บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1041: งานประชุมวสันตวารี
……….
ตอนที่ 1041: งานประชุมวสันตวารี
ตามที่เยว่อวิ๋นซานกล่าวมา ลัทธิสัตตบงกชได้เริ่มแผนการแล้ว
ขุมกำลังมารระดับสุดยอดของโลกเทียนเสวียนแห่งนี้เชิญตัวตนยิ่งใหญ่แห่งโลกเทียนเสวียนจำนวนหนึ่งมารวมตัวกันที่ริมน้ำ ‘ผาวสันตวารี’
และเตรียมเปิด ‘งานประชุมวสันตวารี’ ขึ้นอีกสามวันให้หลัง
ถึงเวลานั้น หากตระกูลเยว่มอบตัวเยว่ฉางเทียนกับเยว่ซือฉานออกมา ลัทธิสัตตบงกชก็จะไม่ติดใจเอาความกับตระกูลเยว่อีก
ในทางกลับกัน หากผลลัพธ์ไม่ใช่ดั่งที่คิด ลัทธิสัตตบงกชจะประกาศรบกับตระกูลเยว่ใน ‘งานประชุมวสันตวารี’!
“ตระกูลของพวกเจ้าคิดจะทำเช่นใด?”
เมื่อรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว ซูอี้ก็ถามขึ้นมาอีก
เยว่อวิ๋นซานสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นตอบเสียงเครียด “ตระกูลเยว่ของพวกเราไม่มีทางมอบคนให้อย่างแน่นอน เพราะหากทำเช่นนี้ จะมีหน้ายืนหยัดอยู่ในโลกเทียนเสวียนได้อย่างไรอีก?”
ซูอี้กล่าวพลางครุ่นคิด “หากว่าเป็นเช่นนี้ ครั้งนี้ที่เจ้ามาเอากล่องสำริด ก็เพื่อจะนำไปรับมือกับภัยพิบัติใช่หรือไม่?”
เยว่อวิ๋นซานพยักหน้าพลางกล่าว “ตระกูลเยว่ของพวกเราตัดสินใจแล้วว่าจะงัดข้อกับลัทธิสัตตบงกชสักตั้งในงานประชุมวสันตวารี!”
ซูอี้เข้าใจชัดแจ้งแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นลัทธิสัตตบงกชหรือตระกูลเยว่ ล้วนไม่ต้องการจะให้ถึงขั้นแตกหัก เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นระหว่างสองขุมกำลังใหญ่ จนเป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายต้องบาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่
ด้วยเหตุนี้ ลัทธิสัตตบงกชจึงจัด ‘งานประชุมวสันตวารี’ ในครั้งนี้ขึ้น และเชิญตัวตนยิ่งใหญ่ระดับสุดยอดจำนวนหนึ่งมาร่วมงาน เป้าหมายก็เพื่อบีบคั้นตระกูลเยว่ให้มอบตัวเยว่เทียนฉางกับเยว่ซือฉาน
หากว่าลัทธิสัตตบงกชต้องการฉวยโอกาสกำจัดตระกูลเยว่ พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำให้วุ่นวายเช่นนี้เลย จะจัดตั้งงานประชุมวสันตวารีขึ้นเพื่อเหตุอันใด เปิดศึกกับตระกูลเยว่โดยตรงก็ได้แล้ว
ในทางเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าสถานะของตระกูลเยว่ไม่ดีเอาเสียเลย หากว่าไม่กลัวลัทธิสัตตบงกชหาเรื่องจริง ๆ ล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องไปร่วมงานเลย!
ตอนนี้เยว่อวิ๋นซานต้องเดินทางไปสู่จักรวาลพร่างดาว ไปเอากล่องสำริดที่บรรพชนทิ้งไว้เพื่อนำมาแก้ไขความเดือดร้อน เพียงแค่คิดก็รู้ได้ว่าตระกูลเยว่ถูกบีบคั้นจนถึงขั้นนี้แล้ว
“หากว่างัดข้อแพ้ ตระกูลเยว่ของพวกเจ้าคิดจะทำเช่นใดต่อไป?” ซูอี้ถาม
เยว่อวิ๋นซานกล่าวช้า ๆ ทีละคำ “ตระกูลเยว่ของพวกเราก้มหัวได้ ขอโทษได้ และสามารถชดเชยให้ได้เช่นกัน แต่… ไม่มีทางมอบคนให้อย่างเด็ดขาด!”
ซูอี้ไล่ซัก “หากว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการให้พวกเจ้ามอบคนเล่า?”
เยว่อวิ๋นซานนิ่งเงียบไป
สักพักใหญ่ ๆ เขาแสดงสีหน้าเย้นหยันตัวเองออกมาพลางกล่าว “ตอบตามตรง คำถามนี้ ตระกูลเยว่ของพวกเราเคยคิดไว้แล้ว อีกทั้ง… ฉางเทียนได้ตัดสินใจไปแล้วด้วย”
หางคิ้วและหางตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มใจ
ซูอี้รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ขมวดคิ้วกล่าว “เยว่ฉางเทียนจะเป็นฝ่ายออกมารับเรื่องทั้งหมดนี้เช่นนั้นหรือ?”
เยว่อวิ๋นซานพยักหน้า “นี่เป็นการตัดสินใจของฉางเทียนเอง และก็เป็นหนทางสุดท้ายที่เลวร้ายที่สุดที่พวกเราคิดเอาไว้ ตอนนี้ พวกเราทำได้แต่เพียงพยายามคิดหาวิธีไม่ให้ผลเลวร้ายที่สุดเช่นนี้เกิดขึ้น”
พูดจบ บนหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าสลด
“เยว่ฉางเทียนคนนี้จิตใจเด็ดเดี่ยว แต่แม่นางซือฉานเล่า?”
ซูอี้ถาม
เยว่อวิ๋นซานตอบอย่างใจเย็น “หลังจากที่เกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ฉางเทียนเป็นห่วงว่าซือฉานจะโดนคนของลัทธิสัตตบงกชกลั่นแกล้ง จึงขอให้คนรู้จักช่วยทำให้ซือฉานมีคุณสมบัติเข้าสู่ ‘แดนลี้ลับขั้นเก้า’ ซึ่งเป็นสำนักอับดับหนึ่งของมหาแดนดิน”
“ตอนนี้ ซือฉานเป็นศิษย์สายตรงของแดนลี้ลับขั้นเก้าแล้ว กำลังฝึกตนอยู่ในแดนลี้ลับขั้นเก้า ต่อให้ตระกูลเยว่ของพวกเราเกิดความเปลี่ยนแปลงร้ายแรงแค่ไหน ซือฉานก็จะไม่ได้รับผลกระทบอันใด”
พูดจบ ซูอี้จึงค่อยโล่งใจลง
ก่อนหน้านี้ เขาคิดอยู่ว่า หากตระกูลเยว่ต้านทานแรงบีบคั้นของลัทธิสัตตบงกชไม่อยู่ คงจะเลือกมอบตัวเยว่ซือฉานออกไป
ซึ่งเรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ดังที่รู้กันดีว่าในตระกูลใหญ่ ๆ หากสามารถเสียสละคนคนหนึ่งในตระกูลเพื่อรักษาความสงบสุขของทั้งตระกูลได้ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเลือกทำเช่นนี้กัน
แต่ยังดีที่ตระกูลเยว่ไม่ได้ทำเช่นนี้กับเยว่ซือฉาน
อีกทั้งสามารถมองออกว่า ในฐานะที่เยว่ฉางเทียนเป็นบิดา เขาให้ความรักเอ็นดูต่อเยว่ซือฉานมาก จึงเริ่มปูทางให้เยว่ซือฉานตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว!
ด้วยกำลังและพื้นฐานของลัทธิสัตตบงกช ไม่มีทางไปหาเรื่องเยว่ซือฉานถึง ‘แดนลี้ลับขั้นเก้า’ เป็นธรรมดา
เพราะอย่างไรเสีย ลัทธิสัตตบงกชเป็นเพียงแค่ลัทธิมารระดับสุดยอดในโลกเทียนเสวียนเท่านั้น ทว่าแดนลี้ลับขั้นเก้าเป็นสำนักวิถีอันดับหนึ่งในใต้หล้ามหาแดนดิน!
ทั้งสองฝ่ายต่างกันราวฟ้ากับดิน ราวเมฆากับดินโคลน
เมื่อเข้าใจในจุดนี้แล้ว ซูอี้จึงตัดสินใจว่าจะช่วยตระกูลเยว่อีกแรง!
อาศัยที่ตระกูลเยว่ไม่ได้เอาชีวิตของเยว่ซือฉานไปแลกกับความสงบสุขข้อนี้ ก็ได้รับการยอมรับจากซูอี้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เยว่ฉางเทียนผู้เป็นบิดาของเยว่ซือฉานยังลงมือจัดการประหารผู้อาวุโสของลัทธิสัตตบงกชไปสามคนเพื่อเป็นการแก้แค้น หลังจากที่เยว่ซือฉานถูกคนของลัทธิสัตตบงกชทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อปีที่แล้ว ไม่ยอมถูกกดหัว
ซูอี้กล่าว “เมื่อไปถึงโลกเทียนเสวียนแล้ว ข้าจะไปงานประชุมวสันตวารีพร้อมกับเจ้า”
เยว่อวิ๋นซานกล่าวแบบไม่อยากจะเชื่อ “หรือว่าท่านจะ… ช่วยตระกูลเยว่ของพวกเรา!?”
ต้องเข้าใจว่าหากเป็นคนอื่นรู้สถานะของตระกูลเยว่แล้ว คงจะหลบลี้หนีหน้ากันไปตั้งนานแล้ว
มันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในช่วงระยะเวลานี้จริง ๆ ขุมกำลังมากมายที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเยว่ หากไม่เลือกที่จะหนีหน้า ก็ต้องเกลี้ยกล่อมให้ตระกูลเยว่ยอมอ่อนข้อ มอบตัวเยว่ฉางเทียนกับเยว่ซือฉานออกไป!
คนเราเย็นชาหรืออบอุ่น ล้วนแสดงออกมาจนหมดสิ้น
ทว่าตีหัวเยว่อวิ๋นซานให้แตกเขาก็นึกไม่ถึงว่า ชายหนุ่มผู้มีที่มาพิสดารและบอกว่าตัวเองเป็นสหายของเยว่ซือฉานคนนี้รู้ถึงวิกฤตการณ์ที่ตระกูลเยว่กำลังเผชิญแล้ว กลับยื่นมือมาช่วย!
“นับขึ้นมา ข้าก็ถือได้ว่าเป็นผู้นำทางด้านวิถีดาบของแม่นางซือฉานคนหนึ่งเช่นกัน ถึงแม้จะไม่ได้เป็นศิษย์อาจารย์กัน แต่ก็เป็นมากกว่าสหายธรรมดาทั่วไป ในเมื่อข้าได้รู้ถึงเรื่องเดือดร้อนที่ตระกูลเยว่ประสบเช่นนี้แล้ว จึงไม่อาจเพิกเฉยนิ่งดูดายได้”
ซูอี้เอ่ยขึ้นมา
เยว่อวิ๋นซานแสดงอาการยินดีออกมาทางใบหน้า
ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นกำลังการต่อสู้อันน่ากลัวของซูอี้แล้ว สามารถฆ่ามารเฒ่าขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นปลายได้อย่างง่ายดาย หากว่ามีซูอี้ให้ความช่วยเหลือ ต้องดีมากเป็นธรรมดา!
ทว่าไม่นานนัก เยว่อวิ๋นซานก็สงบนิ่งลง
งานประชุมวสันตวารีที่ลัทธิสัตตบงกชจัดขึ้นในครั้งนี้ล้วนเป็นตัวประหลาดขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำด้วยกันทั้งสิ้น!
พอคิดได้เช่นนี้ ความปีติยินดีในแววตาของเยว่อวิ๋นซานก็หายไป เขาทอดถอนใจ “ความปรารถนาดีของท่าน ผู้น้อยซาบซึ้งยิ่งนัก เพียงแต่ว่างานในครั้งนี้อันตรายเกินไป หากให้ท่านต้องมาเกี่ยวข้องด้วย ผู้น้อยต้องรู้สึกไม่สบายใจอย่างแน่นอน…”
ไม่รอให้พูดจบ ซูอี้ก็หัวเราะพลางกล่าวตัดบท “ข้ารู้แล้วว่าเจ้าต้องการจะบอกอะไร ข้าก็ขอกล่าวตามตรงเช่นกัน ภัยพิบัติรุนแรงในสายตาคนตระกูลเยว่ สำหรับข้าแล้วถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่งเท่านั้น สามารถแก้ได้ไม่มีปัญหา”
เรื่องเล็กน้อย!?
เยว่อวิ๋นซานแทบตะลึง ไม่อาจคาดคิดได้ว่า ต้องมีความกล้าและมั่นใจถึงเพียงใดจึงสามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้
หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้ซูอี้แสดงกำลังการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวขั้นสะท้านโลกออกมาให้เห็น เยว่อวิ๋นซานต้องคิดว่าชายหนุ่มอายุสิบกว่าปีคนนี้ต้องเสียสติไปแล้วอย่างแน่นอน!
“เชื่อหรือไม่เชื่อ รอให้ถึงวันงานประชุมวสันตวารีแล้วก็จะได้เห็นกัน”
ซูอี้เริ่มหมดความอดทน
ในโลกการฝึกตน กลิ่นอายผู้ฝึกตนสามารถกลบเกลื่อนและเปลี่ยนแปลงกันได้ ใบหน้าก็สามารถเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมได้
ตัวประหลาดที่มีวิชาล้ำเลิศบางคนมีใบหน้าอ่อนวัยราวกับคนหนุ่ม ผู้หญิงบางคนมีชีวิตอยู่มานานไม่รู้เท่าใด ทว่าใบหน้านั้นยังคงเปล่งปลั่งงดงามราวกับวัยแรกแย้ม
แต่อายุกระดูกของพวกเขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
ตอนนี้ นับตามอายุ ซูอี้อายุสิบเก้าปี ไม่เพียงแต่มีลักษณะของคนหนุ่ม แม้แต่กระดูกก็ยังคงเยาว์วัยยิ่ง
กอปรกับกลิ่นอายบางเบาดังเมฆาเคลื่อนในตัวเขา มักจะถูกมองว่าเป็น ‘ผู้ด้อยอาวุโส’ ที่เพิ่งแตกหน่อใหม่ได้ง่าย ๆ
ทำให้พวกตัวประหลาดทั้งหลายดูแคลนและมองข้ามไปง่าย ๆ ด้วยเช่นกัน
เหมือนดังเมื่อก่อนหน้านี้ สาเหตุที่มารเฒ่านกฮูกโลหิตมองซูอี้เป็นแกะน้อย ก็เพราะรู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาในตัวซูอี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นคนหนุ่มกลับกล้าเดินทางอยู่ในจักรวาลพร่างดาวเพียงลำพัง ทุกอย่างที่ผิดปกติเหล่านี้สร้างความสงสัยให้แก่มารเฒ่านกฮูกโลหิตยิ่งนัก…
แน่นอน สุดท้ายก็ปลิดชีพของเขาด้วยเช่นกัน…
เวลานี้ ในสายตาของเยว่อวิ๋นซาน ซูอี้อาจจะมีความแข็งแกร่งก็จริง ทว่าหากเข้ามาพัวพันกับเหตุคับขันของตระกูลเยว่แล้ว อย่างไรเสียก็ยังอ่อนนัก
คนอื่นเป็นห่วงว่าหากปล่อยให้เขาเข้ามาพัวพันเกี่ยวข้องด้วย เขาจะพลอยเดือดร้อน
ทว่าเห็นซูอี้กล่าวเช่นนี้แล้ว สุดท้ายเยว่อวิ๋นซานจึงไม่ได้ตอบปฏิเสธ “ก็ได้ ข้าจะพาท่านไปด้วย หากว่าเกิดอันตรายที่คาดไม่ถึงขึ้นจริง ผู้น้อยจะพยายามทุกวิถีทางช่วยท่านให้รอดออกไป พยายามไม่ให้ท่านต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย!”
เสียงดังหนักแน่น
ซูอี้ถึงกับรำพึงในใจ ความมุ่งมั่นและวิธีปฏิบัติตนของคนตระกูลเยว่ไม่ธรรมดาเลย
สมควรแล้วที่ตนเองจะให้ความช่วยเหลือ
…
หลังจากนั้นสองวัน
ณ โลกเทียนเสวียน
ในฐานะที่เป็นดาวบริวารหนึ่งในสามสิบสามโลกของแผ่นดินมหาแดนดิน ขุมกำลังการฝึกตนในโลกเทียนเสวียนมีความซับซ้อนมาก วิถีเต๋า วิถีขงจื่อ วิถีพุทธ วิถีมาร สายวีถีทั้งหมดนี้ดำรงอยู่ร่วมกัน
นอกจากนี้ ยังมีขุมกำลังผู้ฝึกในเส้นทางแห่งสงคราม ค่ายกล รวมถึงเชื้อสายผู้ฝึกผี
แน่นอน ไม่ว่าอย่างไรโลกเทียนเสวียนก็เป็นเพียงหนึ่งในสามสิบสามโลกภูมิของแผ่นดินมหาแดนดินเท่านั้น ไม่อาจเทียบเคียงกับมหาแดนดินได้
ความแตกต่างกันเช่นนั้น คล้ายกับมหาทวีปคังชิง ไม่แตกต่างไปจากอาณาจักรเล็ก ๆ ที่ห่างไกลกับดินแดนใหญ่ทรงพลังอย่างอาณาจักรต้าเซี่ย
“โลกเทียนเสวียน… ไม่รู้เช่นกันว่าหนอนตะกละเฒ่าแห่ง ‘หอตำราเทียนเสวียน’ จะยังอยู่หรือไม่”
เมื่อมองเห็นโลกเทียนเสวียนแต่ไกล ๆ ซูอี้อดย้อนรำลึกขึ้นมาไม่ได้
เข้าสู่โลกเทียนเสวียนแล้วก็เท่ากับเข้าสู่ขอบเขตของแผ่นดินมหาแดนดิน!
เมื่อตอนชาติที่แล้ว ซูอี้เคยท่องพเนจรในโลกเทียนเสวียนเช่นกัน
ทว่า คนเดียวที่เขาจดจำได้เป็นอย่างดีก็คือตาเฒ่าที่ซ่อนชื่อปิดแซ่ใน ‘หอตำราเทียนเสวียน’ ผู้นั้น
ตาเฒ่าคนนั้นเรียกได้ว่าเป็นตาเฒ่าโบราณเก๋ากึกระดับหินดึกดำบรรพ์วิถีขงจือ มีระดับวิถีล้ำลึกยากจะหยั่งรู้ ทว่าช่างตะกละตะกรามเสียเหลือเกิน เคยบอกว่า ‘ยอมไม่มีหนังสืออ่านได้ แต่ไม่กินเนื้อไม่ได้’
ทว่า ที่หอตำราเทียนเสวียนแทบจะน้อยคนนักที่รู้ว่าตาเฒ่าน้อยที่รับหน้าที่เป็น ‘คนเฝ้าประตู’ อย่างเงียบ ๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ว่าจะเป็นผู้สามารถที่มีความอาวุโสมากในวิถีขงจื่อจนถึงขั้นใครรู้เป็นต้องตกใจตายได้
ทว่าสำหรับซูอี้แล้ว เรียกตาเฒ่าคนนั้นว่า ‘หนอนตะกละ’ มาตลอด
เขายังจำได้ว่าเมื่อตอนอดีตชาติ ซูอี้เคยชี้แนะจิ่งหังศิษย์คนที่สองว่าให้เดินทางไปที่หอตำราเทียนเสวียนสักครั้งเวลาที่เขาออกท่องพเนจร
จิ่งหังก็ไปจริง ๆ แต่เสียดาย เจ้าเด็กคนนี้มัวแต่ถกสูตรคัมภีร์กับหลักวิถีมากมายกับผู้ศึกษาในหอตำราเทียนเสวียน จึงไม่ได้รู้เลยสักนิดว่ามีตัวตนระดับปรมาจารย์วิถีขงจื่ออย่าง ‘หนอนตะกละเฒ่า’ ในหอตำราเทียนเสวียน
ต่อมา เมื่อซูอี้สนทนาพูดคุยกับหนอนตะกละเฒ่า เขาเคยติชมจิ่งหังว่าเป็นต้นกล้าในการเรียนรู้อ่านหนังสือที่ดี เพียงแต่ไม่ค่อยปราดเปรื่อง เมื่อไรที่สมองปราดเปรื่องแล้ว ก็จะรู้ว่าเชื่อแต่ตำราสู้ไร้ตำราดีกว่านั้นหมายความเช่นใด ถึงเวลานั้นก็จะสามารถสร้างถิ่นของตัวเองได้ในกลุ่มผู้ศึกษาทั่วใต้หล้า
ตอนนั้น ซูอี้เพียงแต่หัวเราะกับคำติชมเช่นนี้ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอันใด
จิ่งหังเป็นคนจิตใจกว้างขวาง ไม่ชิงดีชิงเด่น ไม่ชอบคร่าชีวิตผู้อื่น ทำการใดล้วนยึดถือหลักใช้คุณธรรมเอาชนะใจคน เป็นจุดที่ซูอี้ให้ความชื่นชมอย่างที่สุด
สำหรับเรื่องที่ว่าจิ่งหัง ‘ปราดเปรื่อง’ หรือไม่ ซูอี้ไม่เคยคาดหวัง
“ครั้งนี้มาถึงโลกเทียนเสวียนแล้ว ต้องไปหอตำราเทียนเสวียนสักครั้ง หากว่าหนอนตะกละเฒ่ายังอยู่ เขาก็น่าจะรู้ว่าตอนนี้จิ่งหังอยู่ที่ใด”
ซูอี้ลอบกล่าวกับตัวเอง