บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1033: ทวงความยุติธรรมให้มารดาบังเกิดเกล้า
ตอนที่ 1033: ทวงความยุติธรรมให้มารดาบังเกิดเกล้า
ส่งระฆังที่ว่า ที่จริงแล้วความหมายแฝงก็คือมาล้างตระกูล!
ใครเล่าจะฟังไม่ออก?
เหล่าผู้ยิ่งใหญ่จากตระกูลเยี่ยล้วนตกตะลึงระคนขำขัน
เป็นเพียงมารหัวขนน้อยจากมหาทวีปคังชิง แต่กลับกล้ามาโวยวายหาเรื่องถึงถิ่น ช่าง… ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!
ดวงตาของชายวัยกลางคนในชุดหนังงูซึ่งอยู่ห่างออกไปหรี่ลง เขาจำระฆังทัณฑ์โลกันต์ในมือซูอี้ได้
ทันใดนั้น เขาก็กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ไอ้หนู ไม่ต้องห่วงเรื่องตาย ข้าถามเจ้า…”
ก่อนที่เขาจะกล่าวจบ ซูอี้ก็สะบัดแขนเสื้อ
ร่างของชายวัยกลางคนในชุดหนังงูที่อยู่ไกลออกไปพลันระเบิดเละ เลือดเนื้อโปรยปรายย้อมเวหาให้กลายเป็นสีแดงฉาน
การนองเลือดเฉียบพลันนี้ทำให้ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ ตะลึง หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ตกใจทำอันใดไม่ถูก
“ปลาซิวปลาสร้อยจากขอบเขตวงล้อวิญญาณไร้คุณสมบัติพูดกับข้า”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย
อาภรณ์สีเขียวหวีดหวิวตามลม ร่างสูงอันแข็งแกร่งของเขาดูสูงส่งยิ่งขึ้นเมื่อต้องแสงจากนภา
“บัดซบ! เขาฆ่าผู้อาวุโสใหญ่ไปแล้ว!”
“ไฉนมารหัวขนน้อยนี่จึงแข็งแกร่งนัก?”
ตระกูลเยี่ยบนเขาคุนอู๋ต่างฮือฮาอื้ออึง
ชายวัยกลางคนผู้นั้นคือผู้อาวุโสใหญ่ในตระกูลเยี่ยของพวกเขา อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบ เป็นรองเพียงขอบเขตจักรพรรดิ มีตำแหน่งฐานะสูงส่ง
ทว่ายามนี้ เขากลับถูกสังหารในการโจมตีเดียว!
ใครเล่าจะไม่แปลกใจ ใครเล่าจะไม่เดือดดาล?
“แน่นอน พวกเจ้าก็ด้วย พวกเจ้าอ่อนแอเกินไป”
ร่างของเหล่าผู้สูงส่งชะงักค้าง ส่งเสียงกรีดร้องลั่น และต่างเผ่นเข้าไปในภูเขาคุนอู๋เป็นครั้งแรก
นิ้วของซูอี้เคาะไปบนระฆังทัณฑ์โลกันต์ในมือเบา ๆ
แกร๊ง!!
คลื่นเสียงสีทมิฬแผ่ออกราวคลื่นถล่มแผ่นดินทลาย ส่งเสียงกังวานทั่วทิศ
เดิมสมบัตินี้คือสมบัติวิญญาณชิ้นหนึ่งซึ่งเสียหายไปนานแล้ว ทว่าเมื่อซูอี้ใช้มัน กลับสามารถสำแดงพลังเกินหยั่งคาด
ทันทีที่คลื่นเสียงทมิฬกวาดผ่าน ร่างของผู้สูงส่งเจ็ดแปดคนของตระกูลเยี่ยพลันแหลกสลายทั้งร่างและวิญญาณ
ไม่อาจขัดขืนได้แม้แต่น้อย!
ตู้ม!
คลื่นเสียงทมิฬอันแปรเปลี่ยนจากเสียงระฆังกระแทกเข้าใส่ค่ายกลบนภูเขาคุนอู๋ ก่อเกิดเป็นเสียงคำรามกึกก้อง เพลิงคลั่งปะทุกรุ่น แสงศักดิ์สิทธิ์เฉิดฉายเจิดจ้า
“ไฉนคนผู้นั้นจึงแข็งแกร่งได้เพียงนี้กัน?”
บางคนตัวสั่น ฟันกระทบกันกึก ๆ
“มารน้อย! วอนตายเสียแล้ว!”
ทันใดนั้น เสียงคำรามก็ดังสะท้อนก้อง
สายรุ้งสีทองทะยานออกมาจากภูเขาคุนอู๋ แปรเปลี่ยนเป็นชายชุดทองร่างสูงผู้หนึ่ง
เขามีเส้นผมยาวสีเทา บนหลังเหน็บง้าวสั้นสีดำไว้เล่มหนึ่ง ร่างเต็มไปด้วยอำนาจน่าหวาดหวั่นของขอบเขตจักรพรรดิ
ทันทีที่เขาปรากฏกาย โลกหล้าพลันแปรสี เวหาสั่นระรัว
อำนาจสูงส่งเลิศล้ำนี้ทำให้ทุกคนในตระกูลเยี่ยต่างร้องตะโกนอย่างตื่นเต้น
“บรรพชนเทียนหง!”
“ครานี้เจ้ามารหัวขนน้อยนั่นตายแน่!”
“ตายหรือ? ง่ายเกินไปสำหรับเขานะ”
…เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังออกมาจากทั่วภูเขาคุนอู๋
เยี่ยเทียนหง!
เขาคือผู้บ่มเพาะขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลาง หนึ่งในจักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำของตระกูลเยี่ยแห่งคุนอู๋!
“วอนตาย?”
ซูอี้ปัดเมฆาออกจากอาภรณ์ ขณะกล่าวอย่างเฉยเมย “เยี่ยอวิ๋นเจี่ยก็เคยพูดเช่นนี้ แต่ยามนี้เขาก็ตายในมหาทวีปคังชิงไปแล้ว”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ม่านตาของเยี่ยเทียนหงก็หดตัว
เสียงฮือฮาตื่นเต้นในเขาคุนอู๋เองก็หยุดลงกะทันหัน
บรรพชนอวิ๋นเจี่ย… ตายแล้ว!?
“เป็นแค่ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณ กล้าพูดไร้สาระต่อหน้าตระกูลเยี่ยของข้า ช่างน่าขำนัก! จะบอกว่าเจ้าฆ่าบรรพชนอวิ๋นเจี่ยไปแล้วหรือไร?”
ทันใดนั้น เสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นบนภูเขาคุนอู๋อีกครั้ง ใบหน้าอ่อนเยาว์ เส้นผมคล้ายนกกระเรียน เขาสวมชุดนักพรตเต๋าปล่อยชายแขนเสื้อสง่างาม ร่างแข็งแกร่งทลายโลกา
เยี่ยผิงไห่!
เขาคือฝึกบ่มเพาะขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นปลาย และเป็นผู้อาวุโสสูงสุดผู้หนึ่งของตระกูลเยี่ยแห่งคุนอู๋เช่นเดียวกับเยี่ยเทียนหง
เมื่อเขาปรากฏกาย บรรยากาศก็เย็นเยียบลงอีก
สมาชิกตระกูลเยี่ยต่างสงบใจลง
จริงดังว่า แค่มารหัวขนน้อยในขอบเขตวงล้อวิญญาณ เขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของบรรพชนอวิ๋นเจี่ยได้เช่นไร?
“ไฉนเจ้าจึงไปพูดไร้สาระกับเขาเล่า ในเมื่อเขาส่งตัวเองมาตายถึงที่ ก็สงเคราะห์ให้เขาหน่อยเป็นไร!”
ต่อจากเสียงเจือจิตสังหาร รุ้งดาบสีม่วงพร่างพรายก็ทะยานฟ้าตรงมาสมทบ
นางเป็นหญิงงามในชุดม่วง รวบผมเป็นมวยสูง เหน็บดาบโบราณไว้เบื้องหลัง สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความเย็นชาเยือกแข็ง ทั่วร่างเปี่ยมด้วยพลังแห่งจักรพรรดิ
เยี่ยโยวจู๋!
นางคือผู้บ่มเพาะขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลาง และเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดในตระกูลเยี่ยเช่นกัน การฝึกฝนของนางอาจเป็นรองเยี่ยผิงไห่เล็กน้อย ทว่าวิชาดาบของนางห่างไกลเกินเทียบได้กับเยี่ยผิงไห่
เมื่อเห็นสามผู้อาวุโสสูงสุดออกมาพร้อมเพรียง ภูเขาคุนอู๋พลันเกิดเสียงฮือฮา และสมาชิกตระกูลเยี่ยทุกคนต่างตื่นเต้นเปี่ยมขวัญ
ตัวตนจักรพรรดิทั้งสามคนลงมือ ไม่ว่าที่ใดทั่วภูมิคังเสวียน พวกเขาก็กวาดล้างสิ้นอย่างไร้เทียมทานได้!
อย่าว่าแต่ตัวตนในขอบเขตเพียงวงล้อวิญญาณเลย!
ยามนี้ กระทั่งจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยยังแสดงสีหน้าเครียดขึ้งออกมา
เขาได้เห็นภาพยามที่ซูอี้สังหารเยี่ยอวิ๋นเจี่ยอย่างง่ายดายมาก่อน แต่ยามนี้ อีกฝ่ายคือจักรพรรดิสามคน และพวกเขายังอยู่ในถิ่นฐานตระกูลเยี่ย ทั่วเขาคุนอู๋แห่งนี้เต็มไปด้วยค่ายกลหนาแน่น ซึ่งทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องกลัวเกรง
“นี่… จะทำเช่นไรได้!”
เยี่ยอวิ๋นหลันร้อนรนราวมดบนกระทะร้อน
เขารู้ดีว่าต่อให้เขาวอนขอด้วยชีวิตตน ก็ยากจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้
เพราะตระกูลเยี่ยไม่มีทางปล่อยซูอี้ไป
หาไม่ เยี่ยอวิ๋นเจี่ยคงไม่ถูกส่งไปจับตัวซูอี้ที่มหาทวีปคังชิง
ทว่าหากเขาทำเพียงเฝ้ามอง ความรู้สึกผิดชอบของเยี่ยอวิ๋นหลันคงไม่อาจอยู่สุข!
ในชั่วขณะนั้น เขาลนลานกระสับกระส่าย จนเกือบรู้สึกสติเสีย
ใต้ผืนนภา
ซูอี้เหลือบมองสามจักรพรรดิ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไฉนเยี่ยเทียนตูจึงไม่ปรากฏตัว?”
เยี่ยเทียนตู คือสมาชิกจากตระกูลสายรอง และเป็นหนึ่งในสองตัวตนแห่งขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำที่เหลือรอด
เมื่อเทียบกับเยี่ยคังถูที่วิถีเต๋าเสียหายจากการจองจำแห่งยุคมืดแล้ว วิถีเต๋าของเยี่ยเทียนตูกลับไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด
จากสิ่งที่ซูอี้เข้าใจ ในตระกูลเยี่ยทั้งหมด ก็มีเพียงเยี่ยเทียนตูที่พอจะเข้าท่าในสายตาของเขา
“สามหาว! แค่ข้าคนเดียวก็ฆ่ามารหัวขนน้อยเช่นเจ้าได้แล้ว!”
เยี่ยโยวจู๋กล่าวอย่างเย็นชา
นางชักดาบวิถีออกมาฟาดฟันใส่ซูอี้ทันที
ตู้ม!
ปราณดาบสีเงินทะลวงเวหาดุจอสนีบาต เจิดจ้าไร้ประมาณ เต็มไปด้วยอำนาจร้ายกาจราวถล่มนภาทลายแดนดิน
ผู้คนไม่อาจลืมตามองได้
เพราะถึงอย่างไร นี่ก็คือดาบจากจักรพรรดิ เพียงมองจากไกล ๆ ก็ปราบยอดฝีมือทั้งมวลที่มีขอบเขตต่ำกว่าขอบเขตจักรพรรดิได้แล้ว!
“ก็แค่แมลงวันเขย่าต้นไม้ ดูจุดจบของพวกเจ้าทั้งสามก่อนแล้วกัน”
ซูอี้ยื่นฝ่ามือออกไปกดเบา ๆ ที่อากาศเบื้องหน้า
ตู้ม!
ปราณดาบดุจอสนียาวกว่าสิบจั้งยังไม่ทันถึงไหน มันพลันพังทลายลงบนอากาศ
แทบจะในยามเดียวกัน ซูอี้ก็หายวับไปในอากาศธาตุ และปรากฏขึ้นตรงหน้าเยี่ยโยวจู๋ในพริบตาต่อมา
“แย่แล้ว!”
สีหน้าของเยี่ยโยวจู๋แปรเปลี่ยนกะทันหัน ดาบในมือของนางฟาดฟันออกไป
ปลายนิ้วของซูอี้แทงเข้ามาดุจปลายดาบ
เคร้ง!!!
ดาบวิถีของเยี่ยโยวจู๋สั่นไหวนรุนแรง ก่อนจะปลิวกระเด็นไป
และปลายนิ้วของซูอี้ก็กดลงที่หว่างคิ้วของเยี่ยโยวจู๋
ปลายนิ้วย่อมไม่แหลมคมเยี่ยงปลายดาบเป็นธรรมดา ทว่าเบื้องหลังนิ้วของซูอี้กลับบังเกิดรูแผลทะลักโลหิตขึ้นที่หว่างคิ้วของเยี่ยโยวจู๋ ปราณดาบไร้ใดเทียบแล่นพล่านจากหัวของนางลงสู่คอ ลงไปสู่ร่าง
จากนั้น นางก็พลันสลายเป็นเถ้า
หนึ่งจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำผู้มีวิชาดาบเลิศเลอถูกสังหารสิ้นด้วยเพียงหนึ่งนิ้วมือ!
ภาพอันทรงอำนาจนี้ทำทุกคนตะลึงงันทันใด
หลังจากสังหารเยี่ยโยวจู๋ ร่างของซูอี้ก็วูบไหวและเข้าสังหารเยี่ยผิงไห่อีกครั้ง
“แย่แล้ว!”
เยี่ยผิงไห่ตัดสินใจเด็ดขาดและหลบทันที
แต่ก็สายเกินไป ซูอี้ใช้สองมือประทับตรา ฟาดไปกลางอากาศดุจเทพเซียนทุบกลอง
ตู้ม!
ภายใต้สายตาตื่นกลัวทั้งหลาย หนึ่งตราประทับดาบเฉิดฉายร่วงหล่นลง ฉีกกระชากร่างของเยี่ยผิงไห่ในพริบตาราวถูกค้อนเทวาแยกร่าง
เป็นภาพน่าสยดสยอง
หนึ่งดัชนีระเบิดร่างเยี่ยโยวจู๋ หนึ่งประทับบดขยี้เยี่ยผิงไห่!
ทุกสิ่งเกิดขึ้นในชั่วหนึ่งดีดนิ้ว สองจักรพรรดิจากตระกูลเยี่ยแห่งคุนอู๋ตายอนาถคาที่!
ตีพวกเขาให้ตายก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณจะร้ายกาจท้าทายสวรรค์ สังหารจักรพรรดิเยี่ยงเชือดไก่ได้เช่นนี้!
“รีบไปเชิญบรรพชนเทียนตูมาเร็วเข้า!!!”
เยี่ยเทียนหงผู้เหลือคนสุดท้ายตระหนกตกใจจนหัวใจแทบระเบิด
ก่อนซูอี้จะทันได้ฆ่าเขา เขาก็แผดเสียงลั่นและทะยานไปทางภูเขาคุนอู๋อย่างสิ้นหวัง ไม่กล้าหยุดแม้แต่น้อย
“จะหนีหรือ?”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ ในมือที่ยกค้างกลางอากาศปรากฏปราณดาบอันทอประกายสีทองเจิดจ้าควบแน่นขึ้นสายหนึ่ง ก่อนจะสะบัดฝ่ามือ
ขวับ!
ปราณดาบสีทองสายนี้ทะยานผ่าเวหาเข้าใส่เยี่ยเทียนหง
ดาบผ่าเวหาไร้สิ้นสุด!
มันสามารถทะลวงผ่านมิติ ฉีกกระชากทุกข้อจำกัด รวดเร็วเยี่ยงเพลิงวูบไหว
วิชาดาบนี้มีแก่นหลักเพียงคำเดียว เร็ว!
เยี่ยเทียนหงผู้อยู่เกือบถึงค่ายกลเขาคุนอู๋โซเซแทบร่วงลงจากเวหา
“ในโลกนี้… ไฉนจึง… มีคนใน… ขอบเขตวงล้อวิญญาณเช่นเจ้าอยู่?”
เยี่ยเทียนหงเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก พยายามหันกลับมา ทว่าหัวของเขากลับกลิ้งลงจากบ่าเสียก่อน
จากนั้น ร่างของเขาก็สลายกลายเป็นเถ้า
จักรพรรดิคนที่สามสูญสลาย!
นับแต่ต้นจนจบ ซูอี้โจมตีเพียงสามครั้ง ทุกครั้งที่โจมตี หนึ่งจักรพรรดิปลิดปลิว ง่ายดายดุจบี้มดสามตัว
โลกหล้าเงียบสงัด โลหิตลอยคลุ้งเต็มเวหา
ตลอดทั่วเขาคุนอู๋ สมาชิกตระกูลเยี่ยทั้งหลายต่างตะลึงจังงังสิ้นสติ สมองขาวโพลน นิ่งสนิทราวรูปปั้นดินเหนียว
กระทั่งจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย หัวใจของเขายังสั่นระรัว
ในสายตาของโลกหล้า ขอบเขตจักรพรรดินั้นเคลื่อนบรรพตเหือดสมุทรได้ดั่งเทพ กู่ร้องอหังการทั่วผืนนภา ก้มหน้าลงมองสรรพชีวิตในโลกา
ทว่าต่อหน้าซูอี้ จักรพรรดิทั้งสามจากตระกูลเยี่ยแห่งคุนอู๋กลับดูไร้ทางสู้เหลือเกิน ไม่ต่างจากไก่หรือสุนัข!
จะไม่ให้ตกใจได้เช่นไร?
ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดคือ จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยสัมผัสได้ชัดเจนว่านับแต่ต้นจนยามนี้ ซูอี้ยังไม่ได้แสดงอำนาจในขอบเขตจักรพรรดิของเขาออกมาเลย!
“ที่แท้ ลูกของอวี่เฟยก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว…”
เยี่ยอวิ๋นหลันตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้างเลื่อนลอย
ก่อนหน้านี้ เขากระวนกระวายเสียจนแทบบ้า
ทว่าเมื่อเห็นเรื่องทั้งหมดนี้ เขากลับค้นพบว่าท้ายที่สุด เขาก็ยังประเมิน ‘หลานชาย’ ผู้นี้ต่ำไป
ในชั่วกาลเพียงหนึ่งปี ซูอี้ได้แข็งแกร่งขึ้นเสียจนมีอำนาจสังหารจักรพรรดิอย่างแสนผ่อนคลาย!
ขณะนี้ ซูอี้ยืนตัวตรง เขาก็เคาะบนระฆังทัณฑ์โลกันต์เล็กน้อย และกระซิบกับตนเอง “เสียงระฆังนี้ ยามนี้… นับเป็นการทวงความยุติธรรมให้แม่ข้า เยี่ยอวี่เฟย”
เสียงระฆังกังวานก้องทั่วหล้าฟ้าดิน
“แต่มันยังไม่พอหรอก”
ดวงตาลึกล้ำของซูอี้มองลึกเข้าไปในเขาคุนอู๋