บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1058: พานพบจิตรกรอีกครั้ง
ตอนที่ 1058: พานพบจิตรกรอีกครั้ง
ซงไฉ
หนึ่งในสามสิบหกศิษย์สลักนามที่ซูอี้รับมาในอดีตชาติ
ศิษย์สลักนามเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวตนหรือฐานะล้วนห่างไกลเกินเทียบกับศิษย์แท้ใกล้ชิดทั้งเก้า
ทว่า ในกาลก่อน การที่สามารถเป็นศิษย์สลักนามของซูเสวียนจวินได้ ก็เพียงพอให้ผู้ฝึกตนทั่วโลกหล้าริษยาได้
หากออกสู่โลกกว้าง จะไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลน
ในความเข้าใจของซูอี้ ซงไฉเป็นหญิงงามผู้มีกิริยาเรียบง่ายถ่อมตัว สงวนท่าทีเป็นอย่างมาก
รากฐานและฝีมือของนางไม่ได้เยี่ยมยอดนัก แต่ความเข้าใจของนางสูงล้ำเลิศ กล่าวได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาด
ซูอี้ยังคงจำได้แม่นยำว่าซงไฉเกือบได้เป็นศิษย์แท้ใกล้ชิดเขารอมร่อ ทว่าพลาดไปเพียงนิดเดียว
เหตุผลนั้นแสนง่าย เพราะปีนั้นซงไฉมาช้าไปหนึ่งก้าว
ก่อนหน้าซงไฉ นั่นคือเมื่อหนึ่งหมื่นแปดพันเก้าร้อยปีก่อน หลังจากซูอี้รับชิงถังเป็นศิษย์แท้ใกล้ชิดคนที่เก้า เขาก็ประกาศว่าชีวิตนี้ เขาจะไม่รับศิษย์แท้ใดอีก
ในขณะเดียวกัน ซงไฉเข้าร่วมถ้ำเสวียนจวินเมื่อหนึ่งหมื่นแปดพันปีก่อน
กล่าวคือ ซงไฉมาช้ากว่าชิงถังเก้าร้อยปี
เทียบกันแล้ว เพียงความเข้าใจอย่างเดียว ต่อให้เป็นในหมู่ศิษย์แท้ทั้งเก้าของซูอี้ ก็มีเพียงน้อยคนที่เทียบซงไฉได้!
ในสายตาซูอี้ ซงไฉนั้นเป็นเมล็ดพันธุ์หายากอันเหมาะสมแก่การบ่มเพาะแน่แท้
ทว่า หลังจากเข้าร่วมถ้ำเสวียนจวินได้สามปี จักรพรรดิมหายุทธ์สหายเขาก็มาเชิญออกเดินทางยาวนาน
และการฝึกฝนวิถีเต๋าของซงไฉก็ตกเป็นหน้าที่ศิษย์เอกของเขา ผีหมัว
ทว่าเมื่อซูอี้กลับมายังถ้ำเสวียนจวิน ผีหมัวก็บอกว่าเกิดการกระทบกระทั่งระหว่างซงไฉกับชิงถัง นางจึงออกจากสำนัก จนถึงตอนนี้ก็ไม่ทราบที่อยู่อีก
กาลก่อน ซูอี้เคยถามชิงถังเป็นการส่วนตัว ว่าไฉนนางจึงมีเรื่องขัดแย้งกับซงไฉ
ชิงถังกล่าวตรง ๆ ว่ายามซงไฉเข้าร่วมถ้ำเสวียนจวิน นางมีจุดประสงค์แอบแฝง
ซูอี้ในยามนั้นไม่ได้เชื่อวาจาเหล่านี้
เพราะชิงถังไม่เคยมีหลักฐานชัดเจนใด ๆ
เพราะเหตุนี้ ซูอี้จึงลงโทษชิงถัง และสั่งให้นางหันหน้าเข้ากำแพงครุ่นคิดไตร่ตรอง ไม่ออกไปไหนสิบปี
ทว่ายามนี้ ซูอี้พลันตระหนักว่าสิ่งที่ชิงถังพูดยามก่อนน่าจะเป็นความจริง! ที่มาของซงไฉผิดปกติ!
“มิน่าเล่า นางจึงหายตัวไปจากโลกกะทันหัน ไม่ว่าข้าจะหาทางติดต่อเพียงไรก็หาไม่เจอ… ที่แท้สตรีผู้นี้ก็มาจากโรงวาดฤทัย และฐานะยังสูงส่งอย่างยิ่งด้วย”
ซูอี้ลอบกล่าว
และซงไฉผู้นี้กลับสามารถตบตาตัวเขาในอดีตชาติยามอยู่ในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นสมบูรณ์ได้ จนกลายมาเป็นศิษย์สลักนาม จึงเห็นได้ชัดว่าฝีมือของสตรีผู้นี้เลิศล้ำ!
ทว่า สิ่งที่ทำให้ซูอี้แปลกใจยิ่งกว่าก็คือ ชิงถังสามารถมองทะลุจุดประสงค์แอบแฝงของซงไฉ และไล่นางออกจากสำนักได้!
“แปลกใจหรือ? นั่นก็เพราะเจ้าไม่เข้าใจฝีมือของคุณหนูของเราน่ะสิ อย่าว่าแต่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเลย ต่อให้เจ้าเปลี่ยนเป็นตัวตนบรรพกาลใด ๆ ในโลกหล้า ขอเพียงอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ เจ้าก็มองไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของคุณหนูเราหรอก”
ซูอี้ดื่มสุรา ไร้การตอบรับใด ๆ
กาลก่อน การที่ซงไฉซ่อนจากการตรวจสอบของเขาเข้ามาแทรกแซงถ้ำเสวียนจวินได้ ประการแรก นางมีที่มาสูงส่งและบรรลุเคล็ดวิชาอันสูงส่งกว่าจะหาได้ในแดนเทวามหาแดนดิน
ประการที่สองคือนางแทรกซึมเข้ามาพร้อมจุดประสงค์แอบแฝง ซึ่งผ่านการคำนวณและวางแผนอย่างแยบยล
ดังนั้น ซูอี้จึงไม่คิดอับอายด้วยเรื่องนี้
สิ่งที่เขาเป็นกังวลจริง ๆ ก็คือ ชิงถังรู้ได้เช่นไรว่าซงไฉผิดปกติ?
“เป็นเช่นไรเล่า คิดตกหรือยัง?”
เฟยอวิ๋นถาม
เขาผ่อนคลายลงเต็มที่ และดูสุขุมมาก “แน่นอน ข้าแนะนำเจ้าแก่คุณหนูก่อนได้ และยังไม่สายเกินไปหากจะตัดสินใจหลังได้พบคุณหนู”
ซูอี้เลี่ยงคำตอบ และถามเพียงว่า “ไม่ใช่ว่าคุณหนูของเจ้าเป็นราชันย์แห่งภูมิหรือ?”
เฟยอวิ๋นส่ายหน้ากล่าว “อย่าใช้ขอบเขตมาตัดสินระดับคุณหนูเลย ว่าเช่นนี้ดีกว่า ในจักรวาลพร่างดาวนี้ แค่ฐานะคุณหนูอย่างเพียงก็สูงพอจะทำให้ราชันย์แห่งภูมิบางส่วนเกรงใจสามส่วนได้แล้ว!”
ซูอี้หัวเราะกล่าว “แปลว่านางไม่เคยก้าวสู่ขอบเขตราชันย์แห่งภูมิมาก่อน”
เฟยอวิ๋นไม่ได้โต้แย้ง แต่กล่าวเตือน “เลือกเช่นไร ขึ้นกับเจ้า”
ซูอี้กล่าวอย่างอดทน “อย่าลนลานไป ไฉนเราไม่คุยกันต่อเล่า? ข้าสนใจโรงวาดฤทัยของเจ้ามาก หากล่อมข้าได้ ดาบปลายมนเสวียนหวงในมือข้าย่อมไปถึงมือคุณหนูของเจ้า”
เฟยอวิ๋นขมวดคิ้ว
เขาเห็นได้ชัดเจนว่าซูอี้กำลังจงใจบ่ายเบี่ยงเพื่อล้วงบางอย่างจากปากเขา
และคนเช่นนี้ เกรงว่าคงยากเกลี้ยกล่อม!
เฟยอวิ๋นครุ่นคิด “อืม เจ้านำดาบปลายมนเสวียนหวงไปด้วย แล้วข้าจะพาเจ้าไปพบคุณหนู ไม่ว่าเจ้าจะอยากรู้เรื่องใด เจ้าจะได้รับคำตอบที่พอใจแน่นอน”
ซูอี้ลุกจากโขดหิน “เจ้าไม่คิดพูดมากกว่านี้แล้วจริง ๆ หรือ?”
ดวงตาของเฟยอวิ๋นหรี่ลงเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “หากทำเช่นนั้น นอกจากจะไร้คำตอบ แต่เจ้ายังจะถูกโรงวาดฤทัยของข้ามองเป็นศัตรูด้วยนะ เจ้าจะแบกรับผลเช่นนั้นจริง ๆ หรือ?”
เสียงยังไม่ทันขาดหาย
ปราณดาบสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้น ฟาดฟันใส่เฟยอวิ๋นเงียบ ๆ
ดาบวิถีสีเลือดในแขนเสื้อของเฟยอวิ๋นพุ่งออกมาขวางปราณดาบไว้ได้เฉียดฉิว
เคร้ง!!!
ปราณดาบระเบิดออก ทำให้ดาบวิถีสีเลือดสั่นรุนแรงพร้อมโอดครวญลั่น
ร่างของเฟยอวิ๋นถูกผลักกระเด็น
ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเฉียบพลัน ร่างยังไม่ทันทรงตัวดี ฝ่ามือของเขาก็ฟาดออกไปอย่างแรง
แสงวิถีดุจหมอกระเบิดสู่นภา เกี่ยวกระหวัดเป็นภาพอันน่าสยดสยอง ภูเขาซากศพกองพะเนิน ทะเลโลหิตพลันผุดพราย รายล้อมซูอี้บนฟ้า
ป่าสนนี้ถูกทำลายป่นเป็นผงทันที และทะเลเมฆาข้างผาก็ถล่มสลาย
ซูอี้หยิบดาบเงากระจ่างออกมาฟันโดยไร้ลังเล
ตู้ม!
ทะเลซากศพจมเลือดอันมากพอจะล้อมสังหารตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำสลายเยี่ยงฟองสบู่ด้วยดาบนี้
“บ้าเอ๊ย! เด็กนี่มีปัญหาใหญ่จริง ๆ ด้วย!”
เฟยอวิ๋นหน้าเปลี่ยนสี
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดเฝิงจี๋ถึงตายที่นี่ เหตุผลเป็นเพราะชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้มีพลังอันสามารถข่ม ‘กฎแปรวิญญาณ’ ได้!
ตู้ม!
ปราณดาบคำรามสะท้านทั่วท้องนภา
ซูอี้กวัดไกวดาบ ภาวะดาบดุร้ายอหังการราวไร้เทียมทาน
เพียงพริบตา เฟยอวิ๋นก็บาดเจ็บสาหัส ร่างแทบแยกเปิด
เขาตื่นตระหนก หัวใจยุ่งเหยิง
เมื่อเห็นซูอี้โจมตีใส่เขาอีก เฟยอวิ๋นก็ร้องลั่น “ข้ายอมแพ้!”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ กวาดดาบฟาดใส่อากาศ
นอกจากนั้น ร่างของเขาก็วูบไหว ทะยานสู่ฟ้าลี้ไปแสนไกล และหายวับไปหลังสองสามพริบตา
ตู้ม!
บนสนามรบ ร่างของเฟยอวิ๋นถูกแยกออกอย่างง่ายดายราวเป็นไม้ฟืน ไม่อาจต้านทานได้เลย
ร่างที่ปริแตกของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเศษภาพ แผดเผาเป็นเถ้าอย่างรวดเร็วอย่างน่าแปลกใจ
คนผู้นี้ดูจะยอมแพ้เมื่อกาลก่อน แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาใช้สมบัติลับลอบเผ่นหนีไปแล้ว!
ไกลออกไปจากเมืองมะเดื่อร้อยลี้ มีขุนเขาลำธารอยู่แห่งหนึ่ง
ตู้ม!
สุญญะกระเพื่อมไหวรุนแรง ก่อนจะแตกออกราวกระจก
จากนั้น ร่างของเฟยอวิ๋นก็เซออกมา
อาภรณ์เขียวของเขาขาดวิ่น ร่างจมเลือด ผมยุ่งเหยิงกระจาย ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาว
“บัดซบ ดีนะที่ข้าระวังตัว สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับไอ้หนูนั่น เลยระวังตัวไว้ก่อน หาไม่ ครานี้ข้าคงลงไปนอนคุยกับรากพืชแล้ว!”
เฟยอวิ๋นกัดฟัน ใบหน้าย่ำแย่อัปลักษณ์
เขาไม่ได้หยุดนิ่งหรือสนใจอาการบาดเจ็บ จากนั้นก็หันหลังหนีต่อ
“เรื่องวันนี้ต้องถูกรายงานให้คุณหนูทราบโดยเร็วที่สุด ในมหาแดนดินนี้… มีคนที่หยุดกฎแปรวิญญาณได้ หากผู้ก่อตั้งรู้ เกรงว่าเขาคงไม่อาจอยู่เฉย!”
หัวใจของเฟยอวิ๋นเต้นแรง และรับรู้ถึงความร้ายแรงของปัญหา
ทว่าไม่นาน เฟยอวิ๋นก็ชะงักกะทันหัน ดวงตาเบิกกว้างฉับพลัน
บนอากาศตรงหน้าเขา มีร่างสูงร่างหนึ่งยืนท่ามกลางเมฆา หนึ่งมือไพล่หลัง หนึ่งมือถือดาบวิถี จ้องมองลงมาที่เขายิ้ม ๆ
“เจ้ายอมแพ้แล้ว ไฉนจึงหนีอีก?”
ขวับ!
เฟยอวิ๋นหันหลังเผ่นแน่บ
ทว่าในพริบตา เขาก็ถูกปราณดาบสายหนึ่งฟาดใส่ ร่างของเขาบาดเจ็บสาหัสอีกครั้ง เลือดเนื้อเสียหายเละเทะ
เมื่อเห็นซูอี้โจมตีอีกครั้ง หนังศีรษะของเฟยอวิ๋นก็ชาวาบอย่างตกใจ รีบกล่าวว่า “หยุดสู้เถอะ! เจ้าพูดถูก เราคุยกันดีกว่า!”
เปรี้ยง!
ซูอี้ตวัดดาบเงากระจ่าง ฟาดเฟยอวิ๋นด้วยสันดาบ กระดูกของอีกฝ่ายแตกหัก ร้องลั่นพลางร่วงลงไปกองกับพื้น
ก่อนเขาจะทันได้ลุกขึ้น ซูอี้ก็เอื้อมมือคว้าคอเขา ยกลอยราวเป็นไก่
กร๊อบ!
ซูอี้ป่นมือขวาของเฟยอวิ๋นในทันที และยันต์ลับสีดำชิ้นหนึ่งก็ร่วงลงมาจากมือขวาที่พังทลายของเขา
“เมื่อครู่ เจ้าใช้สมบัตินี้หนีหรือ?”
ซูอี้นำยันต์ลับสีดำขึ้นมามองอย่างสนใจ
สมบัติชิ้นนี้มีขนาดราวสามชุ่น สลักลวดลายเมฆา และอักขระ ‘บุปผาไหว’ สลักไว้เบื้องหลัง
มันสื่อถึง ‘บุปผาไหวเชื่อมพฤกษา’ ขอเพียงมันถูกใช้ จะเกิดผลเยี่ยงจักจั่นลอกคราบ น่าอัศจรรย์มาก
“หากมีปัญญาก็ฆ่าข้าสิ! คิดหรือว่าข้าจะยี่หระ!”
ใบหน้าหล่อเหลาดุจอสูรของเฟยอวิ๋นเขียวคล้ำ แผดเสียงลั่นอย่างบ้าคลั่ง
ซูอี้มองเขาเล็กน้อย “ข้ายังมีเรื่องมากมายอยากถาม ไฉนเล่าจึงอยากฆ่าเจ้า?”
เขาแบกเฟยอวิ๋นเคลื่อนกายกลับสู่หอตำราเทียนเสวียน
“มันจบแล้ว เจ้ายังคิดว่าข้าจะร่วมมือกับเจ้าอยู่หรือ? อย่าหวังเลย!”
เฟยอวิ๋นยิ้มเยาะ ใบหน้าขมวดมุ่น “ต่อให้ข้าตาย ข้าก็จะลากเจ้าไปด้วย!”
ซูอี้หนังตากระตุก จากนั้นก็เหวี่ยงเฟยอวิ๋นออกไป
ไกลออกไปหลายสิบจั้ง ร่างของเฟยอวิ๋นพลันระเบิด ปล่อยคลื่นอำนาจจิตวิญญาณร้ายกาจ ทำให้โลกหล้าพังทลายราววันสิ้นโลก
จากนั้นซูอี้ก็ได้พบ ‘จิตรกร’ อีกครั้ง!
เขาเดินออกมาจากม้วนภาพวาดทิวทัศน์ อาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ ทั่วกายดุจเทพ ทั่วร่างเปี่ยมอำนาจยิ่งใหญ่สูงส่ง
นี่คือเจตจำนงที่ถูกสลักไว้ในจิตวิญญาณของเฟยอวิ๋น เขาไม่ลังเลที่จะทำลายตนเองเพื่อปลุกเจตจำนงนี้ของจิตรกรขึ้นมา!
ท้องนภาสั่นไหว สรรพสิ่งซีดจางราวศิโรราบแก่เจตจำนงของจิตรกร
ดวงตาของเขาเฉยเมย หันไปกล่าวกับซูอี้ “โอ้ กล้าดีเช่นไรจึงมาฆ่าศิษย์โรงวาดฤทัยของข้า เจ้าหนู เจ้านี่ช่าง…”
ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ ซูอี้ก็ขมวดคิ้วขัดจังหวะ “เราพบกันมาก่อนแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดพล่ามซ้ำซากหรอก”
จิตรกรอึ้งไปทันควัน