บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1036: น้องชายจะเดินทางด้วยกันหรือไม่?
ตอนที่ 1036: น้องชายจะเดินทางด้วยกันหรือไม่?
ในจักรวาลพร่างดาวมีเรือท้องแบนลำหนึ่งละลิ่วลอย
เรือลำนั้นแปรร่างจากดาบเงากระจ่าง มีรูปร่างราวจันทร์เสี้ยวสว่างไสว พร่างพรายประกายแสง มันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วยิ่ง
ซูอี้นั่งบนเรืออย่างเกียจคร้าน มองภาพวาดภาพหนึ่ง
ภาพนี้ โต้วโค่วให้เขามายามท่องไปในเกาะเซียนพระสุเมรุในมหาทวีปคังชิง
โต้วโค่วมีสองวิญญาณในหนึ่งร่าง หนึ่งในวิญญาณของนางสำแดงพลังมหาวิถีผ่านภาพวาด ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือจิตรกร
เหมือนเช่นภาพวาดนี้ซึ่งเป็นภาพเกี่ยวกับเยว่ซือฉาน
ในลำธารกว้างสีคราม หญิงสาวชำระกาย หยดน้ำกลมเกลี้ยงหยาดหยดจากเส้นผมยาวสีดำสนิทของนาง ใบหน้างดงามไร้ใดเทียบสะท้อนแสงจาง ๆ จากคลื่นน้ำกระเพื่อมแสง
ร่างอรชรของหญิงสาวผู้บริสุทธิ์ดุจน้ำแข็ง นุ่มนวลงดงามยิ่งกว่าหิมะจมในสารธารตั้งแต่ไหล่และไหปลาร้าลงไป ทว่าก็ยังเห็นสัดส่วนเต่งตึงอันขาวโพลนดุจหิมะจมอยู่ท่ามกลางธารใส
ซูอี้เองก็ลอบชื่นชมในทักษะวาดภาพอันเลิศล้ำนี้
เขาพบภาพวาดนี้ยามกำลังเก็บของเมื่อไม่กี่วันก่อน เมื่อมาดูมันในยามนี้ ซูอี้ก็อดนึกถึงหญิงสาวผู้เย็นชาดุจน้ำแข็งซึ่งหมกมุ่นกับวิชาดาบไม่ได้
กาลก่อนในมหาทวีปคังชิง เยว่ซือฉานถูกบิดาของนาง จักรพรรดิดาบธุลีราตรีเยว่ฉางเทียนพาตัวไปยังโลกเทียนเสวียน หนึ่งในสามสิบสามโลกรายล้อมเก้ามหาแดนดิน
ซูอี้ยังคงจำได้ ว่าเขาบอกเยว่ซือฉานไว้ว่าหากนางประสบปัญหาอันไม่อาจแก้ นางสามารถไปยังแดนซีเยว่ และไปยังแดนบูรพาน้อย สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งในพุทธศาสนา หากกล่าววลี ‘แท่นปทุมยังอยู่หรือไม่’ นางจะได้รับความช่วยเหลือจากหลวงจีนเยี่ยนซิน
“มารู้อีกที ซือฉานก็หายไปสองปีแล้ว…”
ซูอี้ลอบกล่าว
เขาจำเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เมื่อเขาแบมือออก ปิ่นไม้ด้านเก่า ๆ เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาในอากาศ
ปิ่นไม้เล่มนี้สร้างขึ้นจากไม้จันทน์แดง ซึ่งหาได้ง่ายมาก
แต่นี่คือปิ่นเล่มแรกที่เยว่ซือฉานมอบให้ซูอี้ยามจาก บอกว่านี่คือปิ่นเล่มแรกที่แม่เลี้ยงของนางซื้อให้ยามยังเด็ก แม้จะไร้ราคาค่างวด แต่มันมีความหมายต่อนางเป็นพิเศษ หวังว่าซูอี้จะรับฝากมันไว้
ซูอี้ย่อมไม่ปฏิเสธ
เขาจำได้ชัดเจนว่ายามเขาตกลงรับคำ เยว่ซือฉานผู้มีการวางตัวเย็นชาดุจน้ำแข็งเสมอพลันผ่อนคลายแย้มยิ้ม
มันดูราวหิมะน้ำแข็งละลายเหลวภายใต้แสงตะวันวสันตฤดู ความงามของรอยยิ้มนั้นกลบรัศมีโลกหล้า
เมื่อคิดเรื่องนี้พลางมองหญิงสาวในภาพ ซูอี้ก็ลูบไปบนปิ่นไม้ในมือพลางลอบกล่าวว่า “เมื่อข้ากลับจากเก้ามหาแดนดินยามนี้ ข้าจะไปเยือนโลกเทียนเสวียนก่อน”
สามวันจากนั้น
ภาพจักรวาลพร่างดาวอันคุ้นตาก็ปรากฏในคลองจักษุของซูอี้
เขาพลันลุกขึ้นโคจรเคล็ดวิชา สายตามองเข้าไปข้างในจักรวาลพร่างดาวราวมีเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลุกโหมในห้วงลึกแห่งจักษุ
ณ ไกลโพ้นปรากฏเค้าลางความโกลาหลปกคลุมจักรวาล
หลังตรวจสอบอย่างระมัดระวัง เขาก็พบว่ามันเป็นโลกกว้างอันโบราณกว้างใหญ่เสียจนไม่อาจจินตนาการได้ รายล้อมด้วยหมู่ดารามากมาย ดูเล็กจ้อยราวสร้อยสังวาลคล้องรอบโลกกว้างนั้น
“เก้ามหาแดนดิน!”
ซูอี้กระซิบวาจานั้นเบา ๆ
แม้เขาจะไม่เคยเดินทางเข้าสู่ห้วงลึกของจักรวาลพร่างดาวในอดีตชาติ แต่เขาก็เคยเดินทางระหว่างโลกต่าง ๆ ใต้แดนสรวง และย่อมเคยมายังจักรวาลพร่างดาวเหนือเก้ามหาแดนดิน
ดังนั้นเขาจึงจำมันได้เพียงมองปราดเดียว
“หลังหายไปห้าร้อยกว่าปี ในที่สุดข้าก็กลับมา…”
ดวงตาของซูอี้ดูเหม่อลอยเล็กน้อย ในใจถูกกวนเป็นกระแสคลื่น
เนิ่นนานจากนั้น ซูอี้ก็ค่อย ๆ สงบใจลงได้
เพราะระยะทางนั้นแสนไกลห่าง เขาจึงทำได้เพียงมองภาพคร่าว ๆ ของเก้ามหาแดนดิน
แต่เขาก็ยังมองเห็นได้ว่ารอบ ๆ เก้ามหาแดนดินยังมีโลกอื่น ๆ ที่รายล้อมอยู่
จากนั้นซูอี้ก็ใช้เรืออันแปรเปลี่ยนจากดาบเงากระจ่างทะยานตรงไปเบื้องหน้าต่อโดยไม่รีรอ
ดูเหมือนใกล้ ทว่ากลับแสนไกล
การเดินทางเร่งความเร็วในจักรวาลพร่างดาวก็เช่นกัน มองปราดเดียวก็สามารถเห็นสารพัดดาราจักรได้ ทว่ายามต้องการเข้าใกล้กลับแสนยาวไกลยิ่งนัก
จนกระทั่งผ่านไปสามชั่วยาม
ในที่สุดซูอี้ก็รู้ที่ตั้งของ ‘โลกเทียนเสวียน’ และออกเดินทางต่อ
ท่ามกลางหมู่ดารามีเก้ามหาแดนดิน
สิ่งที่รายล้อมเก้ามหาแดนดินมีโลกทั้งหมดสามสิบสามโลกพิทักษ์ป้องกัน
ในหมู่พวกมันคือโลกเทียนเสวียน!
จากการแบ่งพื้นที่การปกครอง โลกเทียนเสวียนนั้นใกล้กับแดนเป๋ยเสวี่ยซึ่งอยู่สุดทิศอุดรแห่งเก้ามหาแดนดินที่สุด และถูกเรียกร่วมกับโลกอีกห้าแห่งว่า ‘ฉดารกะแห่งเป๋ยเสวี่ย’!
ระหว่างทาง ซูอี้เก็บดาบเงากระจ่างไป
เหตุผลนั้นช่างเรียบง่าย เพราะเขาไม่ต้องการให้ปัญหามาถึงตัว
นอกจากหายนะทางธรรมชาติเช่นพายุจักรวาล การผันผวนของเวลาและพายุมารทมิฬ ที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยกลุ่มโจร คนนอกรีต และเหล่าปีศาจมารโคจรในจักรวาลพร่างดาวอีกด้วย
ในเก้ามหาแดนดินมีบทลงโทษอันเป็นที่รู้จักดี คือการเนรเทศศัตรูสู่จักรวาลพร่างดาว และปล่อยให้ล้มตายไปเอง
เหตุเพราะจักรวาลพร่างดาวปั่นป่วนอันตรายเกินไป ผู้คนอาจล้มตายได้ทุกขณะ
ซูอี้ย่อมไม่กลัวเรื่องเหล่านี้ เขาเกรงเพียงว่าปัญหาจะประดังเข้ามาถ่วงเวลาการเดินทางของเขา
วูบ!
ร่างของซูอี้เปลี่ยนแปรเป็นลำแสง เดินทางด้วยความเร็วสูงส่ง
เมื่อกาลผันผ่าน เรือมากมายก็เริ่มปรากฏขึ้นระหว่างทาง พวกมันล้วนสว่างไสวเคลื่อนคล้อยบนจักรวาลพร่างดาว กวาดสู่เก้ามหาแดนดินอันห่างไกล
นาน ๆ ครั้งจะได้เห็นผู้เดินทางเดียวดายเยี่ยงซูอี้บ้าง แต่จำนวนก็นับว่าน้อยนิด
อันที่จริง ในหมู่ผู้คนที่กล้าเดินทางในจักรวาลพร่างดาวลำพังนั้นล้วนแต่เป็นผู้เก่งกาจ หากไม่ใช่คนเถื่อนที่เดินทางในจักรวาลพร่างดาวตลอดปี ก็เป็นตัวตนทรงพลังอันมีการฝึกฝนลึกล้ำ
ซูอี้ก็รู้ดีว่าโลกเบื้องนอกเก้ามหาแดนดินล้วนถือว่าเก้ามหาแดนดินคือศูนย์กลางจักรวาลพร่างดาวนี้ และเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกฝน
ตลอดกาลนานมา บ่อยครั้งจะได้พบผู้ฝึกตนจากโลกอื่นเสี่ยงชีวิตไปฝึกฝนค้นหาวิถีของตนในเก้ามหาแดนดิน
ทว่าซูอี้ในยามนี้รู้แล้วว่าจักรวาลพร่างดาวนี้ รวมไปถึงภูมิมืดมิดถูกเรียกรวมกันว่าภูมิดาราฟ้าดิน
โลกภูมิเก่าแก่ซึ่งพังทลายเหี่ยวเฉาตามกาลแสนนาน…
“เจ้าหนุ่ม ไม่ธรรมดาเลยนี่ เจ้ากล้าเดินทางบนจักรวาลพร่างดาวลำพัง ไม่กลัวถูกเหล่าโจรในจักรวาลพร่างดาวปล้นฆ่าหรือไร?”
เสียงหยอกล้อเสียงหนึ่งดังขึ้น
ชายชราร่างผอมในชุดดำผู้หนึ่งยืนบนน้ำเต้ายักษ์สีดำเคลื่อนผ่านซูอี้ไป
ดวงตาของเขาลึกโหล ทอประกายแสงสีฟ้าประหลาด เคราเป็นสีเทา เมื่อเคลื่อนร่างผ่านซูอี้ เขาก็จงใจชะลอความเร็วลงเพื่อพินิจซูอี้หัวจรดเท้า
ซูอี้มองปราดเดียวก็รู้ว่านี่คือสัตว์ประหลาดเฒ่าในวิถีมาร ฆ่าคนเป็นผักปลา มือเปื้อนเลือดเกินลบล้าง
แม้ปราณชั่วร้ายรอบตัวสัตว์ประหลาดเฒ่านี้จะได้รับการสะกดกลั้น แต่มีหรือจะซ่อนพ้นสายตาของซูอี้?
“ข้าขอแนะนำเจ้าว่าอย่ายุ่งกับข้าจะดีกว่า”
ซูอี้กล่าวลอย ๆ และออกเดินทางต่อ
ชายชราชุดดำผงะไปชั่วครู่ เพลิงสีฟ้าทอประกายในดวงตา
ครู่ถัดมา เขาก็ลูบเคราแพะใต้กรามตน หัวเราะร่าและกล่าวกับตนเองว่า “ข้าล่ะอยากเห็นนักว่าเจ้าหนุ่มนี้สามารถเพียงไร กล้าดีเช่นไรพูดกับข้าเยี่ยงนี้…”
ทว่าท้ายที่สุด ชายชราชุดดำก็ไม่ได้ลงมือ
เขาเห็นได้ว่าชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ดูเหมือนจะยังเด็ก ทว่ากลับเปี่ยมความมั่นใจไร้ความกลัว เห็นได้ชัดว่ามีบางสิ่งให้พึ่งพา
“ช่างเถอะ ครานี้ข้าทำการใหญ่ จะวอกแวกไม่ได้ ปล่อยเจ้าเด็กนี่ไปแล้วกัน”
ชายชราชุดดำส่ายหัว ขี่น้ำเต้าสีดำยักษ์ล่องลอยจากไป
เมื่อผ่านร่างของซูอี้ ชายชราชุดดำก็เอ่ยเตือน “เจ้าหนุ่ม หากเจ้าคิดจะไปยังโลกเทียนเสวียนจากเส้นทางพันวังวนดารา ข้าแนะนำให้เจ้าหยุดที่นี่เสีย หาไม่ ระวังถูกฆ่าเสียแล้วกัน”
เสียงยังไม่สร่าง ร่างของชายชราชุดดำก็ลอยจากไปไกล
ซูอี้ขมวดคิ้ว
เส้นทางพันวังวนดาราคือเส้นทางเชื่อมระหว่างโลกเทียนเสวียนและจักรวาลพร่างดาวนี้
มันคือทางเดียวอันนำไปสู่โลกเทียนเสวียน
เส้นทางอื่น ๆ นั้นมีหายนะดาราร้ายกาจอันทำให้ผู้คนขานถึง ร้ายแรงกระทั่งจักรพรรดิยังไม่กล้าปรี่เข้าไป
แต่จากวาจาของชายชราชุดดำ ดูจะมีอันตรายบางอย่างบนเส้นทางพันวังวนดารา ณ ขณะนี้!
ทันใดนั้น ซูอี้ก็ส่ายหน้าหยุดคิด
เทียบกับที่อื่นแล้ว การไปยังโลกเทียนเสวียนผ่านเส้นทางพันวังวนดารานั้นสั้นและปลอดภัยที่สุดแล้ว
หากเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่น ต่อให้เป็นเขา แม้จะไปถึงโลกคังเสวียนโดยสวัสดิภาพได้ก็ตาม แต่เขาก็ต้องใช้เวลามากขึ้นแน่แท้
และระหว่างทางเคลื่อนต่อ ซูอี้ก็สังเกตได้อย่างรวดเร็วว่ามีจักรพรรดิผู้เปี่ยมปราณร้ายกาจมากมาย และทุกคนต่างเร่งไปยังเส้นทางพันวังวนดารา!
มีชายชุดเทาเหน็บดาบไว้เบื้องหลัง เส้นผมสีเลือดปลิวไสว แผ่ปราณดุร้าย ขี่บนร่างวิหคร้ายโบยบิน เขามิได้ซุกซ่อนปราณของเขา หยิ่งผยองร้ายกาจ
มีชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งดูเหมือนบัณฑิต ถือพัดขนนกและสวมหมวกผ้าไหมดำ ยืนเหนือรุ้งสีเงินขาวทะยานจากไป
และยังมีหญิงงามชดช้อยผู้หนึ่ง ในมือถือตะกร้าบุปผาสร้างจากกระดูกสีขาว ยุรยาตรอ่อนช้อยหายลับไร้ร่องรอยเพียงในไม่กี่พริบตา
ซูอี้พอตัดสินคร่าว ๆ ได้ว่าจักรพรรดิเหล่านี้ล้วนนอกรีต ไม่ว่าจะเป็นโจรร้ายอุกอาจจากขุมกำลังโจรทั่วจักรวาลหรือคนเถื่อนในหมู่มารปีศาจก็ตามที
กล่าวง่าย ๆ ก็คือ พวกเขาล้วนไม่ใช่คนดี!
“ดูเหมือนจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในเส้นทางพันวังวนดาราจริง ๆ มารปีศาจเหล่านี้จึงถูกดึงดูดมาจากทั่วทิศ…”
ซูอี้คิดในใจ
“หรือน้องชายก็อยากไปยังเส้นทางพันวังวนดาราเหมือนกันหรือ?”
ทันใดนั้น เสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ซูอี้เงยหน้าขึ้น เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดนักพรตเต๋า สวมมงกุฎ เข้ามาใกล้จากห่างออกไปในจักรวาลพร่างดาวด้วยรอยยิ้ม
เขาดูเข้าหาง่าย รอยยิ้มอบอุ่นดุจสายลมวสันต์ ดูราวผู้เจนจัด
ทว่าซูอี้ตัดสินทันทีว่านี่คงเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้เหี้ยมโหด กินคนไม่เหลือกระดูกอีกหนึ่งผู้
เขาไม่อยากมัวสนใจ ทว่าเมื่อคิดแล้ว เขาก็หันไปกล่าวว่า “มีอันใดหรือ?”
ชายวัยกลางคนในชุดนักพรตเต๋ากล่าวพร้อมกับยิ้ม “อย่ากังวลไป น้องชาย ข้าเองก็เดินทางคนเดียว เหงานัก เพราะเช่นนั้นจึงอยากคบมิตร เดินทางไปด้วยกันกับน้องชายสักหน่อย”
ซูอี้กล่าวอย่างประหลาดใจ “จริงหรือ?”
ชายวัยกลางคนในชุดนักพรตเต๋ากล่าวอย่างไหลลื่น “อย่าห่วงไป ข้าเห็นได้ว่าในเมื่อน้องชายกล้าเดินทางลำพังในจักรวาลพร่างดาว เขาต้องมีภูมิหลังไม่ธรรมดาเป็นแน่ ข้าไม่ทำสิ่งใดไม่สมควรหรอก”
ซูอี้แค่นเสียงหึ “ข้าหวังเช่นนั้น”
ชายวัยกลางคนในชุดนักพรตเต๋าหัวเราะกล่าว “งั้นข้าก็จะเดินทางด้วยคนนะน้องชาย”
เขาดูแสนปรีดาสุขใจ
รอยยิ้มดุจสายสมวสันต์นั้นทำให้ผู้คนรู้สึกดีได้โดยง่าย
“เฮอะ ไอ้แก่นี่กล้าใช้เคล็ดวจีพยายามทำให้ข้าลดความระวังลง…”
ดวงตาของซูอี้ดูพิกลเล็กน้อย แต่แล้วเขากลับยิ้มออกมา “เส้นทางยาวไกล ข้าก็อยากเดินทางกับสหายจริงแท้ พี่ชายท่านนี้ เราไปด้วยกันเถอะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มไร้พิษภัย
ทว่าเมื่อเห็นซูอี้ตอบตกลงอย่างแสนง่าย ชายวัยกลางคนในชุดนักพรตเต๋าก็ไม่ได้ฮุบเหยื่อทันทีอย่างปรีดา เขาสัมผัสได้เลือนลางว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทว่ากลับไม่อาจบอกได้
……….