บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1051: โรงวาดฤทัย
……….
ตอนที่ 1051: โรงวาดฤทัย
ภายในหอตำราเทียนเสวียน เจ้าอสรพิษกระพือปีก ม่านหมอกคำราม อำนาจค่ายกลแผ่กระจาย ทำให้โลกหล้าปั่นป่วนดุร้าย
ซูอี้ใช้หนึ่งดาบโรมรัน เย่อหยิ่งอหังการ ดุดันแข็งแกร่ง
เหล่าผู้ชมต่างหลบเลี่ยงอย่างขวัญเสียไปล่วงหน้าแล้ว
“ลองกฎการจมอีก!”
ซูอี้คิดพลางเปลี่ยนกฎทั่วร่างตามใจ ปราณดาบอสนีบาตฟาดฟันจากไผ่ทองอัสนีลี้ลับพลันดูเหมือนกระแสน้ำยิ่งใหญ่เชี่ยวกราก อำนาจหนาแน่นดุจขุนเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพกาล
นี่คือปราณแห่งการจม เมื่อถูกโจมตีเข้า ทั้งร่างวิถีและวิญญาณจะจมดิ่งปลิดปลิวสู่ก้นบึ้งอันลึกล้ำ
จริงดั่งที่ซูอี้คาด กฎการจมซึ่งก็อยู่เพียงขั้นต้นก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากฎเวียนวัฏสงสารเลย!
“มีอีกกฎที่สามารถต่อกรกับ ‘กฎแปรวิญญาณ’ ได้อยู่อย่างนั้นหรือ!?”
ชายชราในชุดผ้าลินินหน้าเปลี่ยนสี
ควรค่าจดจำว่าในจักรวาลพร่างดาว อำนาจใด ๆ ที่สามารถต่อกรกับกฎแปรวิญญาณได้กล่าวได้ว่าเป็นสุดยอดกฎแห่งหนึ่งภูมิดาราทั้งสิ้น!
เช่นกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ กฎวิเวกดาราเป็นต้น
ขอเพียงบรรลุกฎใดสักกฎ คนผู้นั้นก็เหมือนเป็น ‘ผู้สืบทอดวิถีแห่งสวรรค์’ จากภูมิดารานั้นซึ่งสามารถปราบทุกศัตรูทั่วจักรวาลพร่างดาวแทน ‘สวรรค์’ ได้!
ทว่ายามนี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งกลับมีกฎเกณฑ์สองอย่างที่สามารถต่อกรกับ ‘กฎแปรวิญญาณ’ ได้ ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
“ไฉนคนผู้นี้จึงเป็นผู้ฝึกตนจากภูมิดาราฟ้าดินไปได้!?”
ชายชราในชุดผ้าลินินสงสัยยิ่งขึ้นทุกขณะ ที่มาของซูอี้ไม่ธรรมดา และเป็นไปได้สูงมากว่าจะมาจากสำนักสูงสุดลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาว หรือจากตระกูลโบราณสักตระกูลในนั้น!
“สหายน้อย เราไร้บุญคุณความแค้นต่อกัน ไฉนต้องต่อสู้หมายสังหารกันด้วย? เราหยุดต่อสู้มาคุยกันดี ๆ ได้หรือไม่?”
ชายชราในชุดผ้าลินินถามด้วยเสียงลึกล้ำ
เขาอยากหยั่งข้อมูลของซูอี้มากกว่านี้
ซูอี้ปฏิเสธฉับพลัน “ผู้แพ้ก็แค่ถูกสืบวิญญาณ!”
ระหว่างสนทนา ดาบของเขาก็ฟาดฟัน อำนาจของเขาแข็งแกร่งขึ้นทุกขณะ ทำเอาเจ้าอสรพิษร้องโหยหวน
ชายชราในชุกผ้าลินินแค่นเสียงเย็นชาด้วยสีหน้ามืดมน “ได้ งั้นข้าจะทำให้เจ้าพ่ายแพ้เสียเดี๋ยวนี้!”
กล่าวจบ เขาพลันสะบัดแขนเสื้อ
เกิดหมอกหนาผุดพรายดุจหยดหมึกจากปลายพู่กัน และวาดเป็นอีกหนึ่งอสรพิษในพริบตา!
อสรพิษสองตัวถูกปล่อยออกมาอย่างพร้อมเพรียง เทียบได้กับสองมหาอำนาจร้ายกาจร่วมมือ ทำให้ซูอี้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายทันที
ทว่าเห็นได้ชัดว่าชายชราในชุดผ้าลินินเองก็กำลังฝืน เหงื่อผุดพรายชุ่มหน้าผาก ใบหน้าซีดเล็กน้อย
แต่ถึงเช่นนั้น เขาก็ยังใช้สองอสรพิษต่อสู้ และยังใช้งานพลังค่ายกลอันปกคลุมหอตำราเทียนเสวียนด้วย
“ไม่นะ สหายเต๋าผู้นั้นกำลังลำบาก!”
ไกลออกไป ผู้มีอำนาจผู้หนึ่งจากหอตำราเทียนเสวียนกล่าวอย่างกังวล
“เราไปกวาดล้างไอ้แก่นั่นด้วยกันเถอะ!”
ชายชราผมขาวในชุดนักปราชญ์ขงจื่อพุ่งออกไปพร้อมจิตสังหาร “ข้าทนมองผู้ช่วยเหลือเราตรากตรำโดยไม่ช่วยเหลือไม่ได้แล้ว!”
วาจานั้นเด็ดขาด
ทว่า ขณะที่ชายชราในชุดนักปราชญ์ขงจื่อกำลังพุ่งออกไปนั้นเอง…
เสียงของซูอี้พลันดังขึ้น “อยู่เฉย ๆ!”
ชายชราในชุดนักปราชญ์ขงจื่อตะลึงไป นี่… เขากำลังถูกหาว่าแส่ไม่เข้าเรื่องหรือ?
พวกอวี๋ฉางหมิงเองก็ผงะไป
ถึงจุดนี้ ไยชายหนุ่มผู้นั้นจึงปฏิเสธความช่วยเหลือกัน?
ยามนี้เอง พวกเขาก็ได้เห็นภาพอันน่าเหลือเชื่อ…
ซูอี้โบกตวัดไผ่ทองอัสนีลี้ลับ และด้วยหนึ่งดาบนั้น ร่างมหึมาของอสรพิษก็ระเบิดเละราวเศษกระดาษ!
ทุกคนต่างตะลึงจังงัง
ใครเล่าจะคิดว่ายามนี้ จะมีอสรพิษถูกบดขยี้ด้วยดาบเดียว!
“หรือว่า… เขาจะจงใจออมมือเมื่อครู่ แสร้งทำเป็นเพลี่ยงพล้ำ?”
อวี๋ฉางหมิงและคนอื่น ๆ ล้วนแต่มีความคิดเดียวกันในใจ
หนึ่งอสรพิษถูกทำลาย ทำให้ชายชราในชุดผ้าลินินได้รับผลกระทับ กระอักเลือดจากริมฝีปาก ร่างซวนเซเปี่ยมความตะลึงงัน
ไฉนการโจมตีนี้จึงมีอำนาจร้ายกาจนัก!?
เจ้าหนุ่มนี่มีพลังเช่นนี้ ไฉนจึงเก็บงำไว้?
ชายชราในชุดผ้าลินินงุนงงเล็กน้อย คิดให้หัวแตกก็ไม่อาจหาเหตุผลได้
“ว่าแล้วเชียว ปราณของดาบเก้าคุมขังมากพอจะหยุดพลังกฎเกณฑ์ที่เจ้าเฒ่านี่บรรลุได้ เหมือนเช่นกฎเกณฑ์วอนสวรรค์และกฎวิเวกดารา”
ซูอี้ลอบกล่าว
เขาไม่แปลกใจกับผลลัพธ์นี้
“ลองกฎแห่งสังขารอีกที!”
เมื่อความคิดของซูอี้เปลี่ยนแปร พลังแห่งกฎเกณฑ์ก็ผันเวียนอีกครั้ง และคลื่นพลังประหลาดอันเป็นของวัฏจักรเป็นตาย ความผันผวนสังขารจากรุ่งเรืองสู่ร่วงหล่นแผ่ออกมาจากไผ่ทองอัสนีลี้ลับ
ชีวิตพลุ่งพล่านดุจน้ำเดือด พรรณรายพราวแสง
ความตายดุจรัตติกาล มืดมิดเงียบงัน
หนึ่งเป็นหนึ่งตาย หนึ่งเหี่ยวเฉาหนึ่งรุ่งโรจน์ หมุนเวียนเปลี่ยนผัน สร้างเป็นคลื่นพลังมหาวิถีอันชวนระทึกใจ
นี่คือกฎแห่งสังขารอันเกิดขึ้นจากที่มาแห่งต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิ เหมือนเช่นกฎเวียนวัฏสงสารและกฎแห่งการจม มันก็เป็นกฎส่วนหนึ่งอันเกิดจากแก่นแท้แห่งการเวียนวัฏเช่นกัน
“กฎมหาวิถีที่สามซึ่งต้านกฎแปรวิญญาณได้หรือ!?”
ชายชราในชุดผ้าลินินไม่อาจสงบใจได้ต่อ เขาตกตะลึงจนร้องออกมาทันที
เขาแน่ใจว่าภาพนี้ถูกเห็นโดยเหล่า ‘มหาอำนาจพร่างสวรรค์’ ในจักรวาลพร่างดาว พวกเขาคงตะลึงเสียจนยากสงบใจแน่แท้
กล่าวให้ง่ายไว้คือ หนึ่งกฎที่สามารถต่อกรกฎแปรวิญญาณหมายความว่าต้องเป็นกฎสูงสุดแห่งภูมิดารา ซึ่งเทียบได้กับกฎแห่งสวรรค์
ทว่าซูอี้กลับบรรลุสามอำนาจกฎเกณฑ์ในระดับเดียวกัน ไม่ต่างจากมีกฎสูงสุดเหนือสามภูมิดาราในมือ!!
ช่างน่ากลัวนัก
“ปรากฏว่าพลังกฎเกณฑ์ของเจ้าเฒ่านั่นบรรลุมีนามว่ากฎแปรวิญญาณ”
ซูอี้ครุ่นคิดระหว่างเชือดเฉือนฆ่าฟัน
คำว่าแปรนั้นหมายถึงประกอบใหม่และพัฒนา
วิญญาณนั้น จะเข้าใจว่าเป็นวิญญาณคน หรือวิญญาณแห่งสรรพสิ่งก็ได้
หรือคำว่าแปรวิญญาณจะหมายความว่า พลังกฎเกณฑ์ที่อีกฝ่ายบรรลุจะมีผลวิเศษในการประกอบและพัฒนาวิญญาณขึ้นใหม่?
เหมือนเช่นอสรพิษมังกรทะยานตรงหน้าเขา มันดุร้ายมีชีวิต แทบไม่ต่างจากอสรพิษมังกรทะยานตัวจริง
ทว่าแท้ที่จริง อสรพิษนี้ดึงอำนาจกฎเกณฑ์ของชายชราในชุดผ้าลินินมาใช้ และสังหารตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้โดยง่าย!
และชายชราในชุดผ้าลินินก็อยู่เพียงขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นต้น ทว่าเมื่อมีกฎแปรวิญญาณ เขาก็มีอำนาจต่อสู้ร้ายกาจจนไร้คู่เปรียบในขอบเขตเดียวกัน
หาไม่ หอตำราเทียนเสวียนจะถูกเข่นฆ่าบดขยี้ได้เช่นไร?
ขณะครุ่นคิด ซูอี้ก็ไม่ได้รอช้า เขาโคจรพลังกฎแห่งสังขาร โรมรันดุเดือดกับเจ้าอสรพิษ
ทว่าชายชราในชุดผ้าลินินกลับกล่าวเสียงดังด้วยความลนลาน “สหายเต๋า หากไม่ต่อสู้ก็ไม่รู้จักกัน ทั้งเราท่านต่างมาจากส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว มองได้ว่าเป็นคนจากบ้านเดียวกัน ไฉนต้องต่อสู้กันด้วยเล่า?”
พวกอวี๋ฉางหมิงต่างประหลาดใจ เจ้าแก่จากห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวขลาดเขลาถึงเพียงนี้เลยหรือ?
ควรค่าจดจำว่านับแต่ยามแรกจวบจนปัจจุบัน ชายชราในชุดผ้าลินินเปลี่ยนคำเรียกชายหนุ่มชุดเขียวมาสามหนแล้ว
คราแรก เขาเรียกอีกฝ่ายว่า ‘เจ้าหนู’ อย่างดูแคลน ต่อจากนั้นก็เป็น ‘สหายน้อย’ และยามนี้ก็เรียก ‘สหายเต๋า’ จากเรื่องนี้ก็เห็นได้ว่าอารมณ์ของชายชราในชุดผ้าลินินแปรเปลี่ยนมากเพียงไร!
“ขลาดเขลานัก! ไร้กระดูกสันหลัง!”
ซูอี้ปรามาส
เขายังมีกฎสุดวิถีและกฎแห่งจุดจบที่ยังไม่ได้ลอง จึงไม่อยากให้ชายชราในชุดผ้าลินินขวัญฝ่อไปเสียก่อน
ทุกคน “…”
ชายชราในชุดผ้าลินินถูกตำหนิจนใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย
ทว่าหัวใจของเขาร้อนรนขึ้นทุกที รู้สึกอย่างเลือนลางว่าพฤติกรรมของชายหนุ่มผิดปกติ ราวกับใช้เขาเป็นเป้าฝึกวิชา!
“เฮอะ! หนี้แค้นวันนี้ ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง!”
ชายชราในชุดผ้าลินินแค่นเสียงเย็นชา แล้วหันหลังเผ่นหนีอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“เจ้าแก่นี่ยังมีสายตาเฉียบคมอยู่นี่”
ซูอี้ขมวดคิ้ว และพลันหยุดออมมือ
ตู้ม!
ไผ่ทองอัสนีลี้ลับตวัดฟาด สังหารอสรพิษมังกรทะยานอีกตัวอย่างง่ายดาย
ภาพอันอหังการนี้ทำให้ชายชราในชุดผ้าลินินตัวสั่น จริง ๆ ด้วย ไอ้หนูผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก เขาจงใจออมมือเพื่อใช้ข้าเป็นเป้าฝึกฝน!!!
เขาเผ่นหนีไวขึ้นเรื่อย ๆ ร่างของเขาวูบไหวราวเคลื่อนย้ายเฉียบพลัน ทะยานไกลสู่ฟากฟ้าในพริบตา
“ไปถึงหรือยัง?”
เสียงเฉยเมยเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น ดุจวจีดาบคำรามต่ำ ฟาดเข้าใส่วิญญาณของชายชราในชุดผ้าลินิน
วิญญาณของเขาเจ็บปวดสาหัส เส้นเลือดผุดฝอยขึ้นในดวงตา ร่างซวนเซแทบร่วงจากฟ้า
“แย่แล้ว!”
ชายชราในชุดผ้าลินินลนลานและป้องกันเป็นครั้งแรก
รอบกายเขามีแสงสว่างเฉิดฉาย วาดลวดลายเป็นภาพภูเขาศักดิ์สิทธิ์หมื่นจั้ง และทันใดนั้น ภูเขาศักดิ์สิทธิ์หมื่นจั้งก็ทะยานสู่ฟ้า บดบังร่างของเขาไว้
ตู้ม!
ปราณดาบไร้ใดเทียบฟาดฟัน แผ่บรรยากาศลึกลับเกินคาดหยั่ง ภูเขาถูกผ่าครึ่งง่ายดายราวเต้าหู้ เสื่อมสลายเป็นพิรุณแสง
ร่างของชายชราในชุดผ้าลินินเองก็ถูกผ่าครึ่งด้วยดาบนี้ โลหิตของเขาทะลักไหล
ทันทีที่จิตวิญญาณของเขาหนีไปได้ ซูอี้ก็คว้าเขาไว้
“ข้ายอมแพ้!!”
ชายชราในชุดผ้าลินินยอมแพ้ทันที และรีบร้อนกล่าว “ตอบสหายเต๋าตามตรง หากสืบค้นวิญญาณของข้าและข้าตาย เจ้าก็จะถูกผลกระทบไปด้วยนะ!”
ซูอี้เลิกคิ้วถาม “อันใด? หมายความเช่นไร?”
เพื่อรักษาชีวิตของเขา ชายชราในชุดผ้าลินินรีบอธิบายเหตุผลทันที
“ในโรงวาดฤทัยของข้า วิญญาณของศิษย์แต่ละคนต่างถูกสลักด้วยเจตจำนงในม้วนภาพวาดของผู้ก่อตั้ง เมื่อถูกแตะต้อง เจตจำนงของผู้ก่อตั้งจะปล่อยอำนาจออกมาทำลายโลกา!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูอี้ก็ประหลาดใจยิ่ง
ทว่า ก่อนที่เขาจะทันครุ่นคิด จิตวิญญาณของชายชราในชุดผ้าลินินพลันสั่นสะท้านรุนแรง เกิดเป็นเสียงกรีดร้องแหลม
หัวใจของซูอี้ชะงักงัน และรีบปล่อยวิญญาณนั้นหลบเลี่ยงไป
ทว่าก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว
ตู้ม!
จิตวิญญาณของชายชราในชุดลินินสลายแหลก แผ่อำนาจทำลายล้างมหาศาลออกมา
นี่คือพลังจิตวิญญาณอันน่าหวาดหวั่นยิ่ง ดุจคลื่นถล่มพสุธาแหลกสลาย มันฟาดเข้าใส่ห้วงความนึกคิดของซูอี้ สายเกินกว่าจะต้านทาน
ยามนี้ ซูอี้เห็นว่ามีม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งคลี่ออกในห้วงความนึกคิดของเขา เผยทิวทัศน์ลึกล้ำงดงามตระการสีสัน
ในทิวทัศน์ลึกลับนั้น มีชายรูปงามเกินธรรมดาในชุดขาวนั่งอยู่อย่างลอยชาย
ชายผู้นั้นดูจะตกใจจนผุดลุกขึ้นมา
จากนั้น ม้วนภาพลึกลับก็แหลกสลายเป็นชิ้น ๆ แปรเปลี่ยนเป็นละอองแสงหลากสีหลอมรวมเข้ากับร่างชายผู้นั้น
ทันใดนั้น ร่างของเขาก็เจิดจรัสราวตัวตนจากสวรรค์!
“ช่างโง่เขลานักที่สืบค้นวิญญาณศิษย์โรงวาดฤทัยของข้า”
ชายในชุดขาวรำพึงเบา ๆ
มันเป็นเพียงเสียงพูด ทว่ากลับเปี่ยมความยิ่งใหญ่อลังการ เขย่าห้วงความนึกคิดของซูอี้สะเทือนรุนแรง
ภัยถึงตายปั่นป่วนในร่างของซูอี้
“จำไว้เสีย ทั่วนภาในจักรวาลพร่างดาวเรียกข้าว่า ‘จิตรกร’ การได้ตายภายใต้เจตจำนงข้าผู้นี้นับเป็นบุญที่สั่งสมแปดชาติก็ไม่พอ”
เสียงเนิบนาบแผ่วเบายังไม่ทันสร่าง ชายชุดขาวก็ยกมือขึ้นกดลง
ตู้ม!
ห้วงความนึกคิดปั่นป่วนโหมซัด วิญญาณของซูอี้ราวเกิดพายุถล่มฟ้าทลายแดนดิน
ยามนี้เอง วจีดาบก็ก้องขึ้น
ทันใดนั้น ห้วงความนึกคิดที่ปั่นป่วนใกล้สลายก็สงบลงในพริบตา
ชายในชุดขาวตะลึงงัน ขณะที่เขามองเข้าไปในห้วงความนึกคิด และพอจะเห็นเค้าลางดาบวิถีเล่มหนึ่งอันมีตรวนลึกลับรัดพันลอยตะคุ่มอยู่ไกล ๆ
“โอ้ น่าสนใจนะ…”
ชายชุดขาวพึมพำ
ร่างของเขาถูกฉีกกระชากเป็นเศษซากนับไม่ถ้วน ปลิดปลิวหายไปอย่างเงียบ ๆ
เหลือเพียงวจีดาบแว่วสะท้อนอย่างอิสระในห้วงความนึกคิด