลอม
ต้องกล่าวว่าเยี่ยอวิ๋นสุ่ยนั้นซื่อบื้อโดยแท้ เขาถูกเหยียบย่ำรังแกสารพัด ทว่ากลับไม่เคยต่อสู้สวนกลับ
ทว่าเพราะเรื่องเล็กน้อยในความทรงจำของเขา ในที่สุดซูอี้ก็เปลี่ยนใจ
“หลังจากวันนี้ เจ้าควรลุกขึ้นเป็นผู้เป็นคนได้แล้วนะ”
ซูอี้กระซิบ วางร่างที่หมดสติของเยี่ยอวิ๋นสุ่ยลงบนพื้นและก้าวยาว ๆ จากไป
เยี่ยอวิ๋นสุ่ยสามารถช่วยให้เขาเข้าไปในภูเขาคุนอู๋อย่างเงียบ ๆ และกระทั่งช่วยพวกเหวินซินจ้าวได้จริง ๆ
ทว่า ซูอี้ไม่ต้องการมัน
…
พิรุณโปรยปราย นภามืดครึ้ม
หลังจากซูอี้ออกจากเมืองนภาครามไป เขาก็ตรงไปยังทิศทางของภูเขาคุนอู๋
ภูมิคังเสวียนคือเวิ้งแปดดารา และยังถูกการจองจำแห่งยุคมืดกัดกร่อนมาแต่โบราณเช่นกัน และยังเคยนำมาซึ่งแสงสว่างแห่งโลกกว้างอีกด้วย
เรื่องสำคัญที่สุดคือตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิมีอยู่ในภูมิคังเสวียน!
กล่าวอีกนัยก็คือ ในภูมิคังเสวียนทุกวันนี้มีโอกาสให้ผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณขึ้นเป็นตัวตนแห่งขอบเขตจักรพรรดิแล้ว
ซูอี้ได้รับรู้ข่าวนี้จากจากความทรงจำของเยี่ยอวิ๋นเจี่ย เยี่ยอวิ๋นสุ่ยและคนอื่น ๆ
ซูอี้ย่อมรู้ถึงอำนาจตระกูลเยี่ยเป็นอย่างดี
เนิ่นนานมาแล้ว ในยามรุ่งเรืองสูงสุด ตระกูลเยี่ยมีจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งกระจัดกระจายอยู่ในเมือง และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดมีวิถีเต๋าในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ แข็งแกร่งพอจะสยบทั่วภูมิคังเสวียน!
ทว่า ภูมิคังเสวียนก็ถูกการจองจำแห่งยุคมืดเข้ากัดกินเป็นหมื่น ๆ ปี และตระกูลเยี่ยอันรุ่งโรจน์ก็ถดถอยลง
หลังจากการพัฒนาแสนนาน ภูมิคังเสวียนก็ก่อกำเนิดแสงสว่างแห่งโลกกว้าง และตระกูลเยี่ยก็อาศัยโอกาสนี้ฟื้นอำนาจเรื่อยมา
จวบจนยามนี้ นอกเหนือจากสองตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ ซึ่งอยู่รอดมาจากการจองจำแห่งยุคมืด ยังมีจักรพรรดิใหม่สี่คนที่เลื่อนขอบเขตขึ้นมาระหว่างแสงสว่างแห่งโลกกว้าง
หนึ่งในนั้นคือเยี่ยอวิ๋นเจี่ย
คนผู้นี้มีอายุสองหมื่นเก้าพันปี และแม้จะแก่มาก แต่ก็ยังถือเป็นบุคคลรุ่นเยาว์เมื่อเทียบกับสองตัวตนบรรพกาลในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำของตระกูลเยี่ย
จักรพรรดิคนใหม่อีกสามคนนอกเหนือจากเยี่ยอวิ๋นเจี่ยก็เป็นเช่นนั้น
ในหมู่ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิของตระกูลเยี่ย นอกจากหนึ่งตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำจากสายตระกูลหลักแล้ว จักรพรรดิคนอื่นล้วนมาจากตระกูลสาขาทั้งสิ้น
จักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำจากสายตระกูลหลักมีนามว่าเยี่ยคังถู เขาบาดเจ็บสาหัสภายใต้การจองจำแห่งยุคมืด และบาดแผลของเขาก็เกินเยียวยาที่สุด
เพื่อรักษาพลังและชีวิตเอาไว้ เยี่ยคังถูจึงต้องเก็บตัวเป็นเวลานาน และเมินเฉยต่อเรื่องทางโลก
นี่ยังเป็นเหตุผลสำคัญสำหรับการล่มสลายของสายตระกูลหลักตระกูลเยี่ยอีกด้วย
ในขณะเดียวกัน อำนาจของตระกูลเยี่ยสายรองกลับเพิ่มพูนขึ้นทุกขณะ ราวกับกำลังครอบงำสายตระกูลหลักอย่างเงียบงัน จนกระทั่งสามารถแทนตำแหน่งที่เดิมควรจะเป็นของสายตระกูลหลักเป็นที่เรียบร้อย!
ซูอี้มิคิดใส่ใจความบาดหมางข้องใจภายในตระกูลเยี่ย
เขามาที่นี่ก็เพื่อลบตระกูลเยี่ยจากโลกหล้า ไม่ได้จะมาขจัดมารผดุงธรรม
ภูเขาคุนอู๋
มันสูงพันจั้ง เป็นที่รู้จักในนามถ้ำเซียนอันดับหนึ่งแห่งภูมิคังเสวียน
เมื่อเขาเห็นภูเขาคุนอู๋จากในระยะไกล ในใจซูอี้ก็กระเพื่อมไหว และร่างของเขาก็ค่อย ๆ เลือนหาย จนสุดท้ายดูราวโปร่งใส
เคล็ดวิชาแสงล่องเร้นลับ!
เป็นวิชาอัศจรรย์สำหรับซ่อนร่างกลบปราณ
หากไม่ใช่ตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิที่ใช้วิชาจิตวิญญาณ คงจะตรวจจับได้ยาก
จากนั้นซูอี้ก็มุ่งหน้าไปยังภูเขาคุนอู๋
ภูเขานี้ปกคลุมด้วยค่ายกลยักษ์สิบแปดค่าย
หากไม่ใช่คนจากตระกูลเยี่ย ต่อให้จักรพรรดิมาเองก็ไม่อาจแทรกซึมเข้ามาได้
ทว่านี่ย่อมไม่ใช่เรื่องยากสำหรับซูอี้
เขาไม่ได้ฝืนฝ่าเข้าไปหรือทำลายค่ายกลทิ้ง ในทางกลับกัน เขาใช้ป้ายตราเข้าไปยังภูเขาคุนอู๋อย่างเปิดเผย
ป้ายตรานี้พบจากซากของเยี่ยอวิ๋นเจี่ย มันถูกตราด้วยเจตจำนงจักรพรรดิของตระกูลเยี่ยเอาไว้ หากถือตรานี้ เขาจะสามารถเดินผ่านค่ายกลอันหนาแน่นในภูเขาคุนอู๋ได้โดยง่าย
ดังนั้น อำนาจของค่ายกลบนภูเขาคุนอู๋จึงไม่ต่างจากสิ่งประดับเมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้
แน่นอน หากมีผู้ใดพบร่องรอยของซูอี้และสั่งค่ายกลทำงาน มันจะต่างออกไป
ณ บริเวณตีนเขา ซึ่งเป็นทางเข้าไปสู่ด้านในภูเขา
พยัคฆ์สีห์ยักษ์ตัวหนึ่งกำลังนอนเอกเขนก ดวงตาสีฟ้า แผงคอสีแดง ขนเป็นมันดุจทอง ร่างของมันใหญ่ดุจช้างสาร
สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือ มันเกิดมาพร้อมประสาทรับกลิ่นวิญญาณอันแข็งแกร่ง ซึ่งสามารถทะลวงความลวงทั้งหมดสู่ความจริงได้
ยามนี้ พยัคฆ์สีห์ดูจะสัมผัสบางสิ่งได้ มันพลันลืมตาขึ้น
ทว่า ก่อนจะทันได้ลุกขึ้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในวิญญาณของมัน
“อยู่เฉย ๆ เสีย”
คำพูดเพียงสี่พยางค์ ทว่าเป็นดั่งเสียงสวรรค์บัญชาจากสรวงซึ่งทำให้ดวงตาของพยัคฆ์สีห์เหลือกชี้ฟ้า ร่างกระตุกอย่างรุนแรง และสลบไปทันที
ไม่อาจแม้แต่จะดิ้นรน!
จากนั้น ซูอี้ก็ก้าวเข้าไปในปากถ้ำ
หากเป็นผู้อื่นมาเห็นเช่นนี้ คงไม่น่าเชื่อจริงแท้
เพราะถึงอย่างไร ในฐานะรังเก่าของตระกูลเยี่ยผู้ปกครองภูมิคังเสวียน แค่ค่ายกลเหล่านั้นก็เพียงพอจะล้อมสังหารตัวตนขอบเขตจักรพรรดิได้แล้ว
ทว่าตลอดทางตั้งแต่ต้นจนจบ ซูอี้ก็ดูราวกำลังเดินเล่นในสวน ราวเข้าสู่โลกที่มีเพียงตน!
ในปากถ้ำนั้นมืดมิด มีเส้นทางเวียนวนสู่ใต้ภูเขา ที่นั่นมีเรือนจำซึ่งตระกูลเยี่ยเตรียมไว้คุมขังเชลย
เมื่อซูอี้มาถึงคุกที่ใจกลางเขา เขาก็เห็นผู้ที่ตระกูลเยี่ยจับตัวมาต่างหมดสติอยู่ในคุก
หยวนเหิง เวิงจิ่ว สุ่ยเทียนฉี เซี่ยชิงหยวนและคนอื่น ๆ ต่างรวมอยู่ในนั้น
สิ่งที่ทำให้ซูอี้ขมวดคิ้วคือเรื่องที่ว่าเหวินซินจ้าวไม่ได้อยู่ที่นี่
เขาพลันจำได้ขึ้นมาว่ายามมาที่ภูมิคังเสวียน เขาได้ยินข่าวจากการสนทนาของยอดฝรมือตระกูลเยี่ย…
ซูอี้หรี่ตาลง
ต่อมา เขาก็ลงมือช่วยเหลือทุกคนที่ถูกจองจำในคุก จากนั้นจึงส่งพวกเขาเข้าไปในเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง
หลังจากตรวจสอบ ก็เป็นไปตามเยี่ยอวิ๋นสุ่ยว่า หยวนเหิง เวิงจิ่วและคนอื่น ๆ ล้วนถูกวิชากู่พิษอันโหดเหี้ยมอย่าง ‘จูงวิญญาณ’ ฝังอยู่ในร่าง ซึ่งสามารถควบคุมได้เพียงผู้ใช้ มันสามารถควบคุมวิญญาณของพวกหยวนเหิงได้ดุจหุ่นเชิด พวกเขาจึงไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้!
หากเป็นจักรพรรดิคนอื่น ๆ เผชิญหน้ากับพิษกู่อันชั่วร้ายนี้คงจนปัญญาแล้วแน่แท้
ทว่าในสายตาของซูอี้ พิษกู่เช่นนี้ไร้ค่าสิ้นดี
ในอดีตชาติ เขาเคยก้าวลงมาทำลายขุมกำลังชั่วร้ายนามว่า ‘สำนักมนตราหมื่นกู่’ และในสำนักมนตราโบราณนี้ มีมรดกสูงสุดนามว่า ‘คัมภีร์กู่เร้นลับทะลวงสวรรค์’
จากสิ่งที่บันทึกในนั้น วิชากู่ที่แข็งแกร่งที่สุดสามารถป่วนจิตใจของตัวตนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำได้!
และใน ‘คัมภีร์กู่เร้นลับทะลวงสวรรค์’ ก็บันทึกสารพัดวิธีถอนพิษกู่นาม ‘จูงวิญญาณ’ ไว้
ดังนั้น มีหรือซูอี้จะใส่ใจภัยคุกคามเช่นนี้?
ยามช่วยเหลือคนเหล่านี้ เขาก็ทำลายพิษกู่ให้ทีละคน
ไร้อุบัติเหตุใด ๆ
หลังจากทำเรื่องทั้งหมดนี้ ซูอี้ก็เดินดิ่งกลับมายังทางเข้าถ้ำ เหลือบมองไปยังพยัคฆ์สีห์ซึ่งยังสลบไสล และตรวจสอบด้วยวิชาค้นวิญญาณทันที
ไม่นานนัก ซูอี้ก็ได้รู้ว่าเมื่อเช้านี้ เยี่ยหนานเหอ ผู้ดูแลแห่งตระกูลเยี่ยได้มายังห้องขังนี้แล้วพาเหวินซินจ้าวไป!
……….