บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1053: เผยความลับดาบปลายมนเสวียนหวง
ตอนที่ 1053: เผยความลับดาบปลายมนเสวียนหวง
หนอนตะกละเฒ่าชื่นชมจิ่งหังยิ่ง นานมาแล้ว เขาเคยเลียบ ๆ เคียง ๆ หวังให้ซูอี้ตัดพันธะศิษย์อาจารย์อยู่หลายครั้งเพื่อจะเข้ามาเป็นอาจารย์ชี้แนะจิ่งหังเสียเอง
เขายังเคยรับปากจะให้จิ่งหังเป็นปรมาจารย์ผู้หนึ่งในวิถีแห่งขงจื่อและเป็นปราชญ์สูงสุดในหัวใจนักศึกษาทั่วโลกหล้าในอนาคต
ทว่าจิ่งหังปฏิเสธโดยไม่รีรอให้ซูอี้ตัดสินใจ เขาบอกว่าเป็นอาจารย์หนึ่งวัน เป็นบิดาชั่วชีวิต และหากเขาเปลี่ยนอาจารย์ การกระทำเช่นนั้นก็จะไม่ต่างกับมองโจรเป็นบิดา
หนอนตะกละเฒ่าที่ได้ฟังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจนกรามปวด ทว่าเขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้
ทว่าทุกครั้งที่พบซูอี้ เขาก็จะพูดเกี่ยวกับเรื่องการฝึกฝนของจิ่งหังเสมอ
เพราะเหตุนี้เอง ซูอี้จึงรู้ดีว่าด้วยนิสัยของหนอนตะกละเฒ่า เขาก็อาจฉวยจังหวะที่ตนเองไม่อยู่ลักพาตัวจิ่งหังสู่สำนักของตนเองได้จริง ๆ!
“เรื่องนี้… ปรมาจารย์ไม่น่าทำเช่นนั้น… กระมัง…”
อวี๋ฉางหมิงอ้ำอึ้ง ยิ่งพูดเสียงของเขาก็ยิ่งจางหาย
ซูอี้แย้มยิ้ม
เดิมทีเขากังวลว่าหนอนหนังสือเยี่ยงจิ่งหังจะไม่อาจรับความสะเทือนใจไหว และกระทำการโง่ ๆ
ทว่ายามนี้ เขาไม่กังวลเลย
ด้วยวิถีเต๋าเกินหยั่งคาดของหนอนตะกละเฒ่า ในมหาแดนดินนี้ มีตัวตนบรรพกาลเพียงหยิบมือเท่านั้นที่งัดข้อกับเขาได้
เช่น ‘บรรพชนแห่งวิถี’ จากแดนลี้ลับขั้นเก้า หลวงจีนเยี่ยนซินแห่งแดนบูรพาน้อย และนางมารสันดานแปรปรวน เจ้าสำนักแดนอสูรปรีดีเป็นต้น
ต่อมา ซูอี้ก็ถามถึงหายนะอันเกิดกับหอตำราเทียนเสวียน ณ ยามนี้
“พวกเขามาเพื่อดาบปลายมนเสวียนหวงขอรับ”
อวี๋ฉางหมิงอธิบายเหตุผลทันที
ทว่าใบหน้าของเขาก็ยังปรากฏร่องรอยความงุนงง “นอกจากที่มาเก่าแก่ยิ่งของมัน สมบัตินี้ก็ไร้ความพิเศษอื่นใด และตั้งอยู่ใน ‘โถงแห่งปราชญ์’ ของหอตำรามาแสนนาน”
“ในอดีต ข้าเองก็เคยถามปรมาจารย์เกี่ยวกับที่มาของสมบัตินี้ และปรมาจารย์ก็พูดแค่ว่าที่มาของสมบัตินี้กว้างใหญ่ยาวไกลจวบจนสมัยบรรพกาล ทว่า… กลับไร้ประโยชน์ ถือได้เพียงเป็นอนุสรณ์แห่งบรรพชนเท่านั้น”
เมื่อได้ฟัง ซูอี้ก็รู้สึกประหลาดใจ “สมัยบรรพกาล?”
ตลอดกาลนานมาของมหาแดนดิน สิ่งที่เกิดก่อนหน้านั้นล้วนเกินหยั่งคาดเข้าใจ ประวัติศาสตร์ของมันจึงถูกลบหายไป จนไร้มรดกหรือคัมภีร์หลงเหลือ
ในอดีตชาติของเขา ซูอี้เคยย้อนรอยสำรวจประวัติศาสตร์ส่วนนี้ ทว่าท้ายที่สุดก็หาได้เพียงตำนานโบราณ ไร้หลักฐานร่องรอยให้อ้างอิง
และไม่นานมานี้ยามอยู่ในภูมิมืดมิด เขาถึงเพิ่งรู้ว่าโลกภูมิภายใต้จักรวาลนี้ถูกเรียกว่า ‘ภูมิดาราฟ้าดิน’!
ในช่วงแรกกำเนิด โลกนี้ยิ่งใหญ่เจิดจรัสมาก มันถูกมองเป็นต้นกำเนิดแห่งจักรวาลพร่างดาวและสรวงสวรรค์ และมีมหาอำนาจพร่างสวรรค์มากมาย!
ทว่าภายหลัง ภูมิดาราฟ้าดินสิ้นสลาย กฎสวรรค์ปกคลุมจักรวาลนี้พังทลาย!
จากสิ่งที่ยมบาลเคยกล่าวไว้ การพังทลายของภูมิดาราฟ้าดินนั้นเกิดจากหายนะปริศนาหนหนึ่ง
หลังจากหายนะบังเกิดขึ้นมา เทพเซียนต่างถูกฝัง ทุกตำนานดับสลาย และภูมิดาราฟ้าดินก็เหลือเพียงซากปรักหักพัง
และยามนั้นเองที่ภูมิดาราฟ้าดินถูกรู้จักในอีกชื่อว่า ‘ปิตุภูมิเวิ้งดารา’
กาลเวลาไม่คอยผู้ใด การผันผ่านของมันจะค่อย ๆ ลบล้างร่องรอยแห่งอดีตกาลแสนไกล และอำนาจการฝึกฝนของภูมิดาราฟ้าดินก็แทบถูกทำลายภายใต้หายนะปริศนา แม้กระทั่งผู้ฝึกตนในส่วนลึกของจักรวาลพร่างดาวยังลืมเรื่องเกี่ยวกับภูมิดาราฟ้าดินไปเสียสิ้น
และยามนี้ ซูอี้ก็รู้แล้วว่าหายนะที่ทำให้ภูมิดาราฟ้าดินจากเจิดจรัสสู่ดับมอด ประวัติศาสตร์ช่วงก่อนจะเป็นมหาแดนดินหายไปน่าจะเป็นการจองจำแห่งยุคมืด!
“ดาบปลายมนเสวียนหวงนั่นอยู่หนใดแล้ว?”
ซูอี้ถาม
เขาจะไม่อยากรู้เกี่ยวกับสมบัติอันอยู่รอดแสนนานนี้ได้เช่นไร?
“มันอยู่กับข้านี่แหละขอรับ”
อวี๋ฉางหมิงกล่าวพลางนำกล่องหยกดำเรียบง่ายกล่องหนึ่งส่งให้ซูอี้ “ใต้เท้าซูโปรดพินิจเถิด”
ซูอี้มีหรือจะเกรงใจ จากนั้นเขาก็เปิดกล่องหยกและเห็นว่าภายในมีดาบหยกปลายมนที่ยาวเพียงสองจั้ง กว้างเพียงสามชุ่นอยู่
มันเป็นสีเทาทั้งเล่มราวถูกเพลิงอสนีบาตแผดเผา และบนตัวดาบก็มีรอยไหม้กระดำกระด่าง
นอกจากนั้นก็ไร้สิ่งใดพิเศษ
ทว่า ‘รอยไหม้’ เหล่านั้นบนดาบหยกปลายมนนี้ย้ำเตือนซูอี้ถึงสมบัติโบราณไม่ทราบที่มาที่เขาเคยสะสมในอดีตชาติ
สมบัติโบราณเหล่านั้นต่างมีรอยไหม้กระดำกระด่างเกินเข้าใจอยู่บนพื้นผิวราวถูกแผดเผามาเช่นเดียวกัน
ยิ่งกว่านั้น ในอดีตชาติของเขา ซูอี้เคยใช้สารพัดวิธีเพื่อหยั่งความลับและประโยชน์ของสมบัติโบราณเหล่านี้ ทว่ากลับไม่เคยได้เข้าใจ พวกมันจึงถูกโยนไปสะสมฝุ่นในกรุสมบัติ ณ ถ้ำเสวียนหวง ไม่ถูกใส่ใจอีก
สิ่งที่ซูอี้ประทับใจที่สุดคือ ‘หอคอยหิน’ ซึ่งสูงเพียงหนึ่งจั้ง แบ่งเป็นเก้าชั้น แต่ละชั้นต่างถูกแผดเผาเยี่ยงนี้ ดูเก่าแก่ด่างดำมาก
และยามนี้เมื่อเขามาเห็นรอยไหม้บนดาบปลายมนเสวียนหวง ซูอี้พลันตระหนักว่าสมบัติโบราณที่เขาสะสมในอดีตชาติเหล่านั้นน่าจะซ่อนความลับยิ่งใหญ่ไว้!
“ตลอดกาลนานมา บรรพชนในหอตำราเทียนเสวียนของข้าก็พยายามคาดเดาที่มาของสมบัติชิ้นนี้เสมอ ใช้สารพัดเคล็ดวิชาเพื่อหยั่งสืบ พยายามค้นหาความลับของสมบัตินี้ ทว่าก็ไม่พบสิ่งใด”
อวี๋ฉางหมิงอธิบายเสียงเบา “ข้าละอายที่จะพูด แต่หากไม่ใช่เพราะสำนักลานดาบทะยานมาหามันในยามนี้ ข้าคงเกือบลืมไปแล้วว่าในแดนบรรพชนโถงแห่งปราชญ์ของหอตำรานี้มีสมบัตินี้อยู่ด้วย”
ซูอี้ทิ้งความคิดฟุ้งซ่านในใจ จากนั้นเขาก็หยิบดาบปลายมนเสวียนหวงออกมาถือในมือพลางจ้องเขม็ง และถามลอย ๆ “หนอนตะกละเฒ่าก็หาความลับของสมบัตินี้ไม่พบหรือ?”
ซูอี้ก้มหน้าลงเล็กน้อย
เขาเองก็สังเกตเห็นว่าดาบปลายมนเสวียนหวงนี้คล้ายกับสมบัติโบราณที่เขาในอดีตชาติสะสม ไร้สิ่งใดพิเศษ
ทว่า ในเมื่อชายชราในชุดผ้าลินินจาก ‘โรงวาดฤทัย’ สนใจสมบัตินี้ มันย่อมไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป!!
“พวกเจ้าเคยพยายามพังสมบัตินี้ดูหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
“เคยขอรับ”
อวี๋ฉางหมิงกล่าวอย่างอึ้ง ๆ เล็กน้อย “บรรพชนหอตำราในอดีตเคยลองใช้ดาบฟัน ฟาดด้วยสายฟ้า ย่างด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์… แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไร สมบัติชิ้นนี้ก็ไร้รอยขีดข่วนขอรับ”
ซูอี้กล่าว “แค่เรื่องนี้ก็เกินจะเทียบได้กับสมบัติอื่นแล้ว”
สมบัติโบราณที่เขาในอดีตชาติสะสมไว้ก็ไม่อาจสะท้านสะเทือนด้วยวิธีใดเช่นกัน!
และเพราะเหตุนี้เอง เขาจึงไม่ได้ทิ้งพวกมันไป แต่ปล่อยมันจมฝุ่นในกรุสมบัติเสียแทน
อวี๋ฉางหมิงพยักหน้า “ก็ใช่ขอรับ แต่ว่า… มันก็มีแค่นั้นแหละ”
“ข้าลองได้หรือไม่?”
ซูอี้ถาม
“ใต้เท้าซูโปรดอย่าได้เกรงใจ ลองได้เลยขอรับ”
อวี๋ฉางหมิงรีบร้อนกล่าว “หากท่านสามารถทะลวงสมบัตินี้และได้เห็นความลับของมันบ้าง ข้าเชื่อว่าบรรพชนจะยินดีเช่นกันขอรับ”
ซูอี้พยักหน้า
เขาไม่ใช้กำลังเข้าฝืน แต่ใช้กฎเต๋าที่เขาบรรลุมาทดสอบมัน
ทว่า แม้ซูอี้จะใช้พลังกฎเวียนวัฏสงสาร กฎแห่งสังขาร กฎสุดวิถีและกฎการจม ดาบปลายมนเสวียนหวงนี้ก็ยังคงไร้ปฏิกิริยา
“หากกฎแห่งจุดจบก็ใช้ไม่ได้ คงต้องคิดหาวิธีอื่นแล้ว”
ขณะที่ความคิดของซูอี้กำลังพลิกผวน กระแสพลังมหาวิถีสีดำสนิทราวรัตติกาลก็ปรากฏที่ปลายนิ้ว
มันคือกฎแห่งจุดจบ!
ทันใดนั้น ดาบปลายมนเสวียนหวงก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย
“มีการเปลี่ยนแปลง!”
หัวใจของซูอี้ตื่นเต้น
ก่อนหน้านี้ เหตุที่เขาไม่ใช้กำลังก็เพราะตลอดมา เหล่าบรรพชนแห่งหอตำราเทียนเสวียนเคยใช้สารพัดวิธีมาตรวจสอบดาบปลายมนเสวียนหวงนี้แล้ว ทว่าก็ไร้ผล
นี่ยังหมายความว่าต้องใช้วิธีพิเศษ จึงมีหวังได้หยั่งความลับของสมบัตินี้
และการคาดเดาของเขาก็เป็นจริงตามนั้น
เมื่อกฎแห่งจุดจบถูกใช้ ดาบปลายมนเสวียนหวงก็มีปฏิกิริยา!
แม้มันจะเล็กน้อยสุด ๆ แต่ก็เป็นการค้นพบอันน่าตื่นตะลึงแล้ว!
ควรค่ากล่าวถึงว่าความเข้าใจในกฎแห่งจุดจบของซูอี้กล่าวได้ว่ามีเพียงระดับผิวเผิน และไม่ได้อยู่ในขั้นต้นด้วยซ้ำ
และปลายทางของกฎนี้มาจากแก่นแท้แห่งการเวียนวัฏ! นี่คือเหตุที่ทำให้มันช่างแสนยากเย็นในการทำความเข้าแก่นแท้การเวียนวัฏสงสาร
นอกจากนั้น ซูอี้ยังไม่คาดว่ากฎแห่งจุดจบจะทำให้ดาบปลายมนเสวียนหวงมีปฏิกิริยาได้!
เขาสงบใจ สูดหายใจลึก ๆ ตั้งสมาธิ บรรจงใช้พลังแห่งจุดจบคลุมดาบปลายมนเสวียนหวงไว้ดุจใยแมงมุม
ฉัวะ! ฉัวะ!
เกิดเสียงปริแตกละเอียดดังขึ้น
ภาพอันน่าตื่นตาปรากฏ รอยไหม้ราวถูกเพลิงอัสนีแผดเผาบนดาบปลายมนเสวียนหวงยามนี้ดูราวชั้นกำแพงที่ลอกแตกออก มันผุสลายไปภายใต้พลังจุดจบอันดำมืดดุจรัตติกาล
ทันใดนั้น ดาบหยกสีเทานี้ก็โปร่งใสเป็นประกาย
ปราณโกลาหลอันบริสุทธิ์ หนาแน่นและโบราณยิ่งแผ่ออกมา
ครืน!
มือของซูอี้ถูกกดลง เขารู้สึกเพียงว่าจู่ ๆ ดาบปลายมนเสวียนหวงก็เหมือนกลายเป็นบรรพตโบราณกดข้อมือเขาไว้จนแทบแตก
และสุญญะรอบข้างก็ไม่อาจทานทนอำนาจกดดันนี้ได้ มันจึงพังทลายลงและส่งเสียงสนั่นลั่น!
จนกระทั่งเมื่อซูอี้เดินพลังมหาวิถีในกาย เขาจึงถือสมบัตินี้ไว้ในมือได้ ความประหลาดใจนี้ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
เพลิงแสงโกลาหลบังเกิดขึ้นบนดาบปลายมนเสวียนหวง ทะลวงสู่นภา เคลื่อนหมู่ดาราสั่นไหว และท้องนภาเหนือภูเขาเพิงหงส์ก็ดูราวถูกเมฆสีเทาปกคลุมโดยพลัน
ความเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจนี้ทำให้อวี๋ฉางหมิงอดพึมพำอย่างตกใจมิได้ “นี่มันพลังอันใดกัน เหมือนความโกลาหลจะจุติสู่แดนดินเลย!”
หัวใจของเขาสะท้านสั่น ดูเหมือนตนอยู่ในจักรวาลยามบรรพกาลแรกกำเนิด สี่ทิศรกร้าง ไม่อาจทราบความกว้างใหญ่ ไม่อาจบรรยาย รู้สึกเล็กจ้อยราวน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทร
ซูอี้ลุกจากเก้าอี้หวาย และทะยานสู่อากาศ
ร่างของเขาส่งเสียงคำราม อาภรณ์พลิ้วไหว หากไม่ใช่เขาใช้พลังกฎแห่งจุดจบถือดาบปลายมนเสวียนหวงไว้ แค่พลังจากสมบัตินี้ก็เพียงพอจะป่นเขาเพิงหงส์ใต้เท้าเขาอย่างง่ายดายแล้ว!
ซูอี้อดสงสัยไม่ได้ว่าเพียงเขาปล่อยมือ อำนาจของดาบปลายมนเสวียนหวงนี้จะสลายฟ้าดินที่นี่ลงทันที!
ครืน!
นภาสรวงสะเทือนสั่น แสงอัคคีโกลาหลปั่นป่วน ทั่วแดนดินถูกอาบด้วยบรรยากาศมืดครึ้ม
นี่เป็นเพียงนิมิตอันเกิดจากปราณที่ดาบปลายมนเสวียนหวงปล่อยออกมาเล็กน้อยเท่านั้น!
“ที่แท้รอยไหม้บนดาบปลายมนเสวียนหวงนั่นก็น่าจะเป็นผนึกลึกลับ และกฎแห่งจุดจบสามารถทำลายพลังผนึกนี้ได้ ดาบปลายมนเสวียนหวงจึงเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา!”
ยามนี้ ซูอี้พอเข้าใจแล้ว
และพลันนึกไปถึงเหล่าสมบัติโบราณที่เขายังปล่อยจมฝุ่นในกรุเมื่ออดีตชาติขึ้นมา!
……….