บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1040: ตระกูลเยว่
ตอนที่ 1040: ตระกูลเยว่
จักรวาลพร่างดาวแถบนี้กลับสู่ความสงบ
ซูอี้หมุนตัวมองดูชายวัยกลางคนในชุดเต๋า
ชายวัยกลางคนในชุดนักพรตเต๋าที่ได้รับสมญานามว่า ‘นกฮูกโลหิต’ ในจักรวาลพร่างดาวตนนี้ ตกใจกลัวจนสีหน้าเปลี่ยน ขวัญกระเจิงไปตั้งนานแล้ว
เมื่อซูอี้เบนสายตามองมา เขาถึงกับตัวแข็งทื่อ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก จากนั้นสูดหายใจลึก ๆ จัดแจงเสื้อผ้าจนเรียบร้อยแล้วจึงแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมต่อซูอี้
“ก่อนหน้านี้ผู้น้อยมีตาแต่ไร้แวว ไม่รู้ว่าเซียนใหญ่อยู่ตรงหน้า สหายเต๋าโปรดไว้ชีวิต ให้อภัยผู้น้อยสักครั้ง ผู้น้อยจะกลับตัวกลับใจทำความดีลบล้างความผิด”
ในความสำนึกผิด เสียงของผู้ชายวัยกลางคนสวมชุดเต๋ายังแฝงไว้ซึ่งความจริงจัง ในสายตามีความหวาดกลัวดูต่ำต้อยเหลือเกิน
ช่วยไม่ได้ เขากลัวมากจริง ๆ
พอนึกถึงครั้งแรกสุดที่มองซูอี้เป็นเหยื่ออันโอชะดังแกะอ้วน ชุดเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“พี่ชาย เช่นนี้แลดูไม่มีหลักการในตัวเองเอาเสียเลย”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา
ท่าทีของคนผู้นี้แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
ชายวัยกลางคนในชุดเต๋ารีบโบกมือร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขมขื่น “สหายเต๋าอย่าได้เรียกข้าว่าพี่ชายเลย ข้าแก่ปูนนี้แล้วรับไม่ไหว”
ซูอี้ร้องอ้อขึ้นมาทีหนึ่งพลางกล่าว “แต่เสียดาย ไม่ว่าเจ้าแสดงท่าทีอ่อนน้อมมากเพียงไหน วันนี้ก็หนีความตายได้ยาก”
ผู้ชายวัยกลางคนในชุดนักพรตราวกับถูกฟ้าผ่า เขาร้องด้วยความหวาดกลัว “ข้ายินดีจะกลับตัวกลับใจ แก้ไขตัวเอง ชั่วชีวิตนี้เป็นวัวเป็นควายรับใช้ท่าน! ผู้อาวุโสได้โปรดไว้ชีวิตน้อย ๆ ของข้าด้วย!”
บนสีหน้าเต็มไปด้วยอาการขอร้องอ้อนวอน
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ พลางกล่าว “เมื่อสักครู่ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่ถนอม จะโทษข้าก็คงไม่ได้”
ขณะที่พูด เขาก้าวเดินไปหาชายวัยกลางคนในชุดเต๋า
“อย่าเข้ามา!”
เสียงยังคงดังก้อง ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปดุดันบ้าระห่ำ จากนั้นจึงออกแรงเต็มกำลังแสดงเคล็ดวิชาต้องห้าม เพื่อจะจับตัวเยว่อวิ๋นซานเป็นตัวประกัน
ทว่าร่างของชายวัยกลางคนในชุดเต๋ายังไปไม่ถึงก็โดนพลังดาบอันบางประดุจแสงจันทร์ขาวผ่องฟันลงบนตัว
ปัง!
สมบัติป้องกันตัวที่เขาพกติดตัวแตกระเบิดในทันใด ร่างเซถลา กระอักเลือดไม่หยุด
เยว่อวิ๋นซานขนลุกซู่
เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น เขาเกือบโดนลูกหลงไปด้วย!
เมื่อมองดูชายวัยกลางคนในชุดเต๋าอีกครั้ง ผมยาวสยาย หน้าตาบิดเบี้ยวน่ากลัว ส่งเสียงคำรามราวกับเสียสติ “ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้า เหตุใดจึงตามล้างตามผลาญไม่เลิก!?”
มารเฒ่าผู้ที่ใคร ๆ ต่างก็รู้ถึงความชั่วของเขาคนนี้เจ็บใจเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าคิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจว่าเพียงแค่แกะน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น เหตุใดจึงได้แข็งแกร่งจนถึงขั้นไม่น่าเชื่อได้ถึงเพียงนี้
“หากว่าข้าด้อยสามารถกว่านี้สักหน่อย คงถูกมารเฒ่าอย่างเจ้าถลกหนักกินเป็น ๆ ไปแล้ว”
ซูอี้เอ่ยขึ้นมาเบา ๆ
เสียงพูดยังคงดังวนเวียน ทันใดดาบก็ส่งเสียงดังขึ้นมา
พลังดาบเจาะทะลุร่างของชายวัยกลางคนผู้สวมชุดเต๋า
ก่อนจะตาย ชายวัยกลางคนผู้สวมชุดเต๋าเกิดความคิดหนึ่งแวบขึ้นในสมอง
หรือว่าคนผู้นี้คือ… ซูเสวียนจวินจริง ๆ!?
เขาไม่มีทางลืม ครั้งแรกสุดที่ลองเชิงชายหนุ่มคนนี้ ฝ่ายตรงข้ามเคยแนะนำตัวเองว่าชื่อซูเสวียนจวิน!!
เขามองว่าคำกล่าวนี้เป็นคำโกหกหลอกลวง และยังรู้สึกโกรธขึ้นมาในใจด้วยซ้ำเพราะคิดว่าแม้กระทั่งจะโกหกเขาทั้งที ซูอี้ก็ยังหาคำโกหกพล่อย ๆ ราวกับซูอี้กำลังดูแคลนสติปัญญาของเขา
ทว่าตอนนี้….
ชายวัยกลางคนในชุดเต๋ารู้สึก… เชื่อขึ้นมาบ้างแล้ว!
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เขายังไม่ทันได้แสดงความเศร้าโศกเสียใจ และยังไม่ทันได้ตรึกตรองมากนัก เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมาในสมอง ร่างก็แตกระเบิดเสียงดัง ทั้งตัวทั้งจิตแตกดับพร้อมกัน
จนถึงตอนนี้ มารเฒ่าเลืองนามทั้งหลาย โดนซูอี้กวาดเรียบในดาบเดียวอย่างง่ายดายราวกับหั่นผัก!
ผลงานการต่อสู้เช่นนี้เพียงพอที่จะสร้างความสั่นสะเทือนให้แก่จักรวาลพร่างดาวแห่งนี้ สร้างกระแสวุ่นวายไปจนทั่ว
ทว่าสำหรับซูอี้แล้ว กลับรู้สึกไม่มีอะไรน่าภาคภูมิใจ
เพราะอย่างไรเสียก็เป็นเพียงแค่ผักใบแก่ที่ไม่เคยเหยียบย่างสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ทว่าเยว่อวิ๋นซานผู้ที่ดูเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่ไกล ๆ กลับรู้สึกตื่นตระหนกจนหัวใจสั่นสะท้าน หนาววาบไปทั้งตัว
มารเฒ่าเหล่านั้น แต่ละคนล้วนมีระดับวิถีสูงส่งลึกล้ำและเจ้าเล่ห์เพทุบาย ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นก็ถูกสังหารตายไม่มีเหลือ!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับซูอี้อีกครั้ง เยว่อวิ๋นซานจึงตื่นตระหนกหวาดกลัวจนไม่อาจระงับได้
“แผ่นหยกในกล่องสำริดใบนี้ ผนึกด้วยภาวะดาบอันบริสุทธิ์ คงจะเป็นสิ่งที่ตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นสมบูรณ์คนหนึ่งเก็บรักษาเอาไว้ หรือว่าจะเป็นบรรพชนแห่งตระกูลเยว่ของพวกเจ้าท่านนั้น?”
ซูอี้เดินมาหาพลางถามขึ้น
เยว่อวิ๋นซานก้มหน้าและตอบ “ถูกต้อง”
“เหตุใดสุสานของเขาจึงถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่?” ซูอี้ถาม
เยว่อวิ๋นซานคาดเดาความคิดของซูอี้ไม่ถูก แต่เขายังสามารถตัดสินได้คร่าว ๆ ว่าชายหนุ่มผู้มีที่มาลึกลับตรงหน้าคนนี้ไม่ได้มีความเป็นศัตรูกับตัวเอง
เขาสงบสติอารมณ์ และกล่าวขึ้นว่า “สุสานแห่งนั้น เยว่เจี้ยนเหอ หนึ่งในบรรพชนแห่งตระกูลเยว่ของข้าจัดเตรียมไว้ให้ตัวเอง”
ซูอี้ตะลึง “ตัวเองเตรียมสุสานให้แก่ตัวเองเช่นนั้นหรือ?”
เยว่อวิ๋นซานกล่าวอธิบาย “ตอนนั้น บรรพชนเจี้ยนเหอตัดสินใจเดินทางไปยังส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว ก่อนที่จะออกเดินทาง เขาได้ทิ้งสุสานไว้ที่นี่ ทั้งกล่าวว่าหากภายในระยะเวลาหมื่นปีเขายังไม่กลับมา ให้คนในตระกูลถือเสียว่าสุสานที่ฝังเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ของเขาแห่งนี้ก็คือสถานที่ฝังกระดูกของเขา”
ซูอี้เข้าใจในทันที
ส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวมีความน่ากลัวมาก
ก่อนที่เยว่เจี้ยนเหอจะออกเดินทางไป คงเกรงว่าไปแล้วจะไม่มีวันกลับมาได้อีก ด้วยเหตุนี้จึงสร้างสุสานให้แก่ตัวเอง
ไม่เช่นนั้น สุสานแห่งนี้คงจะไม่ปรากฏขึ้นในช่วงระยะนี้อย่างแน่นอน
“คงไม่ใช่เพราะตอนที่เจ้าหยิบกล่องสำริดใบนี้ จึงก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงในครั้งนี้ขึ้นกระมัง?”
ซูอี้ครุ่นคิดตรึกตรอง
เยว่อวิ๋นซานรู้สึกอึกอักขึ้นมา จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ท่านมีดวงตาส่องสว่างประดุจคบเพลิง คาดการณ์ได้ถูกต้องแม่นยำ ข้ามาถึงสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว เพียงแต่คาดไม่ถึงเลยว่า ขณะที่เข้าสู่สุสานของบรรพชน กล่องสำริดที่เขาเก็บรักษาไว้จะสร้างความเคลื่อนไหวรุนแรงถึงเพียงนี้…”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา “พลังของขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นสมบูรณ์ ใช่ว่าเจ้าจะสามารถต้านทานได้”
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาก็ถามอีก “บอกข้าได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงมาเอากล่องสำริดใบนี้?”
เยว่อวิ๋นซานนิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ ๆ จึงย้อนถาม “ผู้น้อยขอเรียนถามสักประโยค เหตุใดท่านจึงสนใจเรื่องนี้นัก?”
ซูอี้ตอบ “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกไว้แล้ว เรื่องนี้ก็ถือเป็นบุญวาสนาเช่นกัน ข้ารู้จักกับหญิงสาวนางหนึ่ง กลิ่นอายที่หลอมประทับในดาบคู่ใจบนตัวนางเหมือนกับพลังที่บรรพชนของเจ้าทิ้งไว้ไม่มีผิด”
ครั้งที่อยู่ในดินแดนอาณาจักรต้าโจวแห่งมหาทวีปคังชิง ตอนที่ซูอี้เพิ่งรู้จักกับเยว่ซือฉานก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของดาบโบราณที่นางสะพายนั้นมีความพิเศษ น่าจะผนึกพลังลึกลับบางอย่างอยู่ในนั้น
ตั้งแต่ตอนนั้นก็สร้างความสนใจให้แก่ซูอี้ขึ้นมาแล้ว
จนกระทั่งเวลาต่อมา ซูอี้จึงรู้จากเยว่ซือฉานว่า นับตั้งแต่ที่นางจำความได้ ดาบโบราณเล่มนั้นก็อยู่ข้างกายนางแล้ว ว่ากันว่าบิดาของนางเก็บไว้ให้แก่นาง
ดาบโบราณเล่มนั้นชื่อว่า ‘แสงจันทรา’
แสงจันทราสาดส่องลงมา ท้องนภายามสารทฤดูดื่มด่ำอยู่ในความเย็นยะเยือก
แสงจันทราดังกล่าวหมายความถึง ‘แสงจันทร์’ นั่นเอง
ชื่อของดาบเล่มนี้ สอดคล้องกับแซ่ของเยว่ซือฉาน เติมเต็มความสมบูรณ์ซึ่งกันและกัน
เมื่อตอนก่อนหน้านี้ ซูอี้รู้สึกได้ว่าในกล่องสำริดใบนั้นมีกลิ่นอายที่เขารู้สึกคุ้นเคย
สุดท้ายจึงนึกขึ้นได้ว่ากลิ่นอายนี้เหมือนกับกลิ่นอายของดาบที่เยว่ซือฉานสะพานหลังเล่มนั้น
ด้วยเหตุนี้จึงได้เป็นฝ่ายลงมือก่อน
เมื่อได้ยินที่ซูอี้กล่าวมาแล้ว เยว่อวิ๋นซานถึงกับตื่นตระหนก กล่าวด้วยความสงสัย “ที่ท่านกล่าวมานั้น… คงไม่ได้หมายถึงซือฉานหรอกกระมัง?”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา ก่อนจะตอบ “คือนาง ข้าถือโอกาสเดินทางไปโลกเทียนเสวียนในครั้งนี้ก็เพื่อจะไปพบกับนางสักครั้ง”
เยว่อวิ๋นซานสีหน้าเปลี่ยนไป คาดไม่ถึงเลยสักนิด เหตุใดเยว่ซือฉานจึงกลายเป็นสหายของบุคคลที่น่ากลัวถึงเพียงนี้ได้
เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!
เพราะตามที่เขารู้มา เยว่ซือฉานไม่ได้เติบโตในตระกูล แต่บิดาของนางเพิ่งรับตัวกลับมาจากโลกสามัญที่มีชื่อว่า ‘มหาทวีปคังชิง’ เมื่อสองปีก่อน
อีกทั้ง เยว่อวิ๋นซานก็ไม่เคยได้ยินด้วยว่า เยว่ซือฉานไปรู้จักกับตัวตนที่แข็งแกร่งไร้ขอบเขตเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร
“คืนสิ่งนี้ให้แก่เจ้า”
ซูอี้ยื่นกล่องสำริดใบนั้นกลับไป “หากไม่รังเกียจ เราคุยกันไปพูดกันไปดีหรือไม่?”
เยว่อวิ๋นซานสะกัดกลั้นความสงสัยภายในใจไว้ไม่ได้ เขาสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่งแล้วประสานมือแสดงความคารวะพลางกล่าว “น้อมทำตามคำของท่าน”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ซูอี้ช่วยชีวิตเยว่อวิ๋นซานเอาไว้ ตอนนี้ยังคืนกล่องสำริดให้แก่เขาอีก จึงทำให้เขาเชื่อในสิ่งที่ซูอี้กล่าว ละวางความหวาดเกรงลงไปไม่น้อย
แต่ทว่า เยว่อวิ๋นซานยังคงไม่ประมาท ไม่กล้ามองซูอี้เป็นผู้ด้อยอาวุโสเพราะเป็นสหายกับเยว่ซือฉาน
รับกล่องสำริดมาเก็บเรียบร้อยแล้ว ซูอี้จึงเดินทางไปตามหนทางดาราพันวนพร้อมกับเยว่อวิ๋นซาน มุ่งหน้าไปยังโลกเทียนเสวียน
ในการสนทนาตลอดทาง ในที่สุดซูอี้ก็รู้แล้วว่าเพราะเหตุใดเยว่อวิ๋นซานจึงมาเอากล่องสำริดใบนี้
สาเหตุก็คือตระกูลเยว่พบเจอกับเรื่องเดือดร้อนมากเรื่องหนึ่ง
และเรื่องเดือดร้อนนี้ พูดขึ้นมาแล้วมีส่วนเกี่ยวข้องกับเยว่ซือฉาน!
เมื่อหนึ่งปีก่อนตอนที่เยว่ซือฉานเข้าร่วม ‘งานประชุมสมัชชาวิถี’ เกิดขัดแย้งกับผู้เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของ ‘ลัทธิสัตตบงกช’ ซึ่งเป็นขุมกำลังมารระดับสูงแห่งโลกเทียนเสวียน
เยว่ซือฉานต่อสู้กับบุตรศักดิ์สิทธิ์ลัทธิสัตตบงกชคนนี้ในงาน
จึงสร้างความไม่พอใจแก่ผู้อาวุโสในลัทธิสัตตบงกชเป็นอย่างมาก ลงมือจัดการกับเยว่ซือฉานในงานประชุมสมัชชาวิถีในทันที เพื่อให้นางชดเชยในสิ่งที่ตัวเองทำ
เยว่ซือฉานสู้ไม่ไหว ได้รับบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายหนีรอดมาได้เพราะสมบัติลับ
หลังจากที่เรื่องนี้รู้ไปถึงตระกูลเยว่ เยว่ฉางเทียน ‘จักรพรรดิดาบธุลีราตรี’ ซึ่งเป็นบิดาของเยว่ซือฉานโกรธมาก จึงได้ตัดสินประหารผู้อาวุโสของลัทธิสัตตบงกชสามท่านในรวดเดียวเพื่อแก้แค้นแทนบุตรสาว
ตระกูลเยว่กับลัทธิสัตตบงกชจึงมีความแค้นต่อกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความขัดแย้งของสองขุมกำลังใหญ่ทวีความรุนแรงดุจน้ำกับไฟ
สุดท้ายภายใต้การไกล่เกลี่ยทัดทานของผู้อาวุโสบางกลุ่มในโลกเทียนเสวียน ตระกูลเยว่กับลัทธิสัตตบงกชจึงตัดสินใจร่วมกันว่าให้หยุดเรื่องนี้ไป
แต่ใครกันจะคาดคิดว่า เมื่อช่วงก่อน ขณะที่เยว่ฉางเทียนออกเดินทางท่องพเนจรเจอกับดักของลัทธิสัตตบงกช เกือบเอาชีวิตไม่รอด ถึงแม้สุดท้ายจะรอดกลับมาได้ ทว่าเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากที่กลับมายังตระกูลแล้วก็เริ่มปิดตน
เรื่องนี้สร้างความโกรธแค้นให้กับคนทั้งตระกูลเยว่
ทว่าเรื่องร้าย ๆ ตามมาติด ๆ หลังจากที่เยว่ฉางเทียนได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ไม่นาน ลัทธิสัตตบงกชก็ประกาศต่อคนทั้งหลายว่าภายในหนึ่งเดือนหากตระกูลเยว่ไม่มอบตัวเยว่ฉางเทียนกับเยว่ซือฉานออกมาให้ลัทธิสัตตบงกชลงโทษ ให้ระวังตัวเองให้ดี!
หินหนึ่งก้อนร่วงตกน้ำสร้างระลอกคลื่นนับพันระลอก
คำกล่าวเช่นนี้ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นตระหนกให้กับโลกเทียนเสวียน และยังทำให้ตระกูลเยว่ตกอยู่ในความสั่นคลอน!
และตอนนี้ ห่างจากกำหนดเวลาหนึ่งเดือนเพียงแค่สามวันเท่านั้นแล้ว!
เมื่อรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว ซูอี้อดเลิกหัวคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ ลัทธิสัตตบงกชแห่งโลกเทียนเสวียนเช่นนั้นหรือ?
เขาพอจะจำขุมกำลังวิถีอสูรแห่งนี้ได้ราง ๆ ว่ากันว่าปรมาจารย์ผู้บุกเบิกขุมกำลังนี้ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับ ‘วังมารโลกโลกีย์’ หนึ่งในสามสำนักมารทรงพลังของมหาแดนดิน
ส่วนเรื่องอื่น ๆ ซูอี้ก็นึกไม่ออกแล้วเช่นกัน
ช่วยไม่ได้ โลกเทียนเสวียนเป็นเพียงแค่ดาวบริวารดาวหนึ่งในสามสิบสามโลกภูมิของใต้หล้ามหาแดนดินเท่านั้น
เมื่อตอนชาติที่แล้ว ซูอี้เป็นใหญ่อยู่ในมหาแดนดินเพียงผู้เดียวมานาน เขาจะไปทำความรู้จักกับขุมกำลังมารเล็ก ๆ ที่ปักหลักฝังรากอยู่ในโลกเทียนเสวียนได้อย่างไร?