บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1054: ปราณมารดาฟ้าดิน
ตอนที่ 1054: ปราณมารดาฟ้าดิน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารอยไหม้บนสมบัติโบราณที่เขาในอดีตชาติสะสมไว้ก็เป็นผนึกลึกลับเหมือนเช่นดาบปลายมนเสวียนหวงนี้
และเมื่อใช้กฎแห่งจุดจบ มันจะเปิดออก!
ขณะที่ซูอี้กำลังครุ่นคิด ความผิดปกติอันเกิดจากดาบปลายมนเสวียนหวงก็หายไปและกลับสู่สภาวะปกติ แม้แต่นิมิตทั่วฟ้าดินก็หายไปด้วย
สายตาของซูอี้จับจ้องไปยังดาบปลายมนเสวียนหวงอีกครั้ง
เขาเห็นได้ว่าสมบัติชิ้นนี้ใสกระจ่างดุจหยกทิพย์ พื้นผิวของมันเต็มไปด้วยไอปราณโกลาหลสีเทา บรรยากาศยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต!
ยามนี้ หัวใจของซูอี้สั่นไหวด้วยความตกตะลึง
ในดาบปลายมนเสวียนหวงนี้ แท้จริงแล้วมีพลังที่มาแห่งจักรวาลบรรจุอยู่ และปราณนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าที่มาแห่งภูมิมืดมิดเลย ทั้งยังหนาแน่นไพศาลยิ่งกว่าอีกด้วย!
ครั้งหนึ่ง ซูอี้เคยสำรวจ ‘ที่มาแห่งภูมิมืดมิด’ ในเส้นทางเวียนวัฏ และที่นั่นเองที่เขาได้ตระหนักถึงแก่นแท้แห่งการเวียนวัฏสงสาร
ทว่ายามนี้ ปราณที่มาแห่งจักรวาลในดาบปลายมนเสวียนหวงนี้กลับแข็งแกร่งยิ่งใหญ่กว่าที่มาแห่งภูมิมืดมิดเสียอีก จะไม่ทำให้ซูอี้แปลกใจได้เช่นไร?
“นี่… มันพลังอันใดกัน?”
อวี๋ฉางหมิงตัวสั่นด้วยความอึ้งตะลึง
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “หากข้าเดาถูก นี่ต้องเป็นพลังต้นกำเนิดจักรวาลของ ‘ภูมิดาราฟ้าดิน’ และเรียกได้ว่าเป็น ‘ปราณมารดาฟ้าดิน’!”
เขาครุ่นคิดมากมาย
ในคราแรกเริ่ม ยมบาลเคยกล่าวไว้ว่าภูมิดาราฟ้าดินนั้นเลิศเลอเจิดจรัส และยังถือได้ว่าเป็นจุดกำเนิดทุกมหาวิถีในจักรวาลพร่างดาว!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ที่มาแห่งจักรวาลของภูมิดาราฟ้าดินในกาลก่อนนั้นแข็งแกร่งยิ่ง หาไม่ มันคงไม่มีทางที่จะถูกมองเป็นต้นกำเนิดทุกมหาวิถีแห่งสวรรค์แน่แท้!
และยามนี้ ที่มาแห่งจักรวาลที่ว่าก็ถูกบรรจุอยู่ในดาบปลายมนเสวียนหวงนี้!
ประวัติศาสตร์บรรพกาลถูกลบหายไปเพราะหายนะปริศนา และทุกการฝึกฝนและขนบธรรมเนียมต่างลดทอนหายไปผ่านยุคสมัยกาลเวลา ดังนั้นคนรุ่นหลังจึงไม่ทราบว่าในอดีต ภูมิดาราฟ้าดินเคยเจิดจรัสงดงามเพียงไร
กระทั่งยามนี้ยังมีน้อยคนนักที่รู้จักชื่อ ‘ภูมิดาราฟ้าดิน’
และเหตุที่ดาบปลายมนเสวียนหวงนี้สามารถอยู่ได้จวบจนปัจจุบันก็ย่อมเกี่ยวพันกับ ‘รอยไหม้’ ที่ผนึกสมบัตินี้อยู่!
กล่าวอีกนัยก็คือ เพราะอำนาจของดาบปลายมนเสวียนหวงถูกผนึกนี่เอง มันจึงรอดจากหายนะปริศนามาได้!
“ที่มาแห่งจักรวาลของภูมิดาราฟ้าดิน… ปราณมารดาฟ้าดิน…”
อวี๋ฉางหมิงอดมึนงงไม่ได้
แม้เขาจะเป็นเจ้าหอตำราเทียนเสวียน มีความรู้มากมายและอ่านคัมภีร์โบราณมานับไม่ถ้วน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อพวกนี้
เขาจึงงุนงงไปชั่วขณะ!
ซูอี้กล่าวถึง ‘ภูมิดาราฟ้าดิน’ อย่างรวบรัดพอสังเขป
จากนั้นเขาก็ทอดถอนใจ “ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว ว่าเหตุใด ‘ผู้เฒ่าเฝิง’ จากโรงวาดฤทัยจึงมาเข่นฆ่าพวกเจ้าในหอตำราเทียนเสวียน”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายชราในชุดผ้าลินินจากโรงวาดฤทัยต้องรู้แน่ว่าดาบปลายมนเสวียนหวงซึ่งหอตำราเทียนเสวียนเก็บรักษามาแต่โบราณต้องบรรจุ ‘ปราณมารดาฟ้าดิน’ ไว้!
โรงวาดฤทัยเป็นขุมกำลังซึ่งอยู่ในจักรวาลพร่างดาว บางทีการมายังแดนเทวามหาแดนดินนี้… คงเป็นเพราะต้องการค้นหาสมบัติเยี่ยงดาบปลายมนเสวียนหวง!
เพราะถึงอย่างไร กระทั่งเจ้าหอเก้าสวรรค์ยังรู้ว่าแต่แรกเดิมที ภูมิดาราฟ้าดินนี้ถูกมองว่าเป็นต้นกำเนิดแห่งจักรวาลพร่างดาว ดังนั้นยมบาลสาวจึงถูกส่งมาสืบข้อมูลแสนนานมาแล้ว
ขุมกำลังเยี่ยงโรงวาดฤทัยย่อมรู้ถึงอดีตของภูมิดาราฟ้าดิน พวกเขาจึงส่งคนมาที่นี่!
ยามนี้ อวี๋ฉางหมิงถูกทำให้ตะลึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรู้ความเข้าใจทั้งหมดถูกลบล้าง ในใจเต็มไปด้วยคำเช่นภูมิดาราฟ้าดิน ต้นกำเนิดแห่งจักรวาลพร่างดาว ตัวตนในตำนาน หายนะปริศนา ปิตุภูมิเวิ้งดารา…
เพราะคำเหล่านี้ไม่ได้บันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณใด ๆ!
ความตะลึงนี้เหมือนการได้ค้นพบประวัติศาสตร์ที่ถูกฝังกลบแสนนาน มองหยั่งเข้าไปในความลับแห่งบรรพกาลอันมิเคยถูกรู้เห็น!
หลังผ่านไปเนิ่นนาน อวี๋ฉางหมิงก็พึมพำ “ใต้เท้าซู ท่านจะบอกว่าที่มาแห่งจักรวาลในดาบปลายมนเสวียนหวงน่าจะเป็นต้นกำเนิดของจักรวาลพร่างดาวหรือขอรับ?”
ซูอี้ส่ายหน้ากล่าว “เจ้าจะเรียกเช่นนั้นก็ได้ แต่ความแตกต่างนั้นกว้างไกลเกินไป ที่มาแห่งจักรวาลในดาบปลายมนเสวียนหวงนี้ไม่สมบูรณ์ เป็นเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น เทียบกับที่มาแห่งจักรวาลของภูมิดาราฟ้าดินยามเริ่มแรก มันต่างราวแสงหิ่งห้อยเทียบตะวันจันทรานั่นแหละ”
หลังจากชะงักไปชั่วครู่ เขาก็กล่าวต่อ “ทว่า ไม่ว่าเช่นไร นี่ก็คือพลังที่มาของภูมิดาราฟ้าดินอยู่ดี พลังมหาวิถีที่บรรจุในนั้นเหนือชั้นกว่ามหาวิถีใด ๆ ในโลก หาไม่ มันจะดึงให้คนจากโรงวาดฤทัยข้ามจักรวาลพร่างดาวมาได้หรือ?”
อวี๋ฉางหมิงค่อย ๆ สงบลงและพยักหน้ารับ
พลังต้นกำเนิดจักรวาลในดาบปลายมนเสวียนหวงอาจมีเพียงเสี้ยวหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรมันก็คือพลังที่มาแห่งภูมิดาราฟ้าดิน เป็นเยี่ยงกฎสวรรค์สูงสุดในจักรวาลนี้ ย่อมไม่ธรรมดาแน่อยู่แล้ว!
“เจ้าให้ข้ายืมสมบัตินี้สักพักได้หรือไม่?”
ซูอี้ถาม
อวี๋ฉางหมิงกล่าวอย่างไม่ลังเล “ใต้เท้าซูโปรดรับมันไป!”
อย่าว่าแต่มิตรภาพระหว่างซูอี้กับปรมาจารย์ของหอตำราเทียนเสวียนของพวกเขาเลย แค่วันนี้ หากชายหนุ่มไม่ได้มาถึงทันท่วงที หอตำราเทียนเสวียนของพวกเขาคงเหลือแต่ซาก!
จะไม่ตอบแทนบุญคุณใหญ่หลวงนี้ได้เช่นไร?
ยิ่งกว่านั้น ที่ดาบปลายมนเสวียนหวง สมบัติอันหอตำราเทียนเสวียนของพวกเขาหมางเมินได้เผยโฉมหน้าแท้จริงออกมา ก็เพราะมันอยู่ในมือซูอี้
ด้วยเหตุนี้ ต่อให้ซูอี้เอ่ยขอสมบัตินี้เป็นของตน อวี๋ฉางหมิงก็จะไม่ปฏิเสธ
ซูอี้พยักหน้า “ต่อจากนี้ ข้าจะอยู่ในหอตำราเจ้าไปสักพัก ประการแรกก็เพื่อทำความเข้าใจปริศนาของปราณมารดาฟ้าดินนี้”
อวี๋ฉางหมิงโล่งใจ สีหน้าของเขาเผยความยินดีและกล่าวว่า “เมื่อมีใต้เท้าซูในเขาเพิงหงส์ หอตำราเทียนเสวียนของข้าก็จะไม่ต้องกังวลแล้วว่าศัตรูจะหวนคืน!”
ก่อนหน้านี้ เขายังคิดอยู่ว่าจะอพยพหอตำราทั้งหอไปจากเขาเพิงหงส์ดีหรือไม่
เพราะถึงอย่างไร หลังจากเรื่องวันนี้ ไม่มีทางที่สำนักลานดาบทะยานและพันธมิตรเสวียนจวินจะยอมรามือ
ทว่ายามนี้ ด้วยวาจาของซูอี้ ความกังวลในใจของอวี๋ฉางหมิงก็ถูกชะหาย หัวใจชื้นโล่งอก!
ซูอี้ชี้ไปที่ตนเอง “ข้าในยามนี้อยู่เพียงขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ ไม่ได้สูงส่งเยี่ยงอดีตชาติ อย่าคาดหวังกับข้ามากนักเล่า”
อวี๋ฉางหมิงตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “ใต้เท้าซูโปรดวางใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หอตำราของข้าจะเดินหน้าถอยหลังไปกับท่าน!”
ซูอี้หัวเราะทันทีที่ได้ฟัง “อย่าห่วงเลย ต่อให้ตัวตนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำมาที่นี่ ข้าก็ยังรับรองสันติสุขให้หอตำราของเจ้าได้”
และเขาก็เอ่ยเตือนทันที “จำไว้ล่ะว่าอย่าเผยตัวตนของข้า”
“ขอรับ!”
อวี๋ฉางหมิงรับปากอย่างจริงจัง
ในวันนั้น ด้วยการตระเตรียมของอวี๋ฉางหมิง ซูอี้ก็ได้อาศัยในถ้ำศักดิ์สิทธิ์แดนสุขาวดีของหอตำราเทียนเสวียน ณ เขาเพิงหงส์
…
ในถ้ำศักดิ์สิทธิ์แดนสุขาวดี
ซูอี้นั่งขัดสมาธิ ขณะใช้กฎแห่งจุดจบควบคุมดาบปลายมนเสวียนหวง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงพอจะสะกดปราณต้นกำเนิดจักรวาลในสมบัตินี้ได้
หาไม่ เพียงพลังของสมบัตินี้ก็สามารถทำลายโลกหล้าฟ้าดินแห่งนี้ได้!
“ไม่คาดเลยว่าพอมาถึงโลกเทียนเสวียนนี้ ข้าจะได้พบโอกาสเสริมสร้างขอบเขตสานพันธะลึกล้ำใหม่ในภายหน้า!”
ซูอี้มองดาบปลายมนเสวียนหวงพลางกระซิบเบา ๆ
กาลก่อน ผู้ทัศนาโลกหล้าที่สระเวียนวัฏเคยเตือนเขาไว้สามสิ่ง
หนึ่งในนั้นเกี่ยวข้องกับการฝึกฝน!
ยามนั้นเช่นกันที่ซูอี้รู้ว่าเขาสามารถปราบชาวประมงเฒ่า เจ้าลัทธิทางช้างเผือกได้อย่างง่ายดาย และ ‘จิตรกร’ ผู้ก่อตั้งโรงวาดฤทัยก็ไม่กล้าโผล่มาหากมีเขาอยู่
เขาถูกมองว่าเป็น ‘ผู้ประหารเทพ’ ในโลกหล้า และเคยกล่าวไว้ว่า ‘ต่อให้บนนภาสรวงมีเทพเซียน พวกเขาก็ต้องก้มหัวลงยามพบข้า’!
เหตุที่ทัศนาจารย์เวียนวัฏสงสารมาฝึกฝนใหม่แต่แรกก็เพราะความเสียใจอันใหญ่หลวงที่สุด ซึ่งก็คือยามที่เขาอยู่ในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ เขาไม่อาจไปถึงจุดทรงอำนาจสูงสุด และบกพร่องในการทะลวงสู่มหาวิถี!
เขาบอกซูอี้ว่าในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ การผสานทุกมหาวิถีให้กลายเป็นหนึ่งนั้นยังไม่เพียงพอ แต่ยังต้องหลอมรวมที่มาแห่งจักรวาลและเข้าใจแก่นแท้แห่งกฎสวรรค์ในหนึ่งภูมิดาราด้วย
วาจาเหล่านี้ทำให้ซูอี้หูอื้อไปชั่วขณะ และพลันตระหนักได้ทันใดว่า เขาในอดีตชาติ แท้ที่จริงก็คาดเดาเตรียมการไว้บ้างแล้ว!
ทว่าเขากลับไม่อาจก้าวสู่วิถีที่ระดับสูงกว่าได้ เหตุผลนั้นก็เป็นเพราะภูมิดาราฟ้าดินนั้นเสื่อมสลายเป็นปิตุภูมิเวิ้งดาราไปนานแล้ว!
นี่ทำให้เขาไม่มีทางทำความเข้าใจแก่นแท้และที่มาอันสมบูรณ์ของปิตุภูมิเวิ้งดารานี้ได้ แล้วเขาจะเลื่อนขอบเขตได้เช่นไร?
ทว่า ทัศนาจารย์เตือนซูอี้ไว้ว่า หากเขาสามารถหาที่มาแห่งภูมินี้ท่ามกลางภูมิดาราฟ้าดินอันเสื่อมโทรมนี้ได้ เขาจะสามารถคาดคะเนกฎแห่งภูมิอันสมบูรณ์ได้เอง!
และยามนี้ เมื่อดาบปลายมนเสวียนหวงปรากฏ ซูอี้ก็ได้โอกาสสำรวจพลังที่มาของภูมิดาราฟ้าดิน!
ซูอี้จะไม่ตื่นเต้นกับสิ่งนี้ได้อย่างไร?
เพราะเขาเวียนวัฏสงสารมาเพื่อฝึกฝนใหม่สู่วิถีที่สูงกว่า!
ยามนี้ ไม่เพียงเขาจะค้นพบเป้าหมายอันชัดเจน แต่ยังได้รับโอกาสอันนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายนี้อีก!
“ชะตานั้นน่าอัศจรรย์จริงแท้ ข้ามาหอตำราเทียนเสวียนวันนี้ก็เพื่อหาที่อยู่ของจิ่งหังแท้ ๆ ไม่คิดเลยว่าจะได้พานพบดาบปลายมนเสวียนหวงโดยบังเอิญ!”
ซูอี้รำพึง
จริงอยู่ที่ดาบปลายมนเสวียนหวงบรรจุพลังต้นกำเนิดเพียงเสี้ยวเดียวของภูมิดาราฟ้าดิน
ทว่าในอดีตชาติ เขามีสมบัติแบบเดียวกับดาบปลายมนเสวียนหวงอีกเพียบ!
ทว่าเพียงคิดถึงเรื่องนี้ ซูอี้ก็เงียบไป
เมื่อห้าร้อยปีก่อน ยามที่เขาเวียนวัฏสงสารฝึกฝนใหม่ ถ้ำเสวียนจวินเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ ผีหมัวเข้าร่วมกับคนนอก บุกสำนักปล้นสมบัติ…
ศิษย์เล็กชิงถังยึดถ้ำเสวียนจวินไว้คนเดียว!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สมบัติที่เขาทิ้งไว้ในถ้ำเสวียนจวินคงถูกปล้นไปนานแล้ว!
เหมือนเช่นวันนี้ สมบัติของเขาไผ่ทองอัสนีลี้ลับก็อยู่ใต้บัญชาของผู้อาวุโสสูงสุด หวังเทียนอวิ๋นแห่งสำนักลานดาบทะยาน
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็อดรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยไม่ได้
“มันไม่ใช่ของพวกเจ้า ต่อให้ขโมยไปก็ไม่ใช่ของพวกเจ้า”
ซูอี้กระซิบ ดวงตาเฉยชาเยือกเย็น
เขาไม่กังวลสิ่งใด สมบัติโบราณอันมีรอยไหม้ที่เขาสะสมไว้ในอดีตชาติ ต่อให้ถูกขโมยไปก็ไร้ค่า
เพราะพวกเขาย่อมไม่อาจควบคุมกฎแห่งจุดจบได้ และย่อมไม่มีวันเผยอำนาจที่ถูกผนึกไว้ของสมบัติโบราณเหล่านั้นสำเร็จ
สิ่งเดียวที่ควรระแวงก็คือ ยังมีศิษย์โรงวาดฤทัยคนอื่นนอกจากชายชราในชุดผ้าลินินที่ถูกฆ่าไปวันนี้อยู่หรือไม่
ไม่นานนัก ซูอี้ก็ทิ้งเรื่องคาใจเหล่านี้ และเลิกคิดถึงมันไป
ด้วยใจสงบว่าง เขาแยกจิตสัมผัสออกสายหนึ่ง และเริ่มทำสมาธิหยั่งพินิจที่มาแห่งจักรวาลในดาบปลายมนเสวียนหวง
……….