บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1047: มะเดื่อเพิงหงส์
ตอนที่ 1047: มะเดื่อเพิงหงส์
“นั่นสินะ ชิงถังเป็นที่เคารพในเก้ามหาแดนดินไปแล้ว ด้วยพื้นหลังของยายหนูเยี่ยนซู่หนี นางก็มีคุณสมบัติมากเกินพอที่จะเป็นผู้อาวุโสในแดนลี้ลับขั้นเก้า”
ซูอี้ลอบกล่าว
เขาหยุดความคิดไปและกล่าวทันที “หลังจากเจ้ากลับสำนัก ช่วยบอกแม่นางซือฉานให้ข้าทีว่านางสามารถฝึกฝนวิถีดาบติดตามเยี่ยนซู่หนีได้ แต่อย่ารีบร้อนกราบนางเป็นอาจารย์”
ชายในอาภรณ์ขนนกผงะไป
การกราบผู้อาวุโสเยี่ยนซู่หนีเป็นอาจารย์ นับได้ว่าเป็นความฝันของผู้ฝึกดาบมากมายในแดนเทวามหาแดนดิน
ทว่าใครเล่าจะคิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าเขาจะดูไม่อยากให้เยว่ซือฉานทำเช่นนี้!
“เพราะเหตุใดหรือ?”
ชายในอาภรณ์ขนนกอดถามไม่ได้
ชายในอาภรณ์ขนนกตะลึงอึ้ง เขาจำวิถีดาบอันร้ายกาจของซูอี้เมื่อครู่ได้ จึงพอเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายอยู่บ้าง
จริงอยู่ที่ซูอี้ผู้นี้ดูเยาว์วัย การฝึกฝนของเขาต่ำผู้อาวุโสเยี่ยนซู่หนีอยู่หลายขุม แต่วิชาดาบที่เขาบรรลุสามารถสังหารตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้อย่างง่ายดาย!
คนเช่นนี้ย่อมมีคุณสมบัติเพียงพอจะชี้นำการฝึกฝนของเยว่ซือฉานได้
“เยว่ซือฉานผู้นี้เป็นเพียงบุตรีตระกูลเยว่แห่งโลกเทียนเสวียน ในด้านฐานะ ในสำนักเราก็มีผู้สูงส่งทรงพลังกว่านางมากมาย ทว่านางกลับเป็นคนเดียวจากทั่วสำนักที่ผู้อาวุโสเยี่ยนซู่หนี”
“ยามนี้ กระทั่งซูอี้ผู้นี้ยังไม่ลังเลที่จะสังหารจักรพรรดิทั้งหมดของลัทธิสัตตบงกชในรวดเดียวเพื่อนาง และกระทั่งไม่อยากให้นางกราบเป็นศิษย์ผู้อาวุโสเยี่ยนซู่หนี…”
เมื่อคิดเช่นนี้ ชายในอาภรณ์ขนนกก็รู้สึกริษยาในใจ
คนเราแตกต่างกันจริงแท้!
ยามนี้เอง เยว่ไป่หลิง เยว่ฉางเทียนและเหล่าผู้มีอำนาจในตระกูลเยว่ต่างเจ้ามาทักทายซูอี้ด้วยกัน
“ขอบคุณสหายเต๋าซูที่ลงมือช่วยคลี่คลายหายนะต่อตระกูลเยว่ของข้า!”
เยว่ไป่หลิงกล่าวขอบคุณ
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “หากเจ้าคิดขอบคุณข้าจริง ๆ ก็ช่วยเก็บสินสงครามที่นี่ให้ข้าเถอะ”
เยว่ไป่หลิงตอบตกลงอย่างยินดี และสั่งให้พวกเยว่สุ่ยหานลงมือโดยเร็วที่สุด
“สหายเต๋าซู เจ้าเป็น… สหายลูกสาวข้าซือฉานจริง ๆ หรือ?”
เยว่ฉางเทียนอดถามไม่ได้
ซูอี้กล่าวด้วยแววตาพิกล “อันใดนี่ จำข้าไม่ได้หรือ?”
เยว่ฉางเทียนนิ่งไปครู่ ก่อนจะพยายามย้อนคิด
แต่ก่อนที่เขาจะจำได้ เยว่ไป่หลิงก็ออกปากเชื้อเชิญซูอี้อย่างอบอุ่น “สหายเต๋า หากไม่คิดถือสา ผู้เฒ่าน้อยผู้นี้หวังจะเชิญสหายเต๋ามาเป็นแขกที่บ้านตระกูลเยว่เพื่อรับน้ำใจเจ้าบ้านสักหน่อยนะ”
คนอื่น ๆ ต่างพยักหน้าตามอย่างมีความหวัง
ซูอี้ส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่จำเป็นต้องเป็นแขกหรอก ข้ามีสิ่งอื่นต้องทำ”
แม้เยว่ไป่หลิงจะผิดหวัง เขาก็ยังแย้มยิ้ม “ข้าไม่กล้าถ่วงธุระของสหายเต๋าหรอก แต่ไม่ว่าอย่างไร ไม่ว่าสหายเต๋าจะว่าเช่นไรในภายหน้า ตระกูลเยว่ของข้าก็จะบุกน้ำลุยไฟช่วยเหลืออย่างไม่ยอมแพ้!”
นางกล่าวพลางกุมกำปั้นคำนับต่ำ ๆ ให้ซูอี้
ผู้อื่นเองก็โค้งหัวคำนับเช่นกัน
งานชุมนุมวสันตวารีวันนี้ดึงความสนใจจากทั่วโลกเทียนเสวียน และไม่รู้ว่ามีขุมกำลังมากมายเพียงไรที่รอชมความขายหน้าของตระกูลเยว่ของพวกเขา
กระทั่งบางขุมอำนาจที่เคยประชันกับตระกูลเยว่ของพวกเขายังลับมีดดาบรอคอยจังหวะที่ตระกูลเยว่เพลี่ยงพล้ำเพื่อลงมือปล้นบ้านยามไฟไหม้!
ทุกอย่างนี้ทำให้ตระกูลเยว่รับแรงกดดันหนักหนาอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทว่ายามนี้ เมื่อประหารจักรพรรดิและคนใหญ่คนโตอื่น ๆ ของลัทธิสัตตบงกชไปได้ แรงกดดันเหล่านี้ก็ถูกบรรเทาไล่ไป!
นอกจากนั้น ซูอี้ยังช่วยตระกูลเยว่หาผู้หนุนหลังรายใหญ่อย่าง ‘แดนลี้ลับขั้นเก้า’ อีกด้วย ในภายหน้า ใครเล่าจะกล้าดูแคลนตระกูลเยว่ของพวกเขา?
ดังนั้น ทุกผู้จึงรู้สึกขอบคุณซูอี้จากใจจริงแน่แท้!
ไม่นานนัก พวกเยว่สุ่ยหานก็ส่งสินสงครามให้ซูอี้อย่างเป็นระเบียบ
ซูอี้กล่าวลาทุกคนและละล่องลอยจากไป
ยามนั้นเพิ่งพลบค่ำ ดวงดาราฉายแสง สายลมโพล้เพล้พลิ้วพัด
ซูอี้ในชุดเขียวล่องลอยเหนือธารเข้าหาดวงดาวแสนไกล ราวเป็นเซียนผู้เยื้องย่างลำพังในโลกา และค่อย ๆ หายไปจากสายตาของคนทุกผู้
“คนเช่นนี้ช่างเหมือนเทพเซียน ไร้ผู้ใดในโลกหล้าเทียบเคียง!”
เยว่ไป่หลิงทอดถอนใจ
ทุกคนต่างเห็นด้วย
“ทุกท่าน ถึงกาลที่ข้าต้องกลับสำนักแล้ว ลาก่อน!”
ชายในอาภรณ์ขนนกประคองกำปั้นด้วยรอยยิ้ม
ก่อนหน้านี้ ซูอี้อาจตำหนิจักรพรรดิจากแดนลี้ลับขั้นเก้าผู้นี้อย่างไม่ไว้หน้าได้ ทว่าพวกเยว่ไป่หลิงมิกล้าเมินเฉยและยังเอ่ยชวนเขาอยู่ต่ออย่างกระตือรือล้น
วาจาเหล่านี้ทำให้พวกเยว่ไป่หลิงเพ้อฝันกลางวันไปต่าง ๆ นานา
ชายในอาภรณ์ขนนกไม่อธิบายมากกว่านั้นและหันหลังจากไป
“สิ่งที่ชายผู้นั้นกล่าวเมื่อครู่ หมายความว่าตระกูลเยว่ของเราในภายหน้าจะอยู่ใต้คุ้มครองของแดนลี้ลับขั้นเก้า และอำนาจจะทวีคูณแข็งแกร่งขึ้นหรือ?”
บางคนอดกล่าวไม่ได้
“ผิดแล้ว ในความเห็นข้า ความหมายวาจาของเขานั้นก็คือ ซือฉานจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์สู่ตระกูลเราในภายหน้า!”
เยว่ไป่หลิงกล่าวอย่างแน่ใจ
เมื่อคิดดูแล้ว เยว่ซือฉานเพิ่งเข้าร่วมกับแดนลี้ลับขั้นเก้าเพียงปีกว่า ทว่ากลับเป็นที่ชื่นชอบของเยี่ยนซู่หนี ผู้ฝึกดาบหญิงผู้ลือนามที่สุดในแดนเทวามหาแดนดิน จะนำมาเทียบผู้ใดได้หรือ?
ไม่ใช่การกล่าวเกินไปหากจะบอกว่าในภายหน้า เมื่อเยว่ซือฉานยืนอย่างมั่นคงได้ในแดนลี้ลับขั้นเก้า พัฒนาวิถีเต๋าของนาง ผลประโยชน์ที่ตระกูลเยว่ของพวกเขาจะได้ยิ่งสูง!
นอกจากนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเยว่ซือฉานกับซูอี้ยังทำให้เยว่ไป่หลิงตระหนักด้วย ว่าต่อให้ไม่มีแดนลี้ลับขั้นเก้า เพียงซูอี้แค่คนเดียวก็เพียงพอจะปกป้องตระกูลเยว่ของพวกเขาได้แล้ว!
แน่นอนว่าความสัมพันธ์นี้ล้วนขึ้นกับเยว่ซือฉานเพียงผู้เดียว
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ทุกคนก็เข้าใจในที่สุด
สุดท้าย พวกเขาก็ได้รู้ว่าชายในอาภรณ์ขนนกหมายความเช่นไรก่อนจะจากไป
จริงของเขา ขอเพียงมีเยว่ซือฉานอยู่ ความรุ่งเรืองของตระกูลเยว่ของพวกเขาในภายหน้าก็อยู่เพียงเอื้อม!
“ซือฉาน เด็กคนนี้มีแววจริง ๆ! เมื่อคิดย้อนไปเมื่อสองปีก่อน ยามที่ฉางเทียนพานางกลับตระกูลจากมหาทวีปคังชิง คนในตระกูลต่างวิจารณ์นาง ทว่ายามนี้ หากมีผู้ใดกล้าทำเช่นนั้น ข้านี่แหละคนแรกที่จะไม่ให้อภัย!”
เยว่สุ่ยหานถอนใจ
ไม่ทันขาดคำ เยว่ฉางเทียนพลันโพล่งเสียงหลง “ที่แท้ก็เป็นเขา!!”
ทุกสายตาพลันถูกดึงความสนใจไปยังเสียงนั้น
“ข้ารู้แล้ว สหายเต๋าซูอี้ผู้นั้นมาจากมหาทวีปคังชิง! เมื่อกาลก่อน ข้าเคยใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณของตระกูลเพื่อเปิดช่องมิติสู่มหาทวีปคังชิง และได้พบกับสหายเต๋าซูในกำแพงแบ่งเขต!”
เยว่ฉางเทียนดูตื่นเต้นมากจนเสียอาการ “ในยามนั้น ข้าส่งร่างจริงของแม่หนูชิงซวงไปที่มหาทวีปคังชิงและเคยสนทนาหารือกับสหายเต๋าซูอี้…”
“ยามนั้น สหายเต๋าซูอี้ยังไม่ได้ก้าวสู่วิถีวิญญาณด้วยซ้ำ…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ พวกเยว่ไป่หลิงล้วนตะลึงแทบผุดลุก
เมื่อสองปีก่อน เขายังไม่อยู่ในวิถีวิญญาณด้วยซ้ำไป
ทว่าสองปีถัดมา เขากลับมีการฝึกฝนอยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลาง สังหารตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเยี่ยงเชือดไก่ฆ่าวานร!?
“อีกอย่าง ข้ายังเคยได้ยินซือฉานพูดเกี่ยวกับสหายเต๋าซูอี้ผู้นี้… เขาคือผู้สอนวิถีดาบแก่นาง!”
เยว่ฉางเทียนพึมพำ ไม่ว่าวิถีเต๋าของเขาจะสูงส่งเพียงไร แต่ยามนี้เขาดูจะเสียอาการยิ่งด้วยความตื่นเต้น
“มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้ข้าจึงจำเขาไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงระหว่างเขาในยามนั้นกับยามนี้ห่างกันมากจริง ๆ…”
หัวใจของพวกเยว่ไป่หลิงเต้นกระตุก สติเหม่อลอยแสนนานอีกครั้ง
นี่เหมือนการได้รับฟังอภินิหารเทพเซียน
“ท้ายที่สุดแล้ว เราก็ยังมองโลกแคบเกินไปอยู่ดี…”
เยว่ไป่หลิงถอนใจ
ทุกคนล้วนตะลึงงัน
…
รัตติกาลราบเรียบดุจผืนน้ำ ป่าเขาลำเนาไพรไพศาล
ซูอี้ละล่องบนนภา ทะยานสู่ทิศทางของ ‘เมืองมะเดื่อ’ ในโลกเทียนเสวียน
‘หอตำราเทียนเสวียน’ ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามขุมกำลังวิถีขงจื่ออันดับหนึ่งในโลกเทียนเสวียน ก็ตั้งอยู่ในเมืองมะเดื่อนี้เช่นกัน
แม้การเดินทางจะยาวไกล แต่ด้วยระดับฝึกฝนล่าสุดของซูอี้ เขาก็สามารถไปถึงที่แห่งนั้นได้ในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
“เทียบกันแล้ว แม้ว่าพื้นที่ของโลกเทียนเสวียนจะไม่อาจสู้ภูมิมืดมิด แต่มันก็ยังเป็นหนึ่งในสามสิบสามโลกหล้ารายล้อมเก้ามหาแดนดินอยู่ดี ปราณวิญญาณแข็งแกร่ง อำนาจสวรรค์สมบูรณ์เพียงพอจะรับการมีอยู่ของตัวตนในวิถีจักรพรรดิได้…”
“ด้วยการฝึกฝนปัจจุบันของข้า มุ่งเป้าฝึกฝนไปสักระยะ ก็สามารถเข้าสู่ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นปลายได้ง่าย ๆ แล้ว”
“โชคร้ายที่การควบรวมกฎเต๋านั้นไม่ได้ทำได้กันเพียงข้ามคืน”
…ซูอี้ครุ่นคิดขณะทะยานเร่งตามทาง
แก่นแท้วิถีวิญญาณเอกกะที่เขาบรรลุสมบูรณ์ ยามนี้ถูกควบรวมเป็นกฎเกณฑ์เอกกะไปนานแล้ว
แต่มันก็ถือได้เป็นความสำเร็จเล็กน้อย และยังห่างไกลกับความสมบูรณ์แบบ
นอกจากนั้น การทำความเข้าใจแก่นแท้แห่งการเวียนวัฏยังเชื่องช้าสุด ๆ ยามนี้กระทั่งบรรลุขั้นแรกยังทำไม่ได้
“ไม่ว่าอย่างไร ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำนี้ ข้าต้องควบรวมกฎเกณฑ์เอกกะให้สมบูรณ์แบบโดยเร็วที่สุด หาไม่ หากปล่อยไปจนถึงขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ มันจะส่งผลต่อการควบรวม ‘แท่นวิถีรู้แจ้งลึกล้ำ’ โดยมิอาจเลี่ยง”
“ส่วนแก่นแท้การเวียนวัฏ เราเพิ่งได้เพียงให้กาลเวลานำพา รีบร้อนไม่ได้”
ในวิถีลึกล้ำ ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำเป็นเพียงรากฐานขั้นต้น ในขอบเขตนี้ต้องการเพียงให้ขัดเกลาวิถีเต๋าจนสมบูรณ์แบบ
ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำคือแก่นและกุญแจสู่วิถีลึกล้ำ ต้องระมัดระวังยิ่ง หาไม่ มันจะส่งผลประทบต่อการฝึกฝนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ ณ ภายหน้า!
สำหรับซูอี้ เขาคาดการณ์เส้นทางฝึกฝนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำตั้งแต่อดีตชาติแล้ว
ในภายหน้า ขอเพียงก้าวสู่ขอบเขตนั้นได้ เขาจะสามารถก้าวข้ามตัวตนในอดีตโดยไม่ต้องครุ่นคิดมากได้!
สิ่งเดียวที่เป็นปัญหาปวดหัวของซูอี้ในขณะนี้คือการรู้แจ้งถึงแก่นแท้การเวียนวัฏ
มันยากเกินไป!
แม้เขาจะมีประสบการณ์อันสั่งสมแสนนานในอดีตชาติ และความเข้าใจในสวรรค์หมื่นวิถี ทว่าการทำความเข้าใจแก่นแท้เวียนวัฏก็ยังทำให้เขารู้สึกว่าช่างยากเย็นและเชื่องช้ายิ่ง
ซูอี้สังหรณ์ว่าหากเขาไม่เก็บตัวสักสิบปีแปดปี เขาคงไม่อาจเข้าใจขั้นแรกของแก่นแท้การเวียนวัฏได้ด้วยซ้ำ!
ทว่าซูอี้ก็ไม่ได้กำลังรีบร้อนจริงจัง
เขาเวียนวัฏกลับมาฝึกฝนใหม่ไม่ถึงสามปี อนาคตยังมีเวลามากมายให้เขาทำความเข้าใจแก่นแท้การเวียนวัฏได้อย่างแท้จริง
รัตติกาลค่อย ๆ จางหายไปในโลกหล้า
เมื่อแสงแรกอรุณส่องโลกา ซูอี้ก็ได้เห็นเมืองมะเดื่อตะคุ่มไกล ๆ
เมื่อปลูกต้นมะเดื่อ หงส์จะทะยานร่อน
เมื่อนานมาแล้ว เมืองมะเดื่อยังมีอีกชื่อว่า ‘เมืองหงส์’ และมีต้นมะเดื่อโบราณปลูกยืนต้นทั่วเมืองไปหมด
เมื่อใดที่ดอกมะเดื่อเบ่งบาน เมืองมะเดื่ออันมโหฬารก็จะกลายเป็นทะเลบุปผาไร้ขอบเขต ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นที่น่าดูชมยิ่งในโลกเทียนเสวียน
หอตำราเทียนเสวียนซึ่งเป็นที่รู้จักในนามขุมกำลังเต๋าและขงจื่ออันดับหนึ่งในโลกเทียนเสวียนนั้นตั้งอยู่บน ‘เขาเพิงหงส์’ ในเมืองมะเดื่อ
และซูอี้ก็มายังหอตำราเทียนเสวียนนี้เพื่อหาหนอนตะกละเฒ่าซึ่งเพียงพอจะถูกเรียกว่าเป็น ‘ปรมาจารย์’ ด้านวิถีขงจื่อในโลกหล้าผู้นั้น!
เป้าหมายของเขาก็คือถามไถ่หาที่อยู่ของศิษย์คนรอง จิ่งหัง!
……….