บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1052: ที่มาของจิตรกร
ตอนที่ 1052: ที่มาของจิตรกร
ซูอี้ยืนตัวตรง สีหน้าของเขาในเวลานี้ยากหยั่งคาด
ชายชุดขาวผู้นั้นหล่อเหลาผิดธรรมดา ท่าทางเย่อหยิ่ง ร้ายกาจยิ่งแม้เป็นเพียงเสี้ยวเจตจำนง
มิต้องคิด ซูอี้ก็รู้ว่าร่างวิถีที่แท้จริงของชายชุดขาวผู้นี้ล้ำเหนือวิถีลึกล้ำไปแล้ว และมีโอกาสสูงมากว่าจะเป็น ‘ราชันย์แห่งภูมิ’ ผู้หนึ่ง!
วิถีอันอยู่สูงกว่าวิถีลึกล้ำเรียกว่าวิถีสู่สวรรค์
บนวิถีนี้มีสามขอบเขตใหญ่ นั่นคือขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง ขอบเขตคืนสู่สามัญ และขอบเขตไร้ขีดจำกัด
และในห้วงลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว ทุกคนที่ก้าวเท้าสู่วิถีสู่สวรรค์สำเร็จล้วนถูกเรียกเป็น ‘ราชันย์แห่งภูมิ’!
ดูเหมือนว่าตัวตนเช่นนี้นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือสูงสุดในภูมิดาราพร่างดาวได้แล้ว อำนาจยิ่งใหญ่เหนือหนึ่งภูมิดาราพร่างดาว
เหมือนเช่นเจ้าหอเก้าสวรรค์จากภูมิดาราวอนสวรรค์ รวมไปถึงผู้บวงสรวงสวรรค์ทั้งสาม พวกเขาย่อมเป็นตัวตนในขอบเขตราชันย์แห่งภูมิ!
เหมือนเช่นเจ้าหอทั้งสามของหอตะวันฉาย หอจันทราคล้อยและหอตระการดาราต่างก็เป็นตัวตนในขอบเขตราชันย์แห่งภูมิ
เมื่อเขาจากภูมิมืดมิดมา ซูอี้ก็ได้เรียนรู้ถึง ‘สามขอบเขตแห่งวิถีสู่สวรรค์’ จากม้วนหยกที่ยมบาลให้มา
เขาย่อมตัดสินได้ว่าชายชุดขาวผู้นั้นน่าจะเป็นราชันย์แห่งภูมิผู้หนึ่ง!
และชายผู้นี้ก็เกือบทำลายวิญญาณของเขาในทันใดนั้น!
“จิตรกร… ไฉนตำแหน่งนี้จึงคุ้นนัก…”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
จากวาจาของชายชราในชุดผ้าลินิน ซูอี้พอตัดสินคร่าว ๆ ได้ว่าอีกฝ่ายมาจากขุมกำลังนามโรงวาดฤทัยในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว
และเจตจำนงในวิญญาณของเขา ผู้ก่อตั้งโรงวาดฤทัยเป็นผู้ทิ้งไว้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายชุดขาวผู้เรียกตนเองว่า ‘จิตรกร’ เมื่อครู่นี้ต้องเป็นผู้ก่อตั้ง ‘โรงวาดฤทัย’!
“โรงวาดฤทัย จิตรกร…”
ดวงตาของซูอี้หรี่ลงเล็กน้อย และในที่สุดก็จำบางอย่างได้
ย้อนไปที่ ‘แดนวัฏสงสาร’ ในภูมิมืดมิด ‘ชาวประมงเฒ่า’ เจ้าลัทธิทางช้างเผือกเคยถามผู้ทัศนาโลกหล้าว่า
“หากเจ้ายังมีชีวิต ไฉนจู่ ๆ จึงหายตัวไปอย่างลึกลับกะทันหันด้วย?”
“ไฉน ‘จิตรกร’ โผล่มาแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ปรากฏตัว? อย่าลืมนะว่ากาลก่อน เจ้าเคยลั่นวาจาไว้ว่าขอเพียงจิตรกรกล้าโผล่มา เจ้าจะบั่นคอเขาเลี้ยงสุนัข”
“อีกอย่าง ไฉนเจ้าเฒ่าจากร้านขายของเก่าที่เรียกตัวเป็นสหายสนิทเจ้าจึงบอกว่าเจ้าจะไม่กลับมาเล่า?”
ในวาจาเหล่านี้ กล่าวถึงคนสองคน
หนึ่งคือคนขายของเก่า ชาวประมงเฒ่าเรียกว่าเป็นสหายสนิทของทัศนาจารย์
อีกหนึ่งคือจิตรกร!
ยิ่งกว่านั้น จากความหมายในวาจาของชาวประมงเฒ่า ยามเมื่อผู้ทัศนาโลกหล้ายังมีชีวิต จิตรกรไม่ได้กล้าปรากฏขึ้นในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว
เขาไม่กลับมาปรากฏกายในโลกหล้าจนกระทั่งทัศนาจารย์หายตัวไป!
“หากเป็นเช่นนี้ ผู้ก่อตั้งโรงวาดฤทัยในส่วนลึกของจักรวาลพร่างดาวก็น่าจะเป็น ‘จิตรกร’ ที่ชาวประมงเฒ่า เจ้าลัทธิทางช้างเผือกว่า…”
ดวงตาของซูอี้ดูพิกล
จากวาจาที่ชาวประมงเฒ่ากล่าวไว้ ขอเพียงจิตรกรกล้าปรากฏตัว ผู้ทัศนาโลกหล้าจะบั่นคอคนผู้นี้ไปเลี้ยงสุนัข
นี่ยังหมายความว่า ไม่ว่าจิตรกรจะแข็งแกร่งเพียงไร เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อกรของทัศนาจารย์แม้แต่น้อย!
และเมื่อคิดว่าทัศนาจารย์คือหนึ่งใน ‘อดีตชาติ’ ของเขา หัวใจซูอี้ย่อมแปรเปลี่ยนละเอียดอ่อน
ในคราแรก ทัศนาจารย์เตือนเขาไว้สามเรื่อง
เรื่องแรกเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ
เรื่องที่สองเกี่ยวข้องกับชาวประมงเฒ่า เจ้าลัทธิทางช้างเผือก
เรื่องที่สามนั้นเพื่อให้ซูอี้ตระหนักถึงตัวตนลึกลับผู้หนึ่งเรียกว่า ‘ช่างเสื้อ’ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเผ่าสมเสร็จเขมือบฝันและคาดว่ารับใช้ขุมกำลังลึกลับแห่งหนึ่งอยู่
ทว่า สามสิ่งนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับจิตรกรเลย
กล่าวคือ ในสายตาทัศนาจารย์ จิตรกรคงไม่ได้อยู่ในสายตา และไม่เคยกล่าวถึงคนผู้นี้เลย…
“ในชาตินั้น เจ้ากลัวจนไม่กล้าเผยโฉม และในชาตินี้ ข้าจะเป็นยิ่งกว่านั้นอีก!”
ซูอี้ลอบกล่าว
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาขมวดคิ้วก็คือ ศิษย์ใต้บัญชาของจิตรกรกลับมาโผล่ในเก้ามหาแดนดิน ซ้ำยังสงสัยว่าจะญาติดีกับผีหมัวเสียด้วย!
หรือการทรยศของผีหมัวจะเกี่ยวข้องกับโรงวาดฤทัยนี้ด้วย?
ซูอี้ไม่อาจคิดออก
ครู่ต่อมา เขาก็ถอนใจ “ดูเหมือนว่าในอดีตชาติของข้า ข้าจะสนเพียงการเวียนวัฏเสียจนมองข้ามเรื่องราวมากเหลือเกิน…”
ไฉนผีหมัวจึงทรยศ?
ไฉนชิงถังจึงซ่อนการฝึกฝนของนางไว้ รอจนกว่าข้าจะเวียนวัฏ นางจึงเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมา?
ความสงสัยเหล่านี้ซุกซ่อนในใจซูอี้ตลอดมา และครั้งหนึ่งเคยทำให้เขาผิดหวังเดียวดาย
“ทว่า เมื่อยามนี้ข้าเวียนวัฏสงสารกลับมายังเก้ามหาแดนดิน ข้าจะตรวจสอบความลับและเผยความจริงออกมาแน่นอน!”
ขณะครุ่นคิด ซูอี้ก็หันเดินทางกลับไปยังหอตำราเทียนเสวียน
เมื่อซูอี้กลับมา พวกอวี๋ฉางหมิงก็ได้จับตัวจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำซึ่งเหลือเพียงสองและห้าผู้ฝึกตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณจากสำนักลานดาบทะยานไว้แล้ว
“ขอบคุณสหายเต๋าที่ชักดาบออกมาช่วยข้าปกป้องหอตำราเทียนเสวียนจากหายนะ!”
อวี๋ฉางหมิงนำคนจากหอตำราออกมาทักทายเขาด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปริ่มทันที
ซูอี้พยักหน้าเล็กน้อย “ไม่ต้องเกรงใจ ข้าอยากถามพวกเขาสักหน่อยนะ”
เขากล่าวพลางเดินไปยังจักรพรรดิจากสำนักลานดาบทะยานที่ถูกจับตัวไว้ ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ชายชราชุดเทาผู้หนึ่ง
คนผู้นี้อยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นปลาย ทว่ายามนี้ เขาถูกจับกุมเหลือฐานะเพียงเชลย
“เจ้า… เจ้าจะทำอันใด?”
ชายชราชุดเทาพูดเสียงสั่นอย่างหวาดกลัว
“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเจ้าเฒ่าเมื่อครู่กับผีหมัวสัมพันธ์กันเช่นไร?”
ซูอี้ถาม
เมื่อยามที่เข้ามาในหอตำราเทียนเสวียนก่อนหน้านี้ เขาจับตัวจักรพรรดิผู้หนึ่งจากสำนักลานดาบทะยานได้ และเขาได้รู้ว่าวิญญาณของอีกฝ่ายปกคลุมด้วยอำนาจลึกลับ ไม่อาจตรวจสอบวิญญาณได้
ดังนั้นครานี้ เขาจึงทำได้เพียงสอบปากคำ
สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้หายากนักในหมู่ขุมกำลังผู้ฝึกตนในเก้ามหาแดนดิน
เพื่อป้องกันไม่ให้ทายาทสำนักตัวเองถูกศัตรูล้วงความลับและมรดกต่าง ๆ จากการพินิจวิญญาณ แต่ละสำนักจะทำลายวิญญาณศิษย์ตนเองเพื่อป้องกันความลับรั่วไหล
“ข้าไม่รู้”
ชายชราชุดเทาส่ายหน้า “ครานี้เราแค่ปฏิบัติตามคำสั่ง เรารู้เพียงว่าผู้เฒ่าเฝิงถูกใต้เท้าผีหมัวแห่งพันธมิตรเสวียนจวินส่งมา แต่เรื่องอื่นข้าไม่รู้เลย”
“จริงหรือ? ”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
ชายชราชุดเทากล่าวอย่างขมขื่นใจ “เป็นเพียงเชลยใต้ฝ่าเท้า จะตายรอมร่อ ไฉนจึงกล้าโกหกเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ด้วย”
ซูอี้หันไปกล่าวกับอวี๋ฉางหมิง “จัดการเช่นไร ขึ้นกับพวกเจ้า”
อวี๋ฉางหมิงประคองกำปั้นกล่าว “ขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วยเหลือ!”
“หลังจากนี้ เจ้ามาที่ยอดเขา เราจะคุยกันตามลำพัง”
ซูอี้ทิ้งข้อความเหล่านี้ไว้ก่อนละล่องจากไป
“ได้”
อวี๋ฉางหมิงตกลง
เขาเองก็อยากรู้ที่มาของชายหนุ่มผู้มาช่วยหอตำราเทียนเสวียนของพวกเขาให้พ้นวิกฤตอย่างทันท่วงทีเช่นกัน
…
บนยอดเขาเพิงหงส์ หมู่เมฆละลิ่วลอย สายลมบรรพตพัดพา
เมื่อมองลงไปจากจุดนี้ จะสามารถมองเห็นเมืองมะเดื่อได้ครึ่งค่อนเมือง และเห็นได้ว่าต้นมะเดื่อปรากฏขึ้นทั่วทุกแห่งหนในเมือง เบ่งบานบุปผางามสะพรั่งดุจทะเลบุหงา ละลานตาน่าดูอย่างแท้จริง
ซูอี้เอนร่างอย่างผาสุขบนเก้าอี้หวาย ชื่นชมทิวทัศน์ธรรมชาติตระการตาพลางจิบสุรา ใจคิดจะหวนคืนสู่เก้ามหาแดนดินไปแล้ว
ไม่นานนัก อวี๋ฉางหมิงก็รีบร้อนมาถึง ก้มหัวคำนับซูอี้ด้วยรอยยิ้ม “ทำให้สหายเต๋าต้องรอนานเสียแล้ว”
ซูอี้ไม่ได้กระดิกตัวจากเก้าอี้หวาย ขณะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “บาดแผลเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”
อวี๋ฉางหมิงตอบ “ไม่เป็นอุปสรรคเท่าไรขอรับ”
กล่าวจบ เขาก็ดูลังเล
ซูอี้ถามอย่างครุ่นคิด “เจ้าเดาตัวตนของข้าออกแล้วหรือไม่?”
ร่างของอวี๋ฉางหมิงสั่นสะท้าน ถามอย่างไม่อยากเชื่อ “ท่าน… คือ… ใต้เท้าซูจริง ๆ หรือ?”
ดวงตาของซูอี้ละเอียดอ่อน เขากล่าวว่า “เจ้างั่งน้อย นี่ควรค่าแก่การเป็นอัจฉริยะในวิถีขงจื่อจริงแท้ ความสามารถ ‘จิตวิญญาณหยกแท้มุกเลิศล้ำ’ ช่างหาได้ยากยิ่ง”
ในอดีตชาติ เขาเคยเป็นแขกที่หอตำราเทียนเสวียน นั่งคุยกับหนอนตะกละเฒ่ามาก่อน และยามนั้นเองที่เขาได้พบอวี๋ฉางหมิง
ยามนั้น อวี๋ฉางหมิงเป็นชายหนุ่มในวัยกระทง ถูกมองว่าเป็น ‘บุตรหงส์’ ในหมู่คนรุ่นเยาว์แห่งหอตำราเทียนเสวียน และยังไม่ได้ขึ้นเป็นเจ้าหอตำราเทียนเสวียน
ทว่าหนอนตะกละเฒ่ากล่าวชมอย่างภูมิใจว่าอวี๋ฉางหมิงนั้นคือทายาทยอดเยี่ยมหนึ่งเดียวผู้เกิดมาพร้อม ‘จิตวิญญาณหยกแท้มุกเลิศล้ำ’ ที่เขาได้พบในช่วงแปดพันปีมานี้ และต้องเจิดจรัสในวิถีขงจื่อในภายหน้าแน่แท้
ทว่ายามที่อวี๋ฉางหมิงเผชิญหน้ากับซูอี้เมื่อกาลก่อน เขาดูหัวดื้อหัวรั้นเสียจนซูอี้หัวเราะและเรียกเขาว่าเจ้างั่งน้อย
นั่นเองคือที่มาของชื่อ
เมื่อได้ยินคำเรียกอันคุ้นเคยนี้ สมองของอวี๋ฉางหมิงก็ส่งเสียงอื้ออึง พึมพำอย่างตื่นเต้น “นับแต่เมื่อครู่ ข้าก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดในใจและไม่เชื่ออยู่ก่อน ทว่ายามนี้ข้าเชื่อแล้วว่าเป็นท่านจริง ๆ ใต้เท้าซู!”
เจ้าหอตำราเทียนเสวียนเสียกิริยาไปอย่างเห็นได้ชัด เขาจนปัญญาเล็กน้อย ตื่นเต้นปรีดาเกินพรรณนา
ซูอี้รำพึงเบา ๆ “แม้ข้าจะไม่ใช่ผู้ก่อหายนะในหอตำราเทียนเสวียนวันนี้ แต่มันก็ยังแยกจากศิษย์ชั่วของข้าผีหมัวไม่ได้ ในภายหน้า ข้าจะหาคำอธิบายให้หอตำราเทียนเสวียนของเจ้า”
กล่าวจบ เขาก็ชี้ไปที่โขดหินข้างกายเขา “นั่งสิ”
อวี๋ฉางหมิงทำใจให้นิ่ง จัดเสื้อผ้า แล้วนั่งลงที่โขดหิน ทว่าเขาดูเหม่อลอยเล็กน้อย
เขาจำได้ว่าปรมาจารย์ของตนเคยกล่าวว่า หากซูเสวียนจวินจะตาย เขาจะตายอย่างสมเกียรติ ไม่มีทางที่เขาจะตายไปกะทันหัน!
ปรมาจารย์เฒ่ายังเคยพูดอย่างแน่ใจว่าซูเสวียนจวินต้องได้พบเคล็ดเวียนวัฏสงสารแล้วแน่แท้ ให้รอดู แล้วชายผู้นั้นจะกลับสู่เก้ามหาแดนดินในภายหน้าแน่นอน!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ‘ใต้เท้าซู’ ตรงหน้าเขาก็น่าจะเป็น ‘การเวียนวัฏสงสาร’ ที่ปรมาจารย์กล่าวถึง!
“เจ้าตะกละไปไหนแล้ว?”
ซูอี้ถาม
อวี๋ฉางหมิงนั่งตัวตรง และกล่าวอย่างจริงจัง “เรียนใต้เท้าซู ปรมาจารย์ของหอตำราข้าพาศิษย์รองของท่านจิ่งหังออกจากหอตำราเทียนเสวียนเมื่อร้อยปีกว่าแล้วขอรับ”
ซูอี้ตกใจจนนั่งตัวตรงแหน็ว “เจ้าเฒ่านั่นพาจิ่งหังไปหนใด?”
เขามาหาหนอนตะกละเฒ่าก็เพื่อถามถึงศิษย์รองของเขาจิ่งหัง
ทว่าจากที่อวี๋ฉางหมิงว่า เจ้าหนอนตะกละเฒ่าจากไปกับจิ่งหังร้อยปีแล้ว!
“ข้าไม่รู้ขอรับ”
อวี๋ฉางหมิงส่ายหน้า “ยามปรมาจารย์จรจาก เขาบอกเพียงจะพาสหายเต๋าจิ่งหังไปเดินทางท่องเที่ยว ช่วยเขาให้เปิดหูเปิดตา สหายเต๋าจิ่งหังจะได้เข้าใจว่ามีจดหมายไม่สู้ไร้หนังสือ ในอนาคตย่อมอ่านหนึ่งตำรา ค้นหามหาวิถีของตนได้ในท้องฟ้า เขียนหนังสือเรียกหาเหล่าบรรพชนได้ทั่วหล้า”
ซูอี้ตะลึงไป แล้วพึมพำ “เจ้าหนอนตะกละเฒ่านี่ คงไม่ใช่ว่าพยายามฉวยโอกาสยามข้าไม่อยู่เกลี้ยกล่อมจิ่งหังเป็นศิษย์ตนเองหรอกกระมัง…”
……….