บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1032: ส่งระฆังให้ตระกูลเยี่ย!
ตอนที่ 1032: ส่งระฆังให้ตระกูลเยี่ย!
ภูเขาคุนอู๋
ในตำหนักแห่งหนึ่ง
ดวงตาของเยี่ยเฟิงลุกวาว ความปรารถนาอันร้อนรุ่มพลุ่งพล่านในใจอย่างไม่อาจควบคุม
แม้อาภรณ์ขาวของหญิงสาวในกรงขังจะแปดเปื้อนโลหิต เรือนผมยาวสีดำสยายกระเจิง แต่ก็ยังไม่อาจซุกซ่อนความงามตรึงจิตของนางไว้ได้
ใบหน้าของนางกระจ่างงาม เรียวหน้าจิ้มลิ้มได้รูป ผิวกระจ่างขาวเยี่ยงหิมะ
ดวงตาของเยี่ยเฟิงกวาดมองเรือนร่างงามสง่าของหญิงสาว และอดกลืนน้ำลายคำโตมิได้
ผู้ดูแลใหญ่ เยี่ยหนานเหอยืนมองสีหน้าของเยี่ยเฟิงอยู่ด้านข้าง จากนั้นจึงกล่าวขึ้นมาพร้อมกับยิ้ม ๆ “เฟิงเอ๋อร์ เตาหลอมนี้เป็นเช่นไร?”
เยี่ยเฟิงปรบมืออย่างชื่นชม “สมกับเป็น ‘มารดาบน้อย’ ผู้เจิดจรัสที่สุดในมหาทวีปคังชิง หญิงงามเช่นนี้กล่าวได้จริงแท้ว่าเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ ห่างไกลจะเทียบได้กับหญิงงามส่วนใหญ่ในโลกหล้า!”
เยี่ยหนานเหอหัวเราะกล่าว “ขอเพียงเจ้าพอใจก็ดีแล้ว ข้าจะสอนให้เจ้าใช้ ‘กู่จูงวิญญาณ’ ในภายหลัง แล้วมารดาบน้อยนี้ก็จะก้มหัวศิโรราบแก่เจ้าแน่นอน”
เยี่ยเฟิงกล่าวอย่างแทบรอไม่ไหว “ท่านอา ท่านรออันใดอยู่เล่า สอนเคล็ดวิชาแก่ข้ายามนี้เลยสิ”
เยี่ยหนานเหอพยักหน้าหงึกหงัก
ทว่ายามนี้เอง ประตูโถงหลักที่ปิดอยู่ก็ถูกผลักเปิดดังเปรี้ยง
เยี่ยเฟิงสะดุ้งมองตามเสียง
และพบชายร่างผอมสูงคนหนึ่งในชุดผ้าเดินเข้ามา
เมื่อเขาเห็นสตรีในกรงขัง เปลือกตาของชายในชุดผ้าก็กระตุก
ทันใดนั้น เขาก็จ้องเยี่ยเฟิงเขม็งด้วยสายตาคมกริบดุจมีดดาบ และกล่าวอย่างจริงจัง “เยี่ยเฟิง เจ้ายุ่งกับสตรีผู้นี้ไม่ได้นะ!”
“เยี่ยอวิ๋นหลัน เจ้าเป็นอันใดของเจ้า บุกเข้ามาในตำหนักข้าอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง แล้วยังกล้าขวางความสุขของข้าอีก ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือไร!”
เยี่ยเฟิงโกรธเสียจนด่าทอลั่น
เยี่ยหนานเหอเองก็กล่าวหน้านิ่วคิ้วขมวด “อวิ๋นหลัน เจ้าอุกอาจเกินไปแล้ว! รีบไปเสีย หาไม่ อย่าหาว่าข้าเสียมารยาทเลย!”
เยี่ยอวิ๋นหลันสูดหายใจลึก ๆ “หากทำเรื่องอื่น ข้ายังรับได้ แต่สตรีผู้นี้ ข้าจะให้เจ้าแปดเปื้อนนางไม่ได้!”
ยามที่เขาอยู่ในมหาทวีปคังชิงเมื่อปีก่อน เขาได้พบเหวินซินจ้าวและรู้ว่าหญิงงามหยดย้อยผู้นี้คือหนึ่งในคนสนิทของหลานชายเขา ซูอี้
ยามนี้เขาจะอยู่เฉยได้เช่นไร?
ยิ่งกว่านั้น เขายังรู้นิสัยของเยี่ยเฟิงดี คนผู้นี้เย่อหยิ่งอวดดี บ้าตัณหา ฝึกฝนเคล็ดวิชาเก็บเกี่ยวหยินบำรุงหยาง หญิงใดที่ตกสู่เงื้อมมือของเขาจะมีจุดจบอันน่าเวทนา
“เจ้าน่ะหรืออยากหยุดข้า?”
เยี่ยเฟิงหัวเราะอย่างโกรธเคือง กล่าวกับเยี่ยหนานเหอว่า “ผู้ดูแล โยนเขาออกไป!”
“ได้!”
เยี่ยหนานเหอจ้องเยี่ยอวิ๋นหลันด้วยสีหน้าถมึงทึง ดวงตาวูบไหว กล่าวอย่างเย็นชา “อวิ๋นหลัน เจ้าเคยไร้ด่างพร้อย ยากจะเข้าร่วมเรื่องของตระกูลเรา ทว่ากลับลงมายุ่งเกี่ยวในวันนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าขอเพียงข้าต้องการ ข้าจะกำราบเจ้าเสียยามนี้และใส่ข้อหาใด ๆ ให้เจ้าก็ได้ แล้วเจ้าก็จะไร้โอกาสได้โงหัวอีกชั่วชีวิต?”
เขาชี้ไปข้างนอกโถงหลัก กล่าวด้วยใบหน้าเย็นชา “ข้าให้โอกาสเจ้า ออกไปเสียโดยดี”
เยี่ยอวิ๋นหลันดูมืดหม่นยากคาดเดา และในที่สุดก็สูดหายใจลึก ๆ “วันนี้ ต่อให้ข้าต้องตาย เยี่ยอวิ๋นหลันก็จะไม่มีวันอยู่เฉย!”
“เจ้า…”
เยี่ยเฟิงกัดฟันกรอดอย่างโกรธเคือง “เร็วเข้า ผู้ดูแล หักขาเยี่ยอวิ๋นหลันผู้นี้เสีย ข้าอยากให้เขาคุกเข่าอยู่นอกโถงบ้านข้า!!”
เยี่ยหนานเหอพยักหน้า
จิตสังหารแผ่พุ่งจากทั่วกาย และในขณะที่เขากำลังจะโจมตีนั้นเอง จู่ ๆ สันหลังของเขาก็เย็นวูบวาบ
ก่อนที่เขาจะทันได้ตั้งตัว มือใหญ่สีขาวอันมีข้อกระจ่างชัดคว้าเข้าที่คอเขาราวกับคว้าไก่
เยี่ยหนานเหอหน้าถอดสีโดยพลัน เขาดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ทว่ากลับไร้ผล ในทางกลับกัน ทั้งร่างของเขาถูกผนึกไม่อาจขยับไหว แม้แต่เสียงก็เปล่งออกมาไม่ได้ ใบหน้าชราวัยแดงก่ำ
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ทำให้ทั้งเยี่ยอวิ๋นหลันและเยี่ยเฟิงต่างตกใจมองซ้ายขวาอลหม่าน
ทันใดนั้น ร่างสูงร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นคว้าคอเยี่ยหนานเหออย่างเงียบงัน!
ผู้มาสวมอาภรณ์เขียวดุจหยก ท่าทางเฉยเมยไร้มลทิน วางตัวสุขุมเยือกเย็น
เขาคือซูอี้
“ไฉนจึง…”
เยี่ยอวิ๋นหลันอึ้งและไม่อาจเชื่อสายตาตน
เยี่ยเฟิงงุนงง เขาไม่รู้จักซูอี้ แต่ตระหนักแล้วว่ามีบางสิ่งผิดปกติ และกล่าวเสียงแข็งทันที “เจ้าเป็นใคร กล้าบุกเข้ามาในตระกูลเยี่ยของข้า อยากตายนักหรือ?”
เสียงของเขาสะท้อนทั่วโถงหลักดุจฟ้าผ่า
“ก็ลองเรียกดูสิว่าจะมีผู้ใดมาช่วยเจ้าบ้าง”
ซูอี้เหลือบมองเยี่ยเฟิง จากนั้นฝ่ามือก็ออกแรงบีบ
ตู้ม!
เยี่ยหนานเหอผู้ถูกคว้าในมือร่างระเบิดแหลกทีละน้อย เลือดเนื้อและกระดูกป่นราวได้สัมผัสการลงโทษสถานสูงสุด
เยี่ยหนานเหอเจ็บปวดสาหัส ใบหน้าบิดเบี้ยวม้วนเป็นก้อน ทว่ากลับไร้เสียงจากคออย่างน่าฉงน
ขณะที่เลือดเนื้อของเขาถูกบดขยี้ พวกมันก็กลายเป็นเถ้าถ่านแหลกสลาย ท้ายที่สุด หัวของเขาก็ถูกฉีกจากคอราวแตงโมเน่า และทันทีที่วิญญาณของเขาปรากฏ มันก็แหลกเป็นเสี้ยวเล็กเสี้ยวน้อย
ภาพอันโหดร้ายนี้ทำให้หนังหัวของเยี่ยเฟิงชาดิกอย่างตระหนก จากนั้นเขาก็เรียกใช้ดาบบินฟันเข้าใส่ซูอี้ทันที
ทว่า ก่อนที่ดาบจะทันถึงตัว มันก็ถูกอำนาจที่มองไม่เห็นรอบกายของซูอี้ชนเข้าเสียก่อน และดาบบินก็ถูกบดเป็นเศษเยี่ยงทำจากกระดาษ
อั้ก!
เยี่ยเฟิงรับหางเลข กระอักโลหิตออกมา
เขาพุ่งไปยังกรงขังเหวินซินจ้าวด้วยสีหน้าหวาดกลัว พยายามใช้นางมาขู่
“คุกเข่าลง”
ซูอี้กดนิ้วของเขา
ร่างของเยี่ยเฟิงทรุดลงกับพื้นจนเข่าแหลก โลหิตทะลักไหล กรีดร้องโหยหวน
บัดนี้เนื้อตัวของเขาสะบักสะบอม ขณะกล่าวด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว “นี่คือถิ่นตระกูลเยี่ยของข้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ดุร้ายสูงส่งมาจากไหน เจ้าก็หนีความตายไม่พ้นอยู่ดี!!!”
เยี่ยอวิ๋นหลันพลันเปลี่ยนสีหน้า และกล่าวอย่างกระวนกระวาย “ซูอี้ เจ้าอย่าบุ่มบ่ามนะ! ปู่ของเยี่ยเฟิงผู้นี้คือเยี่ยเหวินตู้ ผู้อาวุโสตระกูลเยี่ย…”
“บุ่มบ่ามหรือ?”
ซูอี้กล่าวทั้งรอยยิ้ม “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อทำลายตระกูลเยี่ย ส่วนเจ้า แค่รอดูไปก่อนเถอะ”
ทำลาย… ตระกูลเยี่ย!?
เยี่ยอวิ๋นหลันตะลึงราวถูกทุบหัวในทันใด
ชายหนุ่มมองไปยังเยี่ยเฟิงด้วยแววตาลึกล้ำเย็นชา “เจ้าควรดีใจที่วันนี้เจ้ายังไม่ได้ทำอันใดนาง หาไม่ จุดจบของเจ้าจะไม่ง่ายเช่นความตายหรอก”
วาจายังไม่ทันสร่าง เลือดเนื้อ กระดูกและวิญญาณของเยี่ยเฟิงพลันสลายเป็นกองเลือดราวถูกจักรบด กระจัดกระจายไปทั่วสถาน
แหลกสลายชั่วพริบตา!
จากนั้น ซูอี้ก็ใช้ฝ่ามือแหกกรงและบรรจงอุ้มร่างหมดสติของเหวินซินจ้าวออกมา
หลังจากตรวจสอบเล็กน้อย เขาก็พบว่าหญิงสาวแค่ถูกกู่จูงวิญญาณเท่านั้นและไม่มีปัญหาอื่นใด ซึ่งทำให้ซูอี้โล่งใจมากขึ้น
“หลับให้สบาย เมื่อตื่นขึ้น เราก็จะกลับบ้านกันแล้ว”
ซูอี้กระซิบกับตนเอง แล้วส่งเหวินซินจ้าวเข้าไปในเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง
“ซูอี้ ที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้… จริงหรือ?”
ยามนี้ เยี่ยอวิ๋นหลันตกตะลึงไปจนพูดไม่ออกอีก
“รอดูเถอะ”
ซูอี้กล่าวพลางเดินออกจากโถง
จากนั้นเขาก็ไม่อำพรางร่างของตนเองอีก พลันแปรเปลี่ยนเป็นแสงทะลวงขึ้นเหนือนภา
ตู้ม!
ทันใดนั้น ค่ายกลทั่วทั้งภูเขาคุนอู๋ก็ตื่นตัวทำงาน เกิดเป็นเสียงคำรามลั่นดุจอสนีบาต คลื่นพลังปั่นป่วนกวาดไปทั่วดุจกระแสคลื่น
“กล้านัก! ใครกันที่กล้าบุกเข้ามาในตระกูลเยี่ยของข้า!?” เสียงตะโกนหนึ่งดังลั่น
“ตราบนาน ในภูมิคังเสวียนนี้ มีผู้ใดบ้างที่กล้าบุกเข้ามาเหิมเกริมในภูเขาคุนอู๋?”
“ก็มาเซ่!”
“ไม่ว่าผู้ใดที่กล้าบุกเข้ามาในภูเขาคุนอู๋จะต้องชดใช้!”
…ยอดฝีมือจากตระกูลเยี่ยบนภูเขาคุนอู๋ล้วนตื่นตัว หยุดทุกการกระทำแล้วเริ่มลงมือทันที
เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่โตเพียงนี้ ร่างของเยี่ยอวิ๋นหลันก็เย็นเฉียบ เหมือนถูกสาดน้ำเย็นตื่นจากฝัน และเชื่อเสียทีว่าครานี้ ซูอี้หมายประชันกับตระกูลเยี่ยจริง ๆ!
ยิ่งกว่านั้น เขามาที่นี่เพียงลำพัง และยังปรากฏตัวอย่างเปิดเผย!
สิ่งนี้ทำให้เยี่ยอวิ๋นหลันร่างสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการกระทำของพวกเยี่ยอวิ๋นเจี่ยที่ไปยังมหาทวีปคังชิงล้มเหลว! อีกทั้งยังทำให้ซูอี้มีโทสะโดยสมบูรณ์ด้วย อีกฝ่ายจึงสังหารตลอดทางสู่ภูมิคังเสวียนเพื่อกวาดล้างตระกูลเยี่ย!
“บ้าไปแล้ว… เขาไม่รู้หรือไรว่าตระกูลเยี่ยมีจักรพรรดิมากมาย?”
เยี่ยอวิ๋นหลันงุนงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
เขาตระหนักแล้วว่ายามนี้ คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ และการกระทำครานี้ของซูอี้ ทุกคนในตระกูลเยี่ยล้วนรับรู้ถ้วนทั่ว!
ณ ขณะเดียวกัน…
ในทะเลเมฆาใต้ท้องนภา
“จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย เจ้าวางใจเถอะ วันนี้ภูเขาคุนอู๋พันจั้งจะถล่มลงสู่ปฐพี”
ซูอี้ไพล่หนึ่งมือไว้เบื้องหลัง ในขณะที่อีกมือยกไหสุราขึ้นดื่ม
ข้างกายเขาคือจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย
เมื่อเขาได้ยินวาจาเฉยเมยของซูอี้ แม้จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยจะบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ยังรู้สึกอบอุ่นและตื่นเต้น
เขารู้แล้วว่าซูอี้ได้ช่วยตัวประกันทั้งหมดในตระกูลเยี่ยสำเร็จ
นี่ยังหมายความว่าเมื่อซูอี้ลงมือ เขาจะไร้ความกังวล!
เรื่องเดียวที่ทำให้จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยกระวนกระวายนั้นคือ ตระกูลเยี่ยแห่งคุนอู๋นี้อยู่ภายใต้การดูแลของตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ ทำให้จิตใจว้าวุ่นของเขายากจะสงบลงได้โดยแท้จริง
ตู้ม!
อำนาจค่ายกลทั่วภูเขาคุนอู๋แผ่พุ่งเฉิดฉาย อสนีบาตจากฟากฟ้ากระหวัดพันเพลิงทิพย์
ไม่นานนัก บุคคลชายหญิงกลุ่มหนึ่งก็เร่งออกมา ต่างคนต่างสวมอาภรณ์งดงาม กิริยาเหนือธรรมดา เห็นได้ชัดว่าเป็นคนใหญ่คนโตผู้ยืนบนจุดสูงสุดในตระกูลเยี่ยมาช้านาน
เมื่อพวกเขาเห็นซูอี้และจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยจากไกล ๆ ผู้สูงส่งจากตระกูลเยี่ยเหล่านั้นต่างตะลึงอึ้งราวไม่อยากเชื่อ
“ซูอี้!? เจ้ามารหัวขนน้อยนั่น!”
ใครบางคนตะโกนขึ้นเมื่อรู้ตัวตนของซูอี้
“ไม่ใช่ว่าบรรพชนอวิ๋นเจี่ยไปจับตัวมารหัวขนน้อยนี่ที่มหาทวีปคังชิงหรอกหรือ? ไฉนเขาจึงมาหาเราถึงบ้านด้วยตนเองกะทันหันเช่นนี้เล่า?”
บางคนแปลกใจและสังเกตเห็นความแปลกประหลาด
สายตาไม่รู้กี่คู่บนภูเขาคุนอู๋จับจ้องมายังซูอี้ผู้ยืนใต้ฝืนนภาด้วยสีหน้าเฉยเมย
ซูอี้?
มารหัวขนน้อยผู้นี้กล้าดีเช่นไร จึงมารนหาที่ตายเอง?
ช่างเหลือเชื่อจริงแท้
ชายวัยกลางคนในอาภรณ์หนังงูซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มผู้สูงส่งตระกูลเยี่ยโบกมือให้ทุกคนหยุดพูด
จากนั้น เขาก็หันไปกล่าวกับซูอี้ด้วยน้ำเสียงเฉยเมยน่าเกรงขาม “ซูอี้ เจ้ามาทำอันใดที่นี่?”
เสียงของเขาสะท้อนกังวาน ปัดเป่าหมู่เมฆรายล้อมกระจายหาย
ซูอี้เงยหน้าขึ้นกระดกดื่มสุราหมดไหในคราเดียว จากนั้นก็โยนไหทิ้ง พลิกฝ่ามือ แล้วระฆังทองแดงสีดำอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
นี่คือระฆังที่มารดาของเขา เยี่ยอวี่เฟยจากตระกูลเยี่ยถือติดตัวยามไปสู่มหาทวีปคังชิง จากนั้นมันก็ตกสู่เงื้อมมือบิดาเขา ซูหงหลี่
เมื่อปีก่อน หลังเอาชนะซูหงหลี่ได้ สมบัติชิ้นนี้ก็มาอยู่ในมือซูอี้ในที่สุด
หลังจากจ้องมองสมบัติชิ้นนี้อยู่ชั่วขณะ ซูอี้ก็เบือนสายตามามองเหล่าสมาชิกตระกูลเยี่ย และกล่าวประโยคหนึ่ง
“ข้ามาที่นี่เพื่อส่งระฆังให้ตระกูลเยี่ย”