บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1057: ความลับการทรยศของผีหมัว!
ตอนที่ 1057: ความลับการทรยศของผีหมัว!
สามวันต่อมา ยามเช้า
เมืองมะเดื่อ ที่ตีนเขาเพิงหงส์
เสียงอ่านตำราก้องกังวานออกมาจากกลางเขาดุจระฆังเช้าตรู่และเสียงกลองยามเย็น สะท้อนก้องทั่วฟ้าดิน
ผู้ฝึกตนมากมายยืนฟังเสียงท่องสวดอย่างเคลิบเคลิ้มที่ตีนเขา
เสียงท่องตำรานี้บรรจุแก่นแท้มหาวิถี ตลอดมานี้ ผู้คนมากมายมาที่นี่ด้วยเหตุนี้ และได้บรรลุยามฟังเสียงท่องสวด
เฟยอวิ๋นยืนมองอยู่ห่าง ๆ และเมื่อเห็นภาพนี้ ดวงตาก็ฉายประกายดูแคลน
ปุถุชนจุดธูปเทียนบูชาเทพ ใฝ่หาความสงบสุขโชคลาภ ล้วนมิใช่สิ่งใดนอกจากการหลอกตนเอง
ผู้ฝึกตนเหล่านี้ที่มาฟังเสียงสวดอ่านเพียงเพื่อต้องการผลประโยชน์ พัฒนามหาวิถีตน ท้ายที่สุดก็มิต่างจากปุถุชนเหล่านั้น
“หลังฆ่าหนอนน้อยนั่นกับคนของผีหมัวไป หอตำราเทียนเสวียนยังกล้าอยู่ติดที่ไม่ไปไหน ความกล้านี้ไม่ธรรมดาเลย”
เฟยอวิ๋นมองขึ้นไปที่กลางเขาเพิงหงส์
เขาสวมชุดเขียว และใบหน้าหล่อเหลาท่ามกลางแสงแรกตะวันก็ยิ่งดูทรงเสน่ห์
“หรือหอตำราเทียนเสวียนนี้จะไม่กลัวการล้างแค้นเลย? เช่นนั้น ผู้ที่ฆ่าเฝิงจี๋ก็อาจจะยังอยู่ในหอตำราเทียนเสวียนก็เป็นได้”
เฟยอวิ๋นครุ่นคิดชั่วขณะ จากนั้นก็เดินตรงไปสู่เขาเพิงหงส์
เขาเพิงหงส์ปกคลุมด้วยค่ายกลมากมาย ทว่าพวกมันล้วนไร้ผลต่อหน้าเฟยอวิ๋น
มือของเขาไพล่หลัง เดินขึ้นเขาอย่างสง่างาม เดินเวียนบนเส้นทางหุบเขาอันนำไปสู่ใจกลางหุบเขาอย่างลอยชาย ราวนักท่องเที่ยวทัศนาจร
เมื่อเขาขึ้นมาถึงช่วงกลางเขา หอตำราเทียนเสวียนพลันปรากฏขึ้นสู่คลองจักษุ
“ที่นี่ไร้สิ่งใดพิเศษ ด้วยฝีมือข้า จะถล่มที่นี่เป็นหน้ากลอง ฆ่าคนทำธารเลือดที่นี่ ไม่กี่นาทีก็เสร็จ”
เฟยอวิ๋นงุนงงเล็กน้อย ไม่อาจคิดได้เลยว่าไฉนคนเช่นเฝิงจี๋จึงมาถูกฝังที่นี่เสียได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรเลย
เสียงท่องสวดยังคงกังวาน ราวหอตำราเทียนเสวียนมิได้รู้เลยว่ามีผู้ใดลอบเข้ามาในถิ่นฐาน
ทันใดนั้น เฟยอวิ๋นก็สังเกตเห็นบางสิ่ง เบนสายตาไปมองที่ริมผาไกลออกไป ที่แห่งนั้นมีป่าสนปกคลุมด้วยเมฆหมอก ยอดสนเรียงราย
บนโขดหินอันราบเรียบดุจกระจกที่นั่น มีชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งนั่งอยู่
ลำแสงจากสวรรค์ฉายผ่านกิ่งสาขาป่าสน พร่างพรมลงบนร่างของชายหนุ่ม ทำให้ร่างของเขาดูวูบไหว แสงเงากระหวัดพัน
ชายหนุ่มผู้นั้นกำลังร่ำสุราอย่างผาสุข
“เฮอะ ไอ้หนูนั่นดูจะเป็นนักศึกษาเกเรที่แอบไปดื่มเหล้าแต่หัววันในป่านะ”
เฟยอวิ๋นลูบคาง “อืม แต่หากเราค้นวิญญาณไอ้หนูนี่ จะหาเบาะแสสำคัญได้หรือไม่?”
หลังครุ่นคิดเช่นนั้น เขาก็เดินมาหา
เมื่อเขาเดินเข้ามาในป่าสน ถึงจุดที่ชายหนุ่มชุดเขียวอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่จั้ง เฟยอวิ๋นพลันรู้สึกไม่ปลอดภัยในใจ
เขาหยุดฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว ขมวดคิ้วเล็กน้อย ช่างแปลกนัก มีบางอย่างผิดปกติกับเจ้าหนูนี่หรือ?
แสงสีทองวูบไหวในดวงตาของเขา มองอีกฝ่ายอีกครั้ง
ชายหนุ่มชุดเขียวหันหน้าให้ผา หันหลังให้เขา ดังนั้นจึงเห็นเพียงร่างผอมสูงด้านหลัง
ทว่า เปลือกตาของเฟยอวิ๋นกลับกระตุกอย่างรุนแรง ดวงตาแผดแสงทอง และได้เห็นภาพอันแตกต่าง
มีปราณมหาวิถีอันเกินหยั่งคาดหมุนเวียนในกายชายหนุ่มผู้นี้ ลึกล้ำเกินประมาณเยี่ยงมหาสมุทรสงบนิ่ง!
เด็กนี่ผิดปกติ!
เป็นไปได้มากว่าเขากำลังจงใจรอตนอยู่ที่นี่!
ใบหน้าหล่อเหลาของเฟยอวิ๋นดูไม่แน่ใจ
ยามนี้เอง ชายหนุ่มชุดเขียวบนโขดหินก็กล่าวขึ้นกะทันหัน “เจ้ามาคนเดียวหรือ?”
“แน่นอน”
เฟยอวิ๋นหรี่ตา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่กี่วันก่อน เจ้าหรือที่ฆ่าเฝิงจี๋?”
ในแขนเสื้อของเขา นิ้วและฝ่ามือของเขาแตะที่ดาบวิถีสีเลือด
“อย่าลนลานไป หากข้าอยากฆ่าเจ้า ข้าคงทำแล้วยามเจ้าเดินขึ้นเขามา”
ซูอี้จิบสุราบนโขดหิน
เฟยอวิ๋นขมวดคิ้ว
หากเป็นปกติ หากเขาพบชายหนุ่มผู้นี้ เขาจะฆ่าอีกฝ่ายทันทีโดยไม่คิดมาก
ทว่าเมื่อคิดถึงเฝิงจี๋ผู้ถูกสังหาร เขาก็สะกดจิตสังหารพลุ่งพล่านในใจไว้ทันที
“เจ้ามารอข้าที่นี่ อยากคุยกับข้าก่อนหรือ?”
เฟยอวิ๋นถามยิ้ม ๆ
“ใช่ ข้าสนใจโรงวาดฤทัยของเจ้ามากเลย”
ซูอี้กล่าวพลางรำพัน “น่าเสียดาย เฝิงจี๋ที่เจ้าว่านั่นถูกเจตจำนงผู้ก่อตั้งของเจ้าฆ่า ข้ายังไม่ทันได้ถามอันใดเท่าไรเลย อย่างที่เขาว่าผิดเป็นครู ข้าไม่อยากให้พลาดเจ้าไปเหมือนกันอีก”
ม่านตาของเฟยอวิ๋นหดตัว ใบหน้างามเปี่ยมเสน่ห์แปรเปลี่ยน ถามอย่างหวาดระแวง “หมายความว่า ครั้งหนึ่งเจ้าเคยปราบเฝิงจี๋แล้วพยายามค้นวิญญาณเขาหรือ?”
เฟยอวิ๋นเงียบไปชั่วขณะ
สถานการณ์ปัจจุบันดูจะเป็นเพียงการพูดคุย แต่หัวใจของเขากลับปั่นป่วนขึ้นทุกขณะ
กระทั่งมีความคิดอยากหนีจากที่นี่ไปเป็นครั้งแรก!
เหตุผลนั้นเป็นเพราะกิริยาท่าทางของชายหนุ่มชุดเขียวตรงหน้าเขานั้นเรียบเฉยเยือกเย็นมากเกินไป จึงไม่อาจหยั่งปราณของเขาได้ และเข้าใจได้ยาก
เรื่องน่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือ ด้วยสายตาของเขา ชายหนุ่มผู้นี้อย่างมากก็อายุยี่สิบเท่านั้น ไม่ใช่สัตว์ประหลาดเฒ่าจากหนใด!
ทั้งหมดนี้ล้วนผิดปกติ และเฟยอวิ๋นก็อดหวาดระแวงไม่ได้
“เจ้าอยากพูดเรื่องอันใด?”
เฟยอวิ๋นถาม
ขณะเดียวกัน เขาก็หัวเราะเยาะตนเอง อุปนิสัยของเขาเย่อหยิ่งฉูดฉาดที่สุดในโรงวาดฤทัย ฆ่าเมื่ออยากฆ่า อารมณ์แปรปรวน จองหองเป็นหนึ่งในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว
หากสหายร่วมโรงวาดฤทัยมาเห็นเข้า คงหัวเราะงอหายแน่แท้
“ตอบคำถามข้ามาสักหน่อย”
ยามนี้ ซูอี้เก็บไหสุราไป หันกลับมาพูดกับเฟยอวิ๋นอย่างสุขุม “หากข้าพอใจกับคำตอบ ข้าก็ไม่คิดมากหากจะปล่อยเจ้าไป”
วาจานี้เกือบทำให้เฟยอวิ๋นหัวเราะออกมาอย่างโกรธเคือง
ทว่าท้ายที่สุด เขาก็สงบใจและถามย้อน “ดาบปลายมนเสวียนหวงอยู่ในมือเจ้าหรือไม่?”
ซูอี้พยักหน้า แบมือออก และดาบหยกปลายมนเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น “ในสมบัตินี้มีพลังต้นกำเนิดจักรวาลแห่งภูมิดาราฟ้าดินอยู่ พวกเจ้าจากโรงวาดฤทัยมาที่นี่เพื่อหาสมบัติเหล่านี้ใช่หรือไม่?”
เฟยอวิ๋นตกใจ เขาไม่คาดเลยว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะกล่าวเรื่องพวกนี้ แถมยังนำดาบปลายมนเสวียนหวงออกมาตรง ๆ อย่างแสนใจเย็น!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายไม่กลัวเขาชิงมันไป!!
เฟยอวิ๋นลอบสงบใจกล่าว “ใช่ จุดประสงค์ที่เรามายังเก้ามหาแดนดินก็เพื่อรวบรวมปราณมารดาฟ้าดิน หากเจ้ายอมส่งดาบปลายมนเสวียนหวงมา บางที… เราคงยังเป็นสหายกันได้ และยามนั้น ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าต้องการรู้”
ซูอี้ถามยิ้ม ๆ “สหายหรือ?”
เฟยอวิ๋นได้ยินความดูแคลนจาง ๆ ในน้ำเสียงของซูอี้ จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ข้าเห็นแล้วว่าเจ้ามั่นอกมั่นใจ แต่ก็ยังต้องเตือนด้วยความหวังดีนะว่าโรงวาดฤทัยของเราและขุมกำลังจากมหาแดนดินนี้แตกต่าง ในสายตาเรา โลกนี้ก็แค่แดนอันถูกทิ้งร้าง ขุมกำลังเลิศล้ำเช่นพันธมิตรเสวียนจวินก็เทียบได้เพียงขุมกำลังชั้นสองชั้นสามในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวเท่านั้น อย่าว่าแต่จะเทียบกับโรงวาดฤทัยของข้าเลย”
ในวาจาเฉยเมยนั้นฟังดูดูแคลน และเป็นทั้งคำเตือนและการกดซูอี้ให้ต่ำ!
ซูอี้แค่นเสียง แสร้งทำเป็นแปลกใจ “งั้นเจ้ากับผีหมัวสัมพันธ์กันเช่นไร?”
เฟยอวิ๋นครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “กล่าวสั้น ๆ เขาก็แค่คนโชคดีที่พอจะเป็นที่ชอบใจของคุณหนู หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด เขาก็จะได้เป็นศิษย์ที่แท้จริงของโรงวาดฤทัยของข้าในภายหน้า และมีโอกาสกราบผู้ก่อตั้งเป็นอาจารย์ ฝึกฝนภายใต้เขา”
ซูอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย จากคำกล่าวของคนผู้นี้ เหมือนผีหมัวจะร่วมมือกับโรงวาดฤทัยมานานแล้วหรือ?
เขาถามอีกครั้ง “คุณหนูของพวกเจ้าอยู่หนใด?”
เฟยอวิ๋นเผยรอยยิ้มสนใจ พลางกล่าวว่า “ขอเพียงเจ้าส่งดาบปลายมนเสวียนหวงมา ข้าก็ไม่คิดมากหากจะช่วยแนะนำเจ้า และบางทีเจ้าก็อาจจะได้เป็นที่โปรดปรานของคุณหนูเหมือนผีหมัวก็ได้ ได้ไปฝึกฝนในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวอย่างไม่ต้องกังวล และกระทั่ง… อาจได้เป็นศิษย์โรงวาดฤทัยของข้าก็ได้!”
กล่าวถึงยามนี้ สีหน้าของเขาก็แฝงความดูแคลน “บอกตรง ๆ ในหมู่ภูมิดาราใหญ่ในจักรวาลพร่างดาว โรงวาดฤทัยของพวกข้าก็เป็นขุมกำลังสูงสุดที่หนึ่งซึ่งทำให้ทั่วภูมิดาราสั่นสะท้านได้!”
“เทียบกับที่นี่ มหาแดนดินนี้พังทลายเหี่ยวเฉาไปแสนนาน และต่อให้เป็นสี่ขั้วมหาแดนดินอันแข็งแกร่งที่สุดยังห่างไกลเกินเทียบกับโรงวาดฤทัยของข้าเลย!”
เฟยอวิ๋นหันไปกล่าวกับซูอี้ว่า “กล่าวสั้น ๆ ก็คือ นี่คือโอกาสครั้งเดียวในชีวิตสำหรับเจ้า ต่อให้เจ้าฆ่าเฝิงจี๋ ขอเพียงแสดงความแข็งแกร่งและความจริงใจมากพอ ข้าก็เชื่อว่าคุณหนูจะไม่เมินเฉยต่อฝีมือเจ้า!”
ซูอี้ส่ายหัวน้อย ๆ กล่าวว่า “เพียงเรื่องเหล่านี้ไม่ทำให้ข้าไขว้เขวได้หรอก ข้าแค่อยากรู้ว่าคุณหนูของเจ้าพบกับผีหมัวตั้งแต่ยามใด?”
เฟยอวิ๋นขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ “คำถามนี้สำคัญมากหรือ?”
ซูอี้พยักหน้า “ใช่ ข้าอยากรู้ว่าไฉนเขาจึงยินยอมศิโรราบต่อคุณหนูของพวกเจ้า”
เฟยอวิ๋นอดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าพยายามเลียนแบบผีหมัวอยู่หรือไร?”
เขารู้สึกผ่อนคลายลงมาก คิดว่าวาจาก่อนหน้านี้ทำให้อีกฝ่ายไขว้เขว คิดมาพึ่งใบบุญพวกเขาแล้ว!
ดังนั้น เฟยอวิ๋นจึงตีเหล็กยามร้อน “บอกเจ้าตรง ๆ คุณหนูของเราข้ามมายังแดนดินนี้ตั้งแต่เมื่อหนึ่งหมื่นแปดพันปีก่อนแล้ว และเดินทางทั่วโลกหล้าด้วยตัวตนอันแตกต่างออกไป”
ถึงตรงนี้ ซูอี้ก็กล่าวขัด “หมื่นแปดพันปีก่อนหรือ?”
เฟยอวิ๋นคิดว่าซูอี้ดูตกใจมาก เขาจึงยิ้มออกมา “ถูกต้อง แค่ว่าตลอดมานี้ คุณหนูของเรามุ่งเน้นที่การหาสมบัติโบราณมากไปหน่อย ไม่เคยแสดงวิถีเต๋าของนางสู่โลกนี้ แน่นอน นางใช้ฐานะมากมาย จึงเข้าใจได้หากเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อ”
ซูอี้ครุ่นคิด “งั้นยามคุณหนูของพวกเจ้าพบผีหมัว นางก็ใช้ตัวตนอื่นหรือ?”
“ถูกต้อง”
เฟยอวิ๋นพยักหน้า “นี่ไม่ใช่ความลับใหญ่หลวงอันใด บอกเจ้าก็ย่อมได้ เมื่อราว ๆ แปดพันปีก่อน คุณหนูใช้ชื่อแฝง ‘ซงไฉ’ เข้ามาฝึกฝนเป็นหนึ่งในสามสิบหกศิษย์ของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินในถ้ำเสวียนจวิน”
ซงไฉ!
ซูอี้ตะลึง