บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1042: ไปร่วมงาน
ตอนที่ 1042: ไปร่วมงาน
ตอนนั้น หลังจากที่ซูอี้กลับชาติเกิดใหม่แล้ว ศิษย์เอกผีหมัวกับศิษย์คนเล็กชิงถังก็ได้กลายเป็นศัตรูกัน
จิ่งหังศิษย์คนที่สองพยายามจะสลายความโกรธแค้นระหว่างผีหมัวกับชิงถัง เคยไปถึงถ้ำเสวียนจวินด้วยตนเอง ทว่ากลับโดนชิงถังไล่
ด้วยเหตุนี้จิ่งหังจึงรู้สึกเสียใจมาก ออกจากบ้านเกิด ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่แห่งหนใด
นี่เป็นเรื่องที่เย่ลั่วบอกให้ซูอี้รู้เมื่อตอนอยู่ที่ภูมิมืดมิด
ตอนนั้น ยังเคยคิดว่ามีแต่เพียงคนขยันศึกษาอย่างจิ่งหังเท่านั้นจึงจะทดลองทำเรื่องโง่ ๆ เช่นนี้
ทว่าเมื่อในอดีต สิ่งที่ซูอี้ชื่นชมที่สุดก็คือจุดนี้ของจิ่งหัง
อีกทั้งซูอี้ยังจำได้แม่นว่า หนอนตะกละเฒ่าตนนั้นให้ความสนใจในตัวจิ่งหังเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะจิ่งหังกราบตนเองเป็นศิษย์นานแล้ว หนอนตะกละเฒ่าจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรับจิ่งหังเป็นศิษย์ให้ได้อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ ซูอี้จึงเชื่อมั่นว่าหากตอนนี้หนอนตะกละเฒ่ายังอยู่ที่หอตำราเทียนเสวียน จะต้องรู้อย่างแน่นอนว่าจิ่งหังเดินทางไปที่ใด
ทว่า ก่อนที่จะไปหอตำราเทียนเสวียน ซูอี้ยังจะต้องไปที่งานประชุมวสันตวารีสักครั้งก่อน
ณ โลกเทียนเสวียน
ภูเขาแสงเดียวดาย ภูเขามีชื่ออันดับหนึ่งของโลกเทียนเสวียน
ที่นี่คือสถานที่ตั้งของตระกูลเยว่
“เหตุใดอวิ๋นซานจึงยังไม่กลับมาอีก หรือว่าจะเกิดเหตุอันใดเช่นนั้นหรือ?”
ภายในห้องโถงทรงโบราณ เยว่สุ่ยหานขมวดคิ้วขึ้น
เขามีรูปร่างผอมบาง สวมชุดสีเหลือง เขาคือผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลเยว่ มีระดับการฝึกตนขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นสมบูรณ์
ภายในห้องโถงใหญ่เวลานี้ มีบุคคลระดับสูงของตระกูลเยว่รวมตัวกันอยู่ เมื่อได้ฟังความ พวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าร้อนรน
วันนี้ งานประชุมวสันตวารีกำลังจะเปิดฉากขึ้นแล้ว หากว่าเยว่อวิ๋นซานเกิดเหตุไม่คาดคิดอันใดขึ้นในการเดินทาง แผนการครั้งนี้ของพวกเขาจะต้องได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างแน่นอน
ฉับพลัน เสียงถอนใจเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ทุกคนเบนสายตามองไปที่คน ๆ หนึ่ง
เขาคือผู้เฒ่าซึ่งนั่งสงบนิ่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ ผมยาวขาวโพลนประดุจหิมะ รอยย่นปกคลุมไปทั่ว สวมชุดสีเทา
เยว่ไป่หลิง!
ผู้เฒ่าขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำท่านหนึ่งของตระกูลเยว่ เขาไม่ได้ใส่ใจต่อโลกภายนอกมาเป็นเวลานานมากแล้ว
ทว่าตระกูลเยว่ประสบเคราะห์ใหญ่หลวงในครั้งนี้ทำให้ผู้เฒ่าคร่ำครึท่านนี้ไม่อาจนั่งสงบได้อีก จึงจำเป็นต้องออกมาจากการปิดตนเพื่อเป็นประธานในการวางแผน
เดิมที ในฐานะที่เป็นขุมกำลังระดับสุดยอดของโลกเทียนเสวียน ตระกูลเยว่มีตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำด้วยกันถึงสามคน
คนหนึ่งคือเยว่ฉางเทียน แต่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ในเวลาสำคัญนี้เขากำลังรักษาตัว
อีกคนหนึ่งคือเยว่ชิงชวน ออกไปท่องพเนจรตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่กลับมา ไม่อาจฝากความหวังอันใดไว้ได้
และสุดท้ายก็คือเยว่ไป่หลิง
เวลานี้ เขากวาดตามองดูทุก ๆ คนพลางกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พวกเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ งานประชุมวสันตวารีในครั้งนี้ เป็นการประลองระหว่างพวกเรากับลัทธิสัตตบงกช เพื่อดูว่าอำนาจและพลังของใครจะยิ่งใหญ่กว่ากัน!”
“ลัทธิสัตตบงกชเตรียมตัวมาพร้อม พวกเขาเชิญบุคคลระดับสุดยอดของโลกเทียนเสวียนมาเป็นกำลังใจ ก็เท่ากับต้องการใช้กำลังกดขี่ บีบคั้นตระกูลเยว่ของพวกเราให้ยอมแพ้!”
“แต่นี่ เป็นเพียงแค่พลังที่ลัทธิสัตตบงกชแสดงออกมาเท่านั้น หากไม่มีอะไรผิดพลาด เพื่อกดดันตระกูลเยว่ของพวกเรายิ่งขึ้น ในงานประชุมวสันตวารีครั้งนี้ลัทธิสัตตบงกชจะต้องเตรียมการอย่างอื่นด้วยอย่างแน่นอน!”
เมื่อเอ่ยเช่นนี้ออกมา ทุกคนต่างก็เคร่งเครียดมากขึ้นกว่าเดิม
พวกเขาผ่านลมผ่านฝนมานาน สามารถคาดเดาในจุดนี้ได้เป็นธรรมดา
เยว่ไป่หลิงกล่าวต่ออีก “ในสถานการณ์เช่นนี้ อวิ๋นซานสามารถนำสิ่งกล่องสำริดที่ ‘บรรพชนเจี้ยนเหอ’ เก็บรักษาไว้ในสุสานกลับมาได้หรือไม่ ยังจะมีความสำคัญอันใดอีก?”
ทุกคนพากันนิ่งเงียบไป บรรยากาศในตำหนักใหญ่พลันอึดอัดขึ้นมา
“แต่ ข้าได้เชิญสหายสนิทจำนวนหนึ่งมาร่วมงานแล้ว ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นใดก็ตาม อย่างไรเสียก็ต้องพยายามสู้ให้ถึงที่สุด จะให้ลัทธิสัตตบงกชคิดว่าตระกูลเยว่ของพวกเราเป็นลูกพลับนิ่มให้ใครต่อใครรังแกไม่ได้!”
เยว่ไป่หลิงพูดเสียงหนักแน่น
ต่อให้สถานการณ์ร้ายแรงยิ่งกว่านี้ ก็ไม่ยอมโดนหักเหลี่ยม!
พูดจบ เยว่ไป่หลิงลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่ง “ทำตามแผนที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรก นอกจากนี้ ส่งข่าวไปให้อวิ๋นซาน บอกว่าพวกเราออกเดินทางกันแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องย้อนกลับมาที่จวนอีก ให้ตรงไปผาวสันตวารีได้เลย”
“ขอรับ!” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งรับคำสั่ง
ไป่เยว่หลิงนำพาผู้อาวุโสเพียงสามท่านออกเดินทางไปยังผาวสันตวารี
ผู้อาวุโสทั้งสาม ได้แก่ เยว่สุ่ยหานผู้อาวุโสใหญ่ เยว่เสวี่ยผิงผู้อาวุโสลำดับที่สาม และเยว่เฟิงหลินผู้อาวุโสลำดับที่สี่
ทว่า ขณะที่พวกเขาทั้งสามกำลังจะออกจากภูเขาแสงเดียวดาย ก็พบกับเยว่อวิ๋นซานที่รีบร้อนกลับมาพร้อมกับซูอี้
เมื่อเห็นว่าเยว่อวิ๋นซานกลับมาอย่างปลอดภัย ทุกคนก็โล่งใจไปตาม ๆ กัน
“อวิ๋นซาน สหายน้อยท่านนี้คือ?”
เยว่เสวี่ยผิง ผู้อาวุโสลำดับที่สามถามขึ้น
นางมีรูปร่างสูงโปร่ง กิริยาอาการเรียบร้อยสงบนิ่ง ถึงแม้จะมีใบหน้าสวย ทว่าแววตาที่สะท้อนออกมานั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของวันเวลาที่ผันผ่าน
เยว่อวิ๋นซานกล่าวแนะนำอย่างเป็นทางการด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง “ท่านนี้คือซูอี้ สหายเต๋าซู เขาเป็นสหายของซือฉาน ครั้งนี้ที่ข้าสามารถเก็บกล่องสำริดที่บรรพชนเจี้ยนเหอเก็บรักษาไว้กลับมาได้ล้วนเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากสหายเต๋าซู!”
ครั้งแรกสุดทุกคนยังรู้สึกประหลาดใจว่าชายหนุ่มชุดเขียวอายุมากสุดสิบแปดสิบเก้าปีเช่นนี้ เหตุใดจึงกลับมาพร้อมกับเยว่อวิ๋นซานได้
ทว่าเมื่อได้ยินคำกล่าวของเยว่อวิ๋นซานแล้ว ทุกคนต่างก็ตะลึงจนต้องพินิจมองซูอี้ใหม่อีกครั้ง
“เจ้ากำลังบอกว่า… สหายเต๋าท่านนี้ช่วยเจ้า?”
เยว่เสวี่ยผิงยังคงสงสัย
คนอื่น ๆ ก็สงสัยเช่นกัน คาดไม่ถึงว่าคนหนุ่มอายุน้อยเพียงนี้จะช่วยเยว่อวิ๋นซานได้เช่นใด
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว เยว่อวิ๋นซานก็ส่งกระแสเสียงปราณเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนหนทางดาราพันวนอย่างละเอียดโดยไม่สนใจเรื่องอื่นอีก
หลังจากได้ฟังแล้ว ตัวประหลาดทั้งหลายของตระกูลเยว่ก็ไม่อาจสงบใจได้อีก สีหน้าของพวกเขาตื่นตะลึงระคนไม่อยากจะเชื่อ
ฆ่าอสูรเฒ่าสิบสี่ตนที่ทำตัวกร่างในหมู่ดารามานานตายในชั่วพริบตา?!
เรื่องนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์มาก!
แม้กระทั่งเยว่ไป่หลิงผู้มีระดับวิถีขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำก็ยังตกตะลึง
เมื่อตรวจสอบจากเยว่อวิ๋นซานจนมั่นใจแล้ว พวกเขาถึงยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นนี้
“ขอบคุณสหายเต๋าที่ยื่นมือเข้าช่วย! บุญคุณยิ่งใหญ่เช่นนี้ ตระกูลเยว่ของพวกเราไม่มีวันลืม!”
เยว่ไป่หลิงประสานมือทำความเคารพอย่างจริงจัง
คนอื่น ๆ ต่างก็แสดงความเคารพพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
ถึงแม้ในใจของพวกเขาจะยังคงสงสัยว่า ชายหนุ่มอายุสิบกว่าปีเช่นนี้จะมีกำลังการต่อสู้ที่น่ากลัวถึงเพียงนี้ได้อย่างไรก็ตาม
ทว่าพวกเขาก็เข้าใจดีว่า เยว่อวิ๋นซานผู้อาวุโสลำดับที่สองไม่กล้าพูดโกหกในเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอน!
“คำขอบคุณนั้นไม่จำเป็น ตามความเห็นข้า รีบเดินทางไปผาวสันตวารีจะดีกว่า” ซูอี้กล่าว
นิสัยของเขาก็เป็นเช่นนี้ ไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อม
ทว่าเมื่อเอ่ยเช่นนี้ออกมา ตัวประหลาดเหล่านั้นต่างก็รู้สึกคาดไม่ถึง ชายหนุ่มผู้มีที่มาน่าสงสัยคนนี้จะเข้าพัวพันกับเรื่องยุ่งยากในครั้งนี้ด้วยเช่นนั้นหรือ!?
เรื่องนี้เกินความคาดหมายของทุกคน เพราะใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าภัยพิบัติยิ่งใหญ่สะท้านฟ้าเช่นนี้ คนอื่น ๆ มีแต่จะพากันหนีทั้งสิ้น!
“ก็ดีเช่นกัน รีบเดินทางกันก่อน” เยว่ไป่หลิงแสดงท่าทีตัดสินใจ
ทันใดคนทั้งหมดก็ออกเดินทาง
ระหว่างทาง เยว่อวิ๋นซานส่งกระแสเสียงปราณสนทนากับพวกเยว่ไป่หลิงอยู่ตลอด
ไม่ต้องคิด ซูอี้ก็สามารถรู้ได้ว่าตัวประหลาดของตระกูลเยว่เหล่านี้ต้องถามถึงเรื่องของเขาอย่างแน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้ซูอี้รู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง
ตอนนี้อยู่ในอาณาเขตของมหาแดนดินแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น ซูอี้จึงไม่อยากจะเปิดเผยฐานะของตัวเองเร็วเกินไปนัก
อีกทั้ง เขาตั้งใจว่าจะสืบและทำความเข้าใจเรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขากลับชาติมาเกิด เพื่อสืบหาความจริงและคำตอบให้เจอก็ไม่ควรจะเปิดเผยฐานะของตัวเองเร็วเกินไป
ไม่เช่นนั้น หากคนอื่น ๆ รู้ว่าซูเสวียนจวินกลับมาแล้ว ไม่รู้ว่าจะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับแผ่นดินมหาแดนดินถึงเพียงไหน
สิ่งที่ทำให้ซูอี้รู้สึกละเหี่ยใจมากที่สุดก็คือ บางครั้ง ถึงแม้เขาจะเป็นคนบอกคนอื่น ๆ ว่าเขาคือซูเสวียนจวิน แต่ก็ยังคงไม่มีใครเชื่อ กลับคิดว่าเขาพูดโกหก เป็นการลบหลู่ดูแคลน ‘ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน’
และด้วยฐานะของเขาในตอนนี้ คงทำให้คนอื่นเชื่อได้ยาก
เพราะอย่างไรเสียอายุก็น้อยเกินไป
จะนำมาซึ่งการคาดเดาและสงสัยที่ไม่จำเป็นได้ง่าย ๆ
คล้ายกับเมื่อก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ระหว่างทาง ถึงแม้จะเห็นกับตัวตัวเองว่าเขาสามารถฆ่าอสูรเฒ่าเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อรู้ว่าเขากำลังจะสอดมือเข้ายุ่งกับงานประชุมวสันตวารี เยว่อวิ๋นซานก็ยังคงเป็นห่วงแทนเขา และไม่ต้องการให้เขาต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย…
แม้กระทั่งเยว่อวิ๋นซานก็ยังเป็นเช่นนี้ สามารถรู้ได้เลยว่าตัวประหลาดทั้งหลายในตระกูลเยว่จะสงสัยมากเพียงไหน รับรองได้ว่าต้องสงสัยอยากรู้ฐานะและที่มาของตัวเองมากอย่างแน่นอน!
และก็เป็นตามที่ซูอี้คาดการณ์ไว้ ระหว่างทาง พวกของเยว่ไป่หลิงก็เริ่มสอบถามว่าเขารู้จักกับเยว่ซือฉานตั้งแต่เมื่อไร และเขามีฐานะที่มาอย่างไร
สำหรับเรื่องนี้ ซูอี้ไม่ได้ให้ความสนใจนัก บอกแต่เพียงว่าเขาเพียงแค่ผ่านมาเท่านั้น รอให้แก้ไขจัดการกับปัญหาเสร็จก็จะจากไป ดังนั้นฐานะและที่มาจึงไม่มีความสำคัญ
การกระทำสำคัญกว่าคำพูดนั้นหมายความเช่นใด?
ความหมายของมันนั้นเรียบง่ายมาก นั่นก็คือ ‘คำพูดไม่สำคัญเท่ากับการกระทำ’ นั่นเอง
เมื่อไปถึงงานประชุมวสันตวารีแล้ว หากเขาจัดการกับปัญหาของตระกูลเยว่เสร็จ คิดว่าคงไม่มีใครคาดเดาและสงสัยเช่นนี้อีก
แน่นอนว่า ซูอี้ย่อมรู้ดีว่าพวกของเยว่ไป่หลิงไม่ได้มีเจตนาชั่วร้าย หากว่าเป็นคนอื่น ก็ต้องมีท่าทีเหมือนกับพวกเขาเช่นกัน
เวลาต่อมา พวกของเยว่ไป่หลิงก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก
ความเป็นจริงแล้ว ความคิดและจิตใจของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่ตัวซูอี้
พวกเขารู้สึกซาบซึ้งขอบคุณซูอี้ที่ยื่นมือเข้าช่วย แต่ไม่ได้คาดหวังว่าชายหนุ่มจะสามารถช่วยอะไรได้มากนัก
เหมือนดังที่เยว่อวิ๋นซานเคยกังวลเมื่อครู่ ตัวเอกที่แท้จริงของงานประชุมวสันตวารีในครั้งนี้คือตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ!
และสิ่งที่ประลองกันก็คือระหว่างตระกูลเยว่ของพวกเขากับลัทธิสัตตบงกชใครกันแน่ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่า มีพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่า!
ในการปะทะกันระหว่างขุมกำลังใหญ่ อย่างไรเสียก็ดีพลังของคน ๆ หนึ่งก็ยังคงเล็กน้อยและไร้ซึ่งกำลังอยู่ดี
“ถึงผาวสันตวารีแล้ว!”
เยว่ไป่หลิงที่นำทางอยู่ข้างหน้าเงยหน้ามองไปไกล ๆ
จุดที่ห่างออกไปไกลโพ้นเป็นทะเลสาบที่กว้างใหญ่ไพศาล ริมทะเลสาบมียอดเขาสูงชันเสียดฟ้าตั้งตระหง่าน
ภูเขาแห่งนี้มีหินประหลาดดาษดื่น ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้น ส่วนบนยอดเขาเป็นลานหินขนาดใหญ่มหึมา ยืนอยู่ริมลานหินสามารถมองเห็นทิวทัศน์งดงามของทะเลสาบได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสารทฤดู ยืนอยู่บนลานหินมองไปลงไป ทะเลสาบเชื่อมติดกับฟากฟ้า ยิ่งใหญ่งดงามนัก
นี่จึงเป็นที่มาของชื่อผาวสันตวารี
ยามอาทิตย์ใกล้จะตกดิน แสงตะวันเป็นสีทอง เมฆสีแดงประดุจเปลวไฟก่อตัวเป็นรูปร่างต่าง ๆ ที่งดงาม
พวกของซูอี้ยังมาไม่ถึง พวกเขาคงอยู่ไกล ๆ ทว่าบนผาวสันตวารีสารทฤดูแห่งนั้นพลันปรากฏร่างของคน ๆ หนึ่งขึ้น ส่งเสียงดังมาแต่ไกล
“ตระกูลเยว่ของพวกเจ้าได้นำตัวเยว่เทียนฉางกับเยว่ซือฉานมาด้วยหรือไม่?”
เสียงดังราวกับเสียงฟ้าผ่าจนสั่นสะท้านไปถึงชั้นเมฆ ดังก้องไปทั่วพสุธา
คน ๆ นั้นสวมชุดสีดำ ไหล่กว้างเอวเล็ก ทรงพลังประดุจเทพ แววตาเป็นประกาย แลดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
“ฮึ! ตระกูลเยว่ของพวกเรายังไม่ยอมแพ้ เจ้า ฉางซุนหง ใจเร็วด่วนได้เกินไปแล้วกระมัง?”
เยว่ไป่หลิงสบถเสียงร้องฮึ เสียงดังราวกับเสียงระฆังใหญ่ สั่นสะท้านไปทั่วฟ้าดิน
ในเวลาเดียวกันนี้เอง เยว่อวิ๋นซานก็ส่งกระแสเสียงปราณไปให้ซูอี้ “สหายเต๋า คนผู้นี้คือฉางซุนหงแห่งลัทธิสัตตบงกช เป็นมารเฒ่าขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ เมื่อก่อนนานมากแล้ว…”
ไม่รอให้พูดจบ ซูอี้ก็ส่ายหน้าขึ้นมาน้อย ๆ กล่าวตัดบทด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตัวตนเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องแนะนำ”
……….