บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1043: แทงหลัง
ตอนที่ 1043: แทงหลัง
เป็นเรื่องแน่อยู่แล้วที่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำจะมีความแข็งแกร่งมาก
แม้กระทั่งในดินแดนเก้ามหาแดนดิน ผู้บ่มเพาะระดับนี้ก็ยังเป็นเสาหลักของสายวิถีระดับสุดยอด!
ทว่า…
ในสายตาของซูอี้ ยกเว้นตัวตนระดับสุดยอดที่มีความสามารถร้ายกาจทั่วแดนดินแล้ว ในโลกนี้ตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำอื่น ๆ ล้วนไม่มีคุณค่าให้เอ่ยถึง
ยิ่งไปกว่านั้น เขามาร่วมงานประชุมวสันตวารีในครั้งนี้ ไม่ได้มาเพื่อคบหามิตรสหาย ไหนเลยจะใส่ใจกับที่มาของศัตรู?
“เอ่อ…”
เยว่อวิ๋นซานอึ้งพูดไม่ออก
เขาตกใจมากที่ซูอี้ทำเหมือนไม่เห็นฉางซุนหงอยู่ในสายตาเลย!
“ฮ่า! พวกเจ้าคนตระกูลเยว่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริง ๆ เสียด้วย ช่างเถอะ วันนี้ในงานประชุมวสันตวารี จะให้ตระกูลเยว่ของพวกเจ้าได้รู้สำนึกเสียบ้างว่าความสิ้นหวังที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นใด!”
ใต้ท้องนภาที่ห่างไกลออกไป เสียงหัวเราะเย็นชาของฉางซุนหงลอยละล่องไปถึงยอดภูเขา
สีหน้าของคนตระกูลเยว่บิดเบี้ยวจนดูแทบไม่ได้
ใคร ๆ ก็รู้สึกได้ว่าลัทธิสัตตบงกชไม่เพียงแต่เตรียมตัวมาอย่างดีเท่านั้น ทั้งยังมีท่าทีอุกอาจเอาเรื่องมากอีกด้วย!
“ไปกันเถอะ”
เยว่ไป่หลิงสูดหายใจลึก ๆ ไปทีหนึ่ง จากนั้นจึงนำพาทุกคนบินตรงไปสู่ผาวสันตวารี
ณ ยอดภูเขาอันสูงชัน บนลานหินที่มีอาณาเขตกว้างร้อยจั้งได้จัดเตรียมที่นั่งไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว
ครั้งนี้ลัทธิสัตตบงกชส่งตัวประหลาดขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำมาสองคนและผู้อาวุโสขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำอีกหกคน
แม้ว่าส่งคนมาไม่มากนัก แต่ความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ หากว่าอยู่ในโลกเทียนเสวียน ยังถือว่ายิ่งใหญ่มากพอที่จะสยบคนในดินแดนหนึ่งได้เลย
นอกจากนี้ ลัทธิสัตตบงกชยังเชิญตัวตนระดับสุดยอดของโลกเทียนเสวียนมาร่วมงานด้วยอีกจำนวนหนึ่ง มีมากถึงสิบกว่าคน แต่ละคนมีระดับวิถีขอบเขตจักรพรรดิทั้งสิ้น หากไม่ใช่ผู้นำขุมกำลัง ก็ต้องเป็นผู้อาวุโสชื่อเสียงโด่งดัง
และหนึ่งในนั้นยังเป็นตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกลับเสียด้วย!
กล่าวอย่างไม่เกินจริง งานประชุมใหญ่เช่นนี้ ตัวตนจักรพรรดิทั่วไปไม่มีคุณสมบัติจะเข้าร่วมงานได้ ตัวตนผู้อยู่ต่ำกว่าขอบเขตจักรพรรดิก็ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
เมื่อเยว่ไป่หลิงพาทุกคนมาถึง และได้เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ละคนก็รู้สึกหดหู่หัวใจ
พวกเขามีตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ทว่าฝ่ายลัทธิสัตตบงกชมีมากกว่าถึงสองเท่า!
อีกทั้งพวกเขายังเชิญตัวประหลาดขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำอีกท่านหนึ่งมาช่วยด้วย!
ความอลังการเช่นนี้ ใครบ้างจะไม่ตะลึง?
“เชอะ เยว่ไป่หลิง ตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำที่สู้เก่งของตระกูลเยว่ เหลือเจ้าเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นแล้วหรือ?”
เสียงหัวเราะเยาะเสียงหนึ่งดังขึ้น
เมื่อมองไปตามเสียง เขาก็เห็นฉางซุนหงในชุดยาวสีดำนั่งวางท่าใหญ่โตอยู่ตรงนั้น พูดวาจาแสดงความเย้ยหยัน
“กำลังคนเพียงเท่านี้ก็คิดจะดิ้นรนขัดขืน? ตระกูลเยว่ของพวกเจ้าช่างไม่ประมาณตัวเองเสียเลย”
เสียงทอดถอนใจเสียงหนึ่งดังขึ้น
คนที่พูดคือหญิงสาวสวยผิวขาวยิ่งกว่าหิมะ แต่งตัวด้วยชุดยาวสีดำ
นางยืนอยู่อีกด้านของริมหน้าผา เสื้อผ้าโบกสะบัด ผมยาวปลิวสยาย เวลานี้นางหันหน้ามองมา บนใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความเย็นชาและดูแคลน
ฉินลั่วสุ่ย
เป็นตัวประหลาดขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำของลัทธิสัตตบงกชเหมือนกับฉางหงซุน
เสียงหัวเราะดังไปทั่วงานการประชุม
ผู้แข็งแกร่งของลัทธิสัตตบงกชกับแขกที่มาเป็นกำลังใจให้ลัทธิสัตตบงกชต่างพากันหัวเราะ สายตามีแต่ความเย้ยหยัน
ภาพทั้งหมดนี้ทำให้สีหน้าของคนตระกูลเยว่สลดลง
ทว่าซูอี้กลับส่ายหน้า
หากให้พูดจริง ๆ พื้นฐานการฝึกฝนและกำลังของลัทธิสัตตบงกชนี่ยังด้อยกว่าขุมกำลังระดับสุดยอดอย่างโถงหลงลืมกับวังธารเหลืองในภูมิมืดมิดอยู่มาก
หากว่าอยู่ในเก้ามหาแดนดิน พวกเขาก็เป็นได้เพียงแค่ขุมกำลังชั้นดีเท่านั้น
ซูอี้จึงคร้านจะสนใจต่อ
เขากวาดตามอง ในงานยังมีที่นั่งว่างอีกมากมาย แต่คนของลัทธิสัตตบงกชกลับไม่เชิญคนตระกูลเยว่เข้านั่งประจำที่
ทว่าดูจากท่าทีของเยว่ไป่หลิงแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาก็ไม่คิดจะนั่งเช่นกัน
ซูอี้รู้ดีว่า ตราบใดที่ตระกูลเยว่กับลัทธิสัตตบงกชยังไม่ได้แสดงไพ่ใบสุดท้ายออกมา งานประชุมวสันตวารีในครั้งก็ไม่มีทางจะจบสิ้นลงได้ง่าย ๆ
และเขาก็ไม่ต้องการจะยืนทึ่มอยู่ตรงนั้น
จากนั้นชายหนุ่มก็เดินไปอยู่ใต้ต้นสนเก่าแก่โบราณที่ริมหน้าผา แล้วหยิบเก้าอี้หวายออกมา เอนกายนั่งสบายอยู่บนนั้น ทั้งยังหยิบน้ำเต้าสุราออกมาด้วย
เมื่อชายตามองไปจากตรงนี้ จะเห็นทะเลหมอกคละคลุ้งอยู่ใต้ท้องฟ้าที่ห่างไกลออกไป ทะเลสาบบนผืนแผ่นดินส่องประกายแสงระยิบระยับ ทิวทัศน์งดงามไม่ธรรมดา มองแล้วเพลินตาเพลินใจ
“นี่…”
เมื่อเห็นกิริยาท่าทีของซูอี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนตระกูลเยว่ หรือว่าคนของลัทธิสัตตบงกชต่างก็ตกตะลึง
“เจ้าหนุ่มคนนี้ทำอะไร?”
แขกท่านหนึ่งส่งเสียงพึมพำพลางขมวดคิ้วแน่น
งานประชุมวสันตวารีเป็นการประชันกำลังของสองขุมกำลังระดับสุดยอดในโลกเทียนเสวียน
เวลาเช่นนี้ หนุ่มน้อยอายุสิบกว่าปีกลับมองไม่เห็นหัวใคร ๆ ขณะนั่งสบายดื่มสุราชมทิวทัศน์อยู่ตรงนั้นราวกับคุณชายที่มาท่องเที่ยวป่าเขาลำเนาไพร
ในสายตาคนทั้งหลาย ท่าทางเช่นนี้แลดูอหังการเสียเหลือเกิน ราวกับมองไม่เห็นใครในสายตา ซึ่งไม่สอดคล้องกับบรรยากาศที่ตึงเครียดในงานแม้แต่น้อย
พวกของเยว่ไป่หลิงต่างก็มองหน้ากัน
ตีให้หัวแตกพวกเขาก็คาดไม่ถึงว่าสหายเต๋าซูผู้มีที่มาลึกลับซับซ้อนคนนี้จะทำตามอำเภอใจตัวเองเช่นนี้
“เยว่ไป่หลิง เด็กน้อยคนนี้คงไม่ใช่ผู้เก่งกล้า… ที่ตระกูลเยว่ของพวกเจ้าเชิญมาหรอกกระมัง?”
เสียงหัวเราะเยาะดังขึ้น
คนที่พูดคือชายวัยกลางคนผิวขาวสะอาด เขาสวมชุดสีกรมท่า รัดผมด้วยเกล้าขนนก นามว่าฉางเหิงเยวี่ยน เป็นตัวประหลาดเฒ่าแห่งขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำที่ทางลัทธิสัตตบงกชเชิญมาร่วมงาน
หลังจากที่เขาเอ่ยพูด ทุกคนในงานก็พากันหัวเราะ
สีหน้าของเยว่ไป่หลิงกับคนอื่น ๆ ขาวสลับเขียว รู้สึกอึดอัดลำบากใจขึ้นมา
ซูอี้ที่กำลังดื่มสุราของตัวเองพลันหัวเราะขึ้นมา เขากวาดสายตามองไปยังฉางเหิงเยวี่ยนชั่วครู่ จากนั้นจึงเบนสายตามองไปไกล ๆ อีกครั้ง
“เพียงแค่เด็กน้อยที่พูดดีแต่ปากคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องสนใจ พวกเราคุยเรื่องสำคัญกันต่อเถิด”
ฉางซุนหงเอ่ยพูดเสียงเครียดและมีพลัง ทำให้บรรยากาศในงานกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
“เยว่ไป่หลิง สถานการณ์ในตอนนี้เจ้าก็มองเห็นแล้ว ยังมีอะไรอยากจะพูดอีกหรือไม่?”
สายตาของฉางซุนหงมองไปที่เยว่ไป่หลิงอย่างเย็นชา
“ประลองด้านกำลังและอำนาจ เหตุใดลัทธิสัตตบงกชของพวกเจ้าจึงได้มั่นใจนักว่าตระกูลเยว่ของพวกข้าจะพ่ายแพ้?”
เยว่ไป่หลิงตอบเสียงเย็นยะเยือก
ฉางซุนหงร้องอ้อขึ้นมาทีหนึ่ง “ที่แท้ ตาเฒ่าอย่างเจ้ายังคาดหวังว่าจะมีคนนอกมาช่วย ช่างเถอะ ข้าจะทำให้เจ้าตายใจ!”
พูดจบ เขาสั่งผู้ชายชุดสีขาวที่อยู่ข้างกาย “ผู้อาวุโสปักษาแดง เจ้าเป็นคนพูด”
“ขอรับ!”
ผู้ชายชุดสีขาวที่ถูกเรียกชื่อว่าผู้อาวุโสปักษาแดงรับคำบัญชาอย่างแข็งขัน
จากนั้นเขาก็เบนสายตามองไปที่เยว่ไป่หลิง กล่าวพร้อมกับแย้มยิ้ม “เรียนทุกท่านให้ทราบตามตรง จ้าวหลินคง ผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบร้อยหมั่นเพียร กับเซียวอู๋จี้ ประมุขหอผาเมฆินทร์ได้แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่าจะไม่ให้ความช่วยเหลือแก่ตระกูลเยว่ของพวกเจ้าอีก”
เมื่อพูดเช่นนี้ออกมา สีหน้าของคนตระกูลเยว่ก็เปลี่ยนในทันใด
แม้กระทั่งเยว่ไป่หลิงผู้มีใบหน้าสงบเงียบ เวลานี้ก็ยังกำหมัดแน่น สีหน้าบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้
เพราะว่าจ้าวหลินคงกับเซียวอู๋จี้ต่างก็เป็นสหายที่เขารู้จักมานานหลายปี และมีระดับวิถีขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเช่นเดียวกัน
และนี่ก็เป็นไพ่ใบสุดท้ายที่เยว่ไป่หลิงมาร่วมงาน
แต่ใครกันจะคาดคิดว่าจ้าวหลินคงกับเซียวอู๋จี้จะเปลี่ยนใจกะทันหัน!
ราวกับเป็นการพิสูจน์ความจริงในสิ่งที่ตัวเองพูด ผู้อาวุโสปักษาแดงจึงหยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมา จากนั้นโคจรปราณเพื่อแสดงที่อยู่ภายในยันต์นั้น
ทันใด เสียงในวัยชราก็ส่งเสียงออกมาว่า…
“ทุกท่านในลัทธิสัตตบงกชจงวางใจได้ เรื่องนี้ ข้าจะไม่เกี่ยวข้องด้วย”
เมื่อได้ฟังคำ สีหน้าของเยว่ไป่หลิงก็ยิ่งดูไม่ได้ขึ้นมา
เขาคุ้นเคยกับเสียงนี้ มันคือเสียงของจ้าวหลินคง!
หลังจากนั้น เสียงหนักแน่นเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากแผ่นหยกอย่างรวดเร็ว
“ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ข้ากับเยว่ไป่หลิงก็รู้จักกันมานานหลายปี หากว่าเขายอมก้มหัว ขอให้ทุกท่านปล่อยเขาไปด้วย!”
เสียงถอนใจยาว ๆ เสียงนี้ เห็นได้ชัดว่าจนด้วยปัญญา
นี่เป็นเสียงของเซียวอู๋จี้!
เยว่ไป่หลิงหน้าดำคร่ำเคร่งขึ้น
เมื่อหันไปมองดูคนอื่น ๆ ในตระกูลเยว่ พวกเขาต่างก็โกรธและตะลึงจนมือเท้าเย็นไปหมด
ใครกันจะคาดคิดว่าผู้อาวุโสสองท่านผู้เป็นสหายของเยว่ไป่หลิงมานานจะทรยศหักหลังกันจริง ๆ!
สายตาของคนในงานที่มองดูคนของตระกูลเยว่ปรากฏแววสมเพชเวทนาขึ้นมา
‘น้ำใจคนเราบางเบาดุจกระดาษ ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเช่นนี้’
ซูอี้แอบคิดในใจ จากนั้นดื่มสุราไปอึกหนึ่ง
“ลัทธิสัตตบงกชของพวกเจ้าทำได้ไม่เลวเลย!”
เยว่ไป่หลิงสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตามองไปที่ฉางซุนหงอย่างเย็นชา “แต่อาศัยเพียงสิ่งเหล่านี้ ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลเยว่ของข้ายอมก้มหัวให้หรอก!”
น้ำเสียงเฉียบขาดมีน้ำหนัก
จนฉางซุนหงที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “รู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องไม่ยอมแพ้”
พูดจบ เขาก็ส่งเสียงคำรามดังก้องแผ่นฟ้า “เชิญสหายเต๋าอวิ๋นอิ่งออกมาพบกับพวกเรา!”
เสียงยังดังกึกก้อง ฉับพลันนั้นเสียงถอนใจเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นบนชั้นเมฆที่อยู่ห่างไกลออกไป
“ตัวประหลาดเยว่ ยอมเสียเถอะ ตระกูลเยว่ของพวกเจ้าหมดหนทางรอดแล้วจริง ๆ ขืนดึงดันต่อไปอีก มีแต่ผลเสียต่อคนในตระกูลเยว่”
ภายใต้สายตาที่จับจ้องของคนทั้งหลาย ผู้เฒ่าที่แต่งกายด้วยชุดโบราณก้าวเดินกลางอากาศ
“อาจารย์อวิ๋นอิ่ง! เหตุใดเจ้า…”
พวกของเยว่สุ่ยหานกับเยว่อวิ๋นซานเบิกตากว้าง แทบไม่อยากจะเชื่อ
อาจารย์อวิ๋นอิ่ง!
หนึ่งในสหายรักของเยว่ไป่หลิง เมื่อในอดีตทั้งสองเคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน!
ทว่าตอนนี้ อาจารย์อวิ๋นอิ่งกลับยอมสวามิภักดิ์ต่อลัทธิสัตตบงกช อีกทั้งเวลานี้ยังเป็นฝ่ายเกลี้ยกล่อมให้เยว่ไป่หลิงยอมแพ้!
สิ่งนี้ทำให้คนในตระกูลเยว่โกรธแค้นและตกตะลึง
เยว่ไป๋หลิงราวกับถูกฟ้าผ่า นิ่งตะลึงอยู่ตรงนั้น
หลังจากที่อาจารย์อวิ๋นอิ่งมาถึง เขาก็แสดงความเคารพต่อพวกฉางซุนหง… จากนั้นจึงเบนสายตามองไปที่เยว่ไป่หลิง และกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ตัวประหลาดเยว่ เชื่อคำข้าสักครั้ง มอบตัวเยว่ฉางเทียนกับเยว่ซือฉานออกมาเสียเถอะ เช่นนี้จะได้แลกกับความสงบสุขของตระกูลเยว่”
เยว่ไป่หลิงโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “อวิ๋นอิ่ง หากว่าเจ้าไม่ยินดีจะช่วย เจ้าก็สามารถอยู่นิ่ง ๆ ไม่ใส่ใจได้ เหตุใดกลับลุกขึ้นช่วยลัทธิสัตตบงกชแทงข้าในเวลานี้!?”
เขาโกรธจนตัวสั่น
คนอื่น ๆ ในตระกูลเยว่มองดูอาจารย์อวิ๋นอิ่งด้วยสายตาเคียดแค้นชิงชัง
ถึงแม้การทรยศหักหลังของจ้าวหลินคงกับเซียวอู๋จี้จะสร้างความเจ็บช้ำใจ แต่ก็ยังพอฝืนรับได้ เพราะอย่างไรเสีย ไม่ใช่ว่าใครก็กล้าเข้ามาพัวพันได้
ทว่าในฐานะที่อาจารย์อวิ๋นอิ่งเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายของเยว่ไป่หลิง ในเวลานี้กลับทรยศจนถึงขั้นยืนอยู่ฝั่งเดียวกับลัทธิสัตตบงกช แทงหลังเยว่ไป่หลิง ใครบ้างจะไม่โกรธแค้น?
“ตาเฒ่าคนนี้ชั่วจริง ๆ” ซูอี้ส่ายหน้า
อาจารย์อวิ๋นอิ่งกล่าวถอนใจ “ผู้ที่รู้กาลเทศะคือผู้มีปัญญา ตัวประหลาดเยว่ โกรธแค้นแล้วจะทำอะไรได้? เราสองคนรู้จักกันมานาน ข้าสามารถรับรองได้ว่า หากเจ้ามอบตัวสองคนนั้นมา ตระกูลเยว่ของพวกเจ้าจะไม่ได้รับความเดือดร้อนอีก”
เยว่ไป่หลิงตาแดงก่ำ และกล่าวด้วยความดุดัน “เจ้าจงหุบปากเสีย! มิเช่นนั้น ต่อให้ข้าต้องตาย ก็จะต้องฆ่าคนสารเลวอย่างเจ้าให้ได้!”
อาจารย์อวิ๋นอิ่งสีหน้าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวขึ้นมาในทันใด
ทว่า เขาราวกับกลัวว่าเยว่ไป่หลิงจะลงมือโดยไม่สนใจอะไรจริง ๆ สุดท้ายจึงไม่กล้าพูดอะไรมากอีก
ทว่าเวลานี้ ฉางซุนหงลูบคางน้อย ๆ พลางกล่าวทั้งรอยยิ้ม “เยว่ไป่หลิง ตอนนี้ตระกูลเยว่ของพวกเจ้ายังจะเอาอะไรมาต่อสู้กับลัทธิสัตตบงกชของพวกข้าได้อีก?”
คำพูดลอย ๆ ประโยคเดียวทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมา
สายตาที่คนทั้งหลายมองดูคนตระกูลเยว่ มีทั้งสายตาดูแคลน รวมถึง… สงสารเวทนาอย่างไม่มีกลบเกลื่อน!
ซูอี้ดื่มสุราไปหนึ่งจอกด้วยความรู้สึกหมดสนุก
เหมือนที่เขาคาดเดาเอาไว้ ลัทธิสัตตบงกชไม่ยอมเปิดศึกกับตระกูลเยว่ ด้วยเหตุนี้จึงใช้กำลังบีบบังคับให้ตระกูลเยว่ยอมก้มหัวในงานประชุมวสันตวารีให้ได้
มิเช่นนั้น เหตุใดต้องทำอะไรมากมายเพื่อลดความมั่นใจของคนในตระกูลเยว่เช่นนี้ด้วย?
ในเวลานี้เอง มีเสียง ๆ หนึ่งพลันดังก้องขึ้นมา
สายตาของคนทั้งหมดมองไปออกอย่างพร้อมเพรียงกัน
ใครมาอีกแล้วหรือนั่น?