บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1035: กลับบ้าน
ตอนที่ 1035: กลับบ้าน
ท้องนภาพลันสว่างไสว
ปราณดาบหลั่งไหลดุจกระแสน้ำทะลักเขื่อน
ปราณดาบแต่ละสายล้วนยาวสามจั้ง กระจ่างใสดุจโปรยปรายจากสวรรค์ บรรจุคลื่นพลังแห่งกฎเต๋าอันคมกริบไว้ด้านใน
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
สุญญะพลันถูกแหวกร้าวรานสานเป็นเส้นราววาดเขียนบนผืนผ้าใบ เผยร่องรอยปราณดาบหนาแน่น
เมื่อมองจากไกล ๆ ดูจะมีพิรุณปราณดาบโปรยปรายใต้นภาเหนือเขาคุนอู๋ หนาแน่นเป็นประกาย สะท้อนแสงสีดุจตะวันอัสดง
สาดแสงพรรณรายส่องหล้า ตรึงตาทั่วแดนดิน
และเมื่อพิรุณปราณดาบเหล่านี้โปรยลง…
ฉับ! ฉับ! ฉับ!
ร่างบุคคลร่วงลงสู่พื้นราวต้นหญ้าถูกเกี่ยว
บ้างถูกทะลวงคอ บ้างถูกบั่นศีรษะ บ้างอกแหวก บ้างถูกปั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย…
“ไม่!”
บางคนคำรามอย่างโศกเศร้า เต็มไปด้วยความอาลัย
“สวรรค์สังหารตระกูลเยี่ยของข้า! สวรรค์สังหารตระกูลเยี่ยของข้า!”
บางคนกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย”
บางคนตะโกนอย่างหวาดกลัว
…โลหิตทะลักไหลราวชาดใต้แปรงวาดภาพ ละเลงไปทั่วภูเขาคุนอู๋ สร้างเป็นภาพขุมนรกสีแดงฉาน
“ตัวประกันเหล่านั้นอยู่หนใด! รีบสั่งกู่ฆ่าพวกมันให้หมด! หากเราตาย พวกเขาก็อย่าหวังอยู่เลย!!”
เสียงคำรามอย่างเดือดดาลเสียงหนึ่งก้องขึ้น
“นายท่าน เนิ่นนานก่อนศึกนี้จะเริ่ม ตัวประกันหายไปหมดแล้วขอรับ…”
ใครบางคนร้องอย่างสิ้นหวัง แล้วดาบเล่มหนึ่งก็ทะลวงคอเขาสิ้นใจคาที่
และสารพัดเสียงกรีดร้องอาวรณ์ก็ค่อย ๆ จางหายไป
หมอกโลหิตปกคลุมทั่วภูเขาคุนอู๋ ทั่วบริเวณพังยับเยิน
“ซูอี้ เจ้าเองก็มีสายเลือดตระกูลเยี่ยของข้าในกายเจ้า หากทำเช่นนี้ ไม่กลัวถูกสวรรค์ลงทัณฑ์หรือไร?”
จิตวิญญาณของเยี่ยเทียนตูมองซูอี้อย่างรวดร้าวระคนขุ่นเคือง
ซูอี้มองเขาด้วยแววตาเย็นชา โดยปราศจากวาจาใด
เขาคร้านเกินกว่าจะอธิบาย
บนเส้นทางมหาวิถี แม้แต่มารร้ายมือเปื้อนเลือดผู้เข่นฆ่าสังหารผู้คนบนโลกหล้าแสนนานยังคำรามอย่างสิ้นหวังยามตนใกล้ตาย
ผิดถูก ดำขาว จริงเท็จ ไม่ได้ถูกตัดสินโดยผู้เพลี่ยงพล้ำ
ยิ่งกว่านั้น ยามยอดฝีมือของตระกูลเยี่ยบดขยี้นครหลวงจิ๋วติ่ง ทำลายภูเขาเทียนหมางเมื่อก่อนหน้านี้ ก็ไม่อาจทราบได้ว่าชีวิตผู้บริสุทธิ์มากมายเพียงไรต้องสูญไปเพราะเหตุนี้
ผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น… ผิดด้วยหรือ?
ใครเล่าจะทวงความยุติธรรมให้พวกเขา?
หนี้แค้นไร้คุณธรรม ตระกูลเยี่ยไม่ควรฝืนบรรทัดฐานของซูอี้ ทำร้ายผู้คนบริสุทธิ์เช่นนี้!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจับตัวผู้คนที่เขาใส่ใจที่สุด และเหวินซินจ้าวก็เกือบถูกผู้อื่นย่ำยี!
และยามนี้ เยี่ยเทียนตูยังจะมาคำรามลั่น บอกว่าเขาซูอี้จะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ แสดงชัดว่าเสียความยั้งคิดไปแล้ว ช่างน่าขันนัก
ดังนั้น ซูอี้จึงคร้านเกินกว่าจะโต้เถียงด้วย
เขายืนมองทุกอย่างเงียบ ๆ
ไกลออกไป เมื่อจิตวิญญาณของเยี่ยเทียนตูไม่ได้รับคำตอบ เขาก็ดูไม่พอใจอย่างมาก ทว่าท้ายที่สุด เขาก็หันไปมองภูเขาคุนอู๋อย่างยากลำบากและถอนใจ
ท้ายที่สุด จิตวิญญาณของเขาก็สลายเป็นเถ้าธุลี
พลังจากดาบที่สามของซูอี้ก่อนหน้านี้ทำลายพลังชีวิตในจิตวิญญาณของเขา ไร้โอกาสฟื้นชีพโดยสมบูรณ์!
และเมื่อจิตวิญญาณของเยี่ยเทียนตูเสื่อมสลาย โลกหล้าก็เงียบสงัด
บนภูเขาคุนอู๋ โลหิตเคลื่อนคล้อยอ้อยอิ่งดุจหมอก บรรยากาศแห่งการทำลายล้างสะท้อนทั่วฟ้าดิน
ช่างหม่นหมอง
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยมองร่างซูอี้ที่ยืนเดียวดาย แล้วเขาก็ตะลึงจนปัญญา
ดาบแรกประหารหัวยอดฝีมือในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ
ดาบที่สองทำลายค่ายกลแห่งคุนอู๋
ดาบที่สามกวาดล้างตระกูลเยี่ย!
ด้วยเพียงสามดาบ ตระกูลเยี่ยผู้ปกครองภูมิคังเสวียนมานานก็ถล่มสูญสลาย!
ทันใดนั้น จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็สังเกตเห็นซูอี้เอื้อมมือขวา คว้าบางอย่างที่เขาคุนอู๋
หญิงชายสิบกว่าคนถูกยกตัวขึ้นสู่อากาศราวปลาในแห
ในหมู่พวกเขา มีเยี่ยอวิ๋นหลันผู้เคยอ้างตัวว่าเป็นลุงของซูอี้!
“ที่แท้ เขาก็ยังไม่ได้ถึงกับตัดรากถอนโคนจริง ๆ…”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยรู้สึกซาบซึ้งอย่างไม่อาจบรรยาย
คนตระกูลเยี่ยสิบกว่าคนที่รอดชีวิตล้วนมาจากสายตระกูลหลักของตระกูลเยี่ยเหมือนเยี่ยอวิ๋นหลัน
ก่อนหน้านี้ยามซูอี้ลงมือ จิตสัมผัสของเขาได้จับตัวคนเหล่านี้ ตรวจสอบตัวตนของเขาเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นดาบที่สามก่อนหน้านี้จึงไม่ได้เล็งเป้าไปยังคนเหล่านี้
“ไฉนจึงไม่มีเยี่ยคังถูเล่า?” ซูอี้ถามเยี่ยอวิ๋นหลัน
เยี่ยคังถู คือหนึ่งในสองตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำซึ่งรอดชีวิตอยู่ของตระกูลเยี่ยแห่งคุนอู๋ วิถีเต๋าของเขาเสียหายจนไม่อาจออกจากที่พำนักในชั่วกาลผ่านมา
และเยี่ยคังถูก็มาจากสายตระกูลหลักของตระกูลเยี่ย
สีหน้าของเยี่ยอวิ๋นหลันดูซับซ้อน หัวใจของเขาสั่นสะท้านไม่อาจสงบลง
ครู่ต่อมา เขาก็กล่าวเสียงเบา “ที่จริงแล้ว… บรรพชนคังถูเสียชีวิตไปนานแล้วล่ะ”
เมื่อวาจาเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา ซูอี้ก็แปลกใจ
สมาชิกตระกูลเยี่ยคนอื่น ๆ ในบริเวณต่างดูสับสนงุนงง บรรพชนคังถูตายแล้วหรือ?
เยี่ยอวิ๋นหลันเห็นเช่นนั้นก็กล่าวเสียงต่ำอย่างเศร้าสร้อย “เมื่อหลายปีก่อน วิถีเต๋าของบรรพชนคังถูเสียหาย ข้าจึงตระหนักได้ว่าเขาคงรอดต่อไม่นาน แต่เขากังวลว่าหลังจากไป พวกเราจากสายตระกูลหลักคงถูกตระกูลสาขารังแกเป็นแน่ ดังนั้นจึงให้ข้าประกาศแก่โลกหล้าว่าเขาต้องการเก็บตัวฝึกฝนเพื่อเลื่อนขอบเขต ทว่าอันที่จริง ท่านใช้สุดยอดเคล็ดวิชาผนึกถ้ำและร่างวิถีของเขาเอาไว้ที่นั่น…”
“เรื่องนี้ บรรพชนคังถูบอกเพียงข้าและท่านอารองเยี่ยอวิ๋นสุ่ยเท่านั้น ดังนั้นจวบจนยามนี้จึงไม่มีผู้ใดรู้ความจริงว่าบรรพชนคังถูได้คืนสู่ประจิมไปแล้ว”
“และเพราะเหตุนี้ แม้สถานการณ์ของสายตระกูลเราจะย่ำแย่ลงทุกที แต่เพราะบารมีบรรพชนคังถูค้ำหัว พวกตระกูลสาขาจึงไม่กล้าล้างสายตระกูลเรา”
กล่าวจบ เยี่ยอวิ๋นหลันก็ถอนใจ สีหน้าอาวรณ์เดียวดาย
ซูอี้ตะลึงไปทันที
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าเล่า ตลอดมาที่ตระกูลเยี่ยสายหลักแห้งเหือดเกินทานทน เยี่ยคังถูผู้นี้จึงไม่เคยสอดมือช่วย
ที่แท้คนผู้นี้ก็จากไปแสนนานแล้ว!
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ซูอี้ก็โพล่งถาม “เจ้าเกลียดข้าหรือไม่?”
เยี่ยอวิ๋นหลันส่ายหน้า
ซูอี้ถามอีกครั้ง “เจ้าวางแผนทำเช่นไรต่อ?”
เยี่ยอวิ๋นหลันกระซิบด้วยสีหน้าซับซ้อน “ข้าคงเลือกจะออกไปจากเมือง ขอเพียงพวกเรายังมีชีวิต ต้องมีโอกาสแพร่ขยายสาขาในอนาคตเป็นแน่”
ซูอี้นำยันต์ลับออกมาส่งให้เยี่ยอวิ๋นหลันชิ้นหนึ่ง “หากภายหน้า เจ้าได้พบบางอย่างที่ไม่อาจแก้ไข เจ้าใช้ยันต์ลับนี้ไปหาข้าที่เก้ามหาแดนดินได้นะ”
เยี่ยอวิ๋นหลันตะลึงอึ้ง ก่อนจะเก็บยันต์ลับไปโดยไม่กล่าววาจาใดอีก
ซูอี้นำระฆังทัณฑ์โลกันต์ออกมาสั่น
แกร๊ง!
เสียงระฆังกังวานก้อง
แล้วระฆังทองแดงแตก ๆ นี้ก็พลันกลายเป็นพิรุณแสงหลากสีกระจัดกระจายลงบนภูเขาคุนอู๋
ในห้วงภวังค์ ซูอี้จำภาพที่เขายังเป็นเด็กในชาตินี้ขึ้นมาได้อย่างไม่อาจอธิบาย
ในห้องที่แคบและมืดมิด มารดาของเขาเยี่ยอวี่เฟยนั่งท่ามกลางแสงเทียนสลัวมัว ฮัมทำนองเพลงกล่อมเขาในวัยสามปีให้หลับใหล
ใบหน้าของนางในยามนั้นช่างอ่อนหวานเหลือเกิน
ซูอี้แย้มยิ้ม และลึก ๆ ในใจของเขา ปมอันไม่อาจมองเห็นปมหนึ่งก็ดูคลายตัวออก
“จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย เราควรไปได้แล้ว”
ซูอี้กล่าวพลางหันหลังกลับ
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยติดตามเขาไป
เมื่อเห็นร่างของพวกเขาหายลับท้องนภาไป พวกเยี่ยอวิ๋นหลันต่างจมในภวังค์
ทุกคนรู้ว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยผู้เคยปกครองภูมิคังเสวียนชั่วกาลแสนนานจะกลายเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งในประวัติศาสตร์ ถูกล้มล้างสิ้นการคงอยู่!
หนึ่งเดือนต่อมา
ถ้ำอุกกาบาต มหาทวีปคังชิง
ค่ายกลสิบแปดชั้นปกคลุมทั่วถ้ำอุกกาบาต และลึกเข้าไปในถ้ำมีตำหนักงดงามสูงตระหง่านจากพื้น
ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากฝีมือของซูอี้
ใจกลางตำหนักแห่งหนึ่ง
“อิงเชวีย ครั้งหนึ่งข้าเคยให้พระสูตรเต๋าจั้งกับเจ้า เจ้าก็แค่ฝึกฝนให้จงหนัก แล้วเจ้าจะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นมังกร สู่จักรพรรดิในอนาคต นี่คือหนังสือลับของผู้ฝึกตนปีศาจยามพิสูจน์วิถีเป็นจักรพรรดิ มันบันทึกประสบการณ์มากมายของจักรพรรดิปีศาจทั้งหลาย”
ซูอี้ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายส่งม้วนหยกม้วนหนึ่งให้แก่อิงเชวีย
“ขอบคุณคุณชาย!”
อิงเชวียก้มหัวคำนับขอบคุณและกล่าวด้วยความตื่นเต้น
“หยวนเหิง ความสามารถเจ้ามีจำกัด และพื้นเพก็ธรรมดาทั่วไป ทว่าในการฝึกฝนมหาวิถี ความพากเพียรกลบจุดด้อยของเจ้าได้ อย่าได้แข่งขันชิงความเป็นหนึ่งกับผู้ใด มันไม่จบสิ้นหรอก ใช้เคล็ดวิชานี้ขัดเกลาหัวใจ บ่มเพาะวิญญาณของเจ้าไว้นะ”
“แม่นางหนิง เจ้ามีความสามารถดี และไม่ได้ขาดเคล็ดวิชาฝึกฝน ทว่าเจ้าอยู่ใต้กฎสวรรค์แห่งมหาทวีปคังชิงและมีความเข้าใจในมหาวิถีไม่เพียงพอ นี่คือชิ้นส่วนมหาวิถีที่ข้าได้มาจากตาเฒ่าบางพวกยามอยู่ในภูมิมืดมิด เจ้าเอาไปทำความเข้าใจสิ”
“เก๋อเฉียน…”
…ในช่วงกาลต่อมา ซูอี้ก็นำสมบัติหลากหลายออกมาส่งให้ทุกคนทีละคน
แน่นอนว่าอาคัง เหวินซินจ้าว ฉาจิ่น ชิงหว่าน เหวินหลิงเสวี่ยและสตรีผู้อื่นก็ได้ดีไม่แพ้กัน ตลอดเดือนที่ผ่านมา พวกนางได้รับการสอนสั่งจากซูอี้มามากกว่าหน
โดยเฉพาะชิงหว่านและฉาจิ่น สตรีทั้งสองนี้ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด…
ท้ายที่สุด ซูอี้ก็นำแหวนสัมภาระอีกวงส่งให้หนิงซือฮวา
มันบรรจุทรัพยากรฝึกตนที่ซูอี้รวบรวมมาตลอดเส้นทางฝึกฝนของเขา ยามนี้หลังก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิ พวกมันส่วนใหญ่ก็ไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป
และหลังทำเรื่องทั้งหมดนี้ ซูอี้ก็พลันรู้สึกโล่งใจ
ระหว่างหนึ่งเดือนที่เขากลับมาจากภูมิคังเสวียนสู่มหาทวีปคังชิง เขาแทบไม่ได้หยุดสร้างค่ายกลสิบแปดชั้นซึ่งสามารถสังหารตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำปกคลุมทั่วถ้ำอุกกาบาต
นอกจากนั้น เขายังใช้เวลาเพื่อสอนสั่งการฝึกฝนของพวกพ้องเป็นรายบุคคล จัดเตรียมวิถีให้ทุกคน และอธิบายความข้องใจของพวกเขา
กระทั่งยามวิกาลเขาก็ไม่ได้ว่างเว้น ใช้วิชาฝึกฝนคู่เคี่ยวกรำชิงหว่านและฉาจิ่นอย่างเข้มข้น ทั้งครุ่นคิดเป็นเรื่องเป็นราว และเข้าร่วมไขปริศนาการกระทบระหว่างจิตวิญญาณและกายเนื้อ
มีคำกล่าวว่า การต่อสู้กับสวรรค์นั้นหฤหรรษ์ไม่รู้จบ
การฝึกฝนคู่ก็เป็นเช่นนั้น
ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว เดือนนี้ทั้งยุ่งเหยิงและอิ่มเอิบสำหรับซูอี้
จุดประสงค์ของทุกอย่างคือเพื่อเตรียมทุกคนให้พร้อมก่อนออกเดินทางสู่เก้ามหาแดนดิน
และวันนี้ เขาก็จัดการทุกเรื่องเรียบร้อย ตัดสินใจออกเดินทาง!
“พี่ซูอี้ พี่จะกลับมาอีกเมื่อใดหรือ?”
ทุกคนต่างออกมาส่งซูอี้ที่หน้าถ้ำอุกกาบาตด้วยกัน
“หากไร้อุบัติเหตุใด ในสามปี ข้าจะมาพาเจ้าไปเก้ามหาแดนดิน”
ซูอี้ลูบหัวเหวินหลิงเสวี่ยยิ้ม ๆ
จากนั้น เขาก็โบกมือให้ผู้คน “ข้าไปล่ะ”
เขาไพล่มือไว้เบื้องหลัง ก้าวสู่อากาศแล้วเคลื่อนคล้อยจากไป
อาภรณ์สีเขียวที่สวมใส่โบกสะบัดราวเซียนทะยานฟ้า
จนเมื่อร่างของเขาหายลับขอบฟ้าไปไกล ฉาจิ่นก็กระซิบเบา ๆ “คุณชายยังคงหล่อเหลาไม่เปลี่ยนแปลง…”
ไร้ความเศร้าโศกอาลัย
มันก็เหมือนการเดินทางไกล เรียบง่ายไร้ผูกมัด
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็อดยิ้มให้กันไม่ได้
จริงแท้ ในความประทับใจของพวกเขา นิสัยของซูอี้ก็เป็นเช่นนี้เสมอ