บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1059: จิตรกรผู้เดือดดาล
ตอนที่ 1059: จิตรกรผู้เดือดดาล
จิตรกรตะลึงไปจริงแท้
เขาคือผู้ใด?
ผู้ก่อตั้งโรงวาดฤทัย ยักษ์ใหญ่ผู้ทำให้สวรรค์สั่นไหวในห้วงลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว
สถานะของเขาสูงส่งจนเทียบได้กับเจ้าหอเก้าสวรรค์และเจ้าลัทธิทางช้างเผือก!
ทว่ายามนี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งกลับขัดวาจาของเขา บอกว่าเขา… พูดพล่ามซ้ำซาก!
จิตรกรไม่ได้ประสบความรู้สึกนี้มาแสนนานแล้ว
ในชั่วขณะนั้น เขาตะลึงเชื่อไม่ลง
“เจ้าเคยพบข้าหรือ?”
ครู่ต่อมา จิตรกรก็เอ่ยถาม
อาภรณ์ของเขาขาวยิ่งกว่าหิมะ ยืนไพล่มือไว้เบื้องหลัง แม้จะเป็นเพียงเจตจำนงเสี้ยวหนึ่ง ทว่าความยิ่งใหญ่อหังการยังคงมากพอที่จะสะเทือนโลกา บรรพตลำธารหมองหม่นราวราชันมาเยือน!
ซูอี้นำไหสุราออกมาจิบ และกล่าวอย่างเฉยเมย “ครั้งก่อนยามฆ่าคนชื่อเฝิงจี๋ ข้าก็ได้พบเจ้าครั้งหนึ่ง”
เจตจำนงถูกฝังแยก ไม่ได้รับรู้เรื่องราวเชื่อมต่อกัน
แม้กระทั่งร่างจริงของจิตรกรก็ไม่อาจสัมผัสการเปลี่ยนแปลงจาก ‘ตราเจตจำนง’ ที่เขาทิ้งไว้
ท้ายที่สุด ตราเจตจำนงนี้ก็ไม่ใช่ร่างอวตารวิถี เป็นเพียงจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนเท่านั้น
“เจ้าฆ่าเฝิงจี๋…”
จิตรกรเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ จากนั้นก็มองซูอี้อีกครั้ง
ทันใดนั้น ม่านตาของเขาก็หดตัว
จักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำที่มีอายุเพียงสิบเก้าปีอย่างนั้นหรือ?
และเขายังสามารถฆ่าตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำอย่างเฝิงจี๋และเฟยอวิ๋นได้?!
จิตรกรเผยความสนใจ
ซูอี้อดหัวเราะกล่าวไม่ได้ “ยามเจตจำนงที่เจ้าฝังไว้ในจิตวิญญาณของเฝิงจี๋คราก่อนสูญสลาย เจ้าก็พูดเช่นเดียวกัน”
จิตรกรกล่าวอย่างแปลกใจ “จริงหรือ? หากว่าเช่นนั้น เจ้าต้องมีอำนาจแข็งแกร่งพอจะขวางการโจมตีของเจตจำนงข้าสินะ?”
ด้วยคำพูดของชายหนุ่ม จึงทำให้จิตรกรรู้สึกประหลาดและใคร่รู้เกี่ยวกับมัน
ซูอี้กล่าวอย่างใจเย็น “ใช่ เพราะเหตุนี้ ข้าจึงคิดว่าเจ้าไม่ควรกระทำการสุ่มสี่สุ่มห้าเพื่อไม่ให้เจตจำนงนี้สลายไปเสียก่อนล่ะนะ”
จิตรกรจับจ้องซูอี้อย่างลึกล้ำ “อย่าห่วงเลย การได้พบเจ้าหนูน่าสนใจเช่นเจ้าที่นี่ช่างแสนยาก ข้าจะไม่ด่วนฆ่าเจ้าหรอก”
ซูอี้ส่ายหน้า “ผิดแล้ว ข้าไม่อยากลบเจตจำนงของเจ้าทันที ดังนั้นจึงให้โอกาสเจ้าได้สนทนากับข้า”
จิตรกรขมวดคิ้ว ก่อนจะแย้มยิ้มทันที “มีเพียงเด็กที่หมกมุ่นกับการใช้วาจาโต้เถียง เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนั้น ข้าจะฟังแล้วกัน”
วาจาเฉยเมยนั้นเต็มไปด้วยการเมินเฉย ดูคร้านเกินกว่าจะใส่ใจผู้น้อย
ทว่า การกระทำเช่นนี้กลับทำให้ซูอี้ขบขันไปชั่วขณะ “ก็แค่เสี้ยวเจตจำนง หาใช่ร่างจริงไม่ จำเป็นต้องทำตัวเช่นนี้ด้วยหรือ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของจิตรกรจางหาย
นับแต่เริ่มสนทนา ชายหนุ่มตรงหน้าเขาแสดงท่าทีเย่อหยิ่งราวไม่เห็นเขาในสายตาอยู่เสมอ จึงทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อย
“ในเมื่อเป็นเรื่องร่างจริงของข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร?”
จิตรกรกล่าวช้า ๆ
ซูอี้ดื่มพลางกล่าวกับตนเอง “อยากใช้ชื่อเสียงมากดข้า? โชคร้ายหน่อยนะ ครานี้เจ้าพบคนผิด”
เขากล่าวกับจิตรกรว่า “บางทีเจ้าอาจจะมีชื่อเสียงโด่งดังในห้วงลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว แต่ในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเพียงผู้รังแกคนอ่อนแอและกลัวผู้แข็งแกร่งเท่านั้น”
เมื่อได้ฟังคำ จิตรกรก็อดหัวเราะไม่ได้ “รังแกคนอ่อนแอและกลัวผู้แข็งแกร่ง? เจ้าหนู เจ้าแน่ใจนะว่ารู้ว่าข้าคือใคร?”
ในน้ำเสียงของเขามีความดูแคลน
ซูอี้ถามอย่างไร้ลังเล “ไม่ใช่ว่าเจ้าคือขุนศึกที่พ่ายแพ้ต่อทัศนาจารย์หรือไร?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของจิตรกรแข็งค้าง บรรยากาศพลันร้ายกาจ ทั่วโลกหล้าสั่นสะท้านรุนแรง
และดวงตาที่มองมายังซูอี้ก็เจิดจ้าราวดาบคมกริบ “ใครบอกเจ้า?!”
เสียงนั้นเต็มไปด้วยอำนาจมหาศาล แรงกดดันมหึมา
ยามนี้ ซูอี้สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันทำเอาเขาแทบหยุดหายใจ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวิถีเต๋าของจิตรกรแข็งแกร่งยิ่งนัก เพียงเสี้ยวเจตจำนงก็ยังแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ!
ทว่าเมื่อซูอี้ส่งพลังจิตวิญญาณของเขาเข้าสู่ดาบเก้าคุมขัง พลังที่กดทับเขาอยู่ก็ถูกสลายไปทันที!
ดวงตาของจิตรกรหรี่ลงเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าชายหนุ่มตรงหน้ากล่าวถูกต้อง อีกฝ่ายมีพลังที่แข็งแกร่งพอจะต่อกรกับเขาจริง ๆ!
เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ จิตรกรพลันแย้มยิ้มอบอุ่น และประคองกำปั้นน้อย ๆ “ก่อนหน้านี้ข้าเลินเล่อไป ขอทราบชื่อสหายเต๋าและที่มาได้หรือไม่?”
การเปลี่ยนทัศนคตินั้นไวเยี่ยงพลิกหน้าหนังสือ
ทว่านี่ทำให้ซูอี้ตัวสั่น
ตัวตนเยี่ยงจิตรกรสามารถเป็นที่เกรงขามเทียบเท่าเจ้าหอเก้าสวรรค์และเจ้าลัทธิทางช้างเผือก ย่อมแข็งแกร่งเป็นธรรมดา
คนเช่นนี้ย่อมรับมือยากและอันตรายที่สุด!
เมื่อคิดดูแล้ว ก็จริงที่แม้เขาจะกลัวเจ้าผู้ทัศนาโลกหล้าเสียจนทำได้เพียงหลบซ่อน แต่ท้ายที่สุดหัวของเขาก็ไม่ถูกบั่น เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “ตอบคำถามข้ามาก่อน แล้วข้าก็จะบอกเจ้า”
“ได้สิ”
จิตรกรพยักหน้ายิ้ม ๆ
ซูอี้ถาม “เจ้าคิดอันใดอยู่กันแน่ จึงส่งศิษย์ของเจ้ามายังภูมิดาราฟ้าดิน?”
“เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ความลับ บอกเจ้าก็ย่อมได้”
จิตรกรชูสองนิ้ว “สองเรื่อง หนึ่งคือสำรวจเคล็ดเวียนวัฏสงสาร และอีกหนึ่งคือหาพลังต้นกำเนิดจักรวาลในภูมิดาราฟ้าดิน หรือที่เรียกกันว่าปราณมารดาฟ้าดินนั่นแหละ”
หัวใจของซูอี้สั่นไหวเล็กน้อย และยามนี้เอง เขาจึงตระหนักว่านอกจากโรงวาดฤทัยจะสะสมปราณมารดาฟ้าดิน พวกเขายังออกสำรวจเคล็ดเวียนวัฏสงสารเหมือนหอเก้าสวรรค์และลัทธิทางช้างเผือกด้วย!
จิตรกรถามยิ้ม ๆ “หรือสหายเต๋าจะขัดเกลาปราณมารดาฟ้าดินได้บางส่วนแล้ว? หาไม่ ข้าเกรงว่าคงยากจะต่อกรกับ ‘กฎแปรวิญญาณ’ ของโรงวาดฤทัยข้าได้”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาสงสัยว่าการที่ซูอี้สามารถสังหารเฝิงจี๋กับเฟยอวิ๋นต้องเกี่ยวข้องกับการขัดเกลาปราณมารดาฟ้าดินแน่แท้!
“ข้าถามคำถามเจ้าอยู่นะ”
ซูอี้เตือน
การถูกปฏิบัติด้วยเช่นนี้ทำให้จิตรกรไม่อาจเก็บงำจิตสังหารในใจได้ต่อ และรู้สึกอึดอัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ปกติแล้ว อย่าว่าแต่ตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำเลย เขาเป็นราชันย์แห่งภูมิผู้หนึ่งจากส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว หากมีผู้ใดกล้าลบหลู่เขาแม้เพียงน้อย ผู้นั้นย่อมถูกเขาตบตายเยี่ยงยุง!
ทว่าท้ายที่สุด จิตรกรก็ยั้งมือไว้
รอยยิ้มของเขายังคงประดับอยู่บนใบหน้า “ก็ถามมาสิสหายน้อย”
“ในหมู่ยอดฝีมือที่โรงวาดฤทัยส่งมายังภูมิดาราฟ้าดิน มีสตรีผู้มีตัวตนพิเศษยิ่งผู้หนึ่ง ถูกพวกเฝิงจี๋เรียกว่า ‘คุณหนู’”
ทันทีที่ซูอี้กล่าวเช่นนี้ สีหน้าของจิตรกรก็แปรเปลี่ยนอย่างเงียบ ๆ และเอ่ยแทรกขึ้นมา “เกิดอันใดกับนาง?”
ซูอี้พลันพบว่าจิตรกรดูกังวลน้อย ๆ อย่างเห็นได้ชัด!
“นางเป็นใคร?” ซูอี้ถาม
จิตรกรเงียบไป รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าหายไปทีละน้อย
ครู่ต่อมา เขาก็เงยหน้าจ้องซูอี้ กล่าวด้วยวาจาเยือกเย็นทว่ายิ่งใหญ่ “เจ้าไม่ต้องรู้ตัวตนของนางหรอก แต่ข้าบอกเจ้าชัด ๆ ได้อย่างหนึ่งว่า หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับนาง โลกหล้านี้จะถูกฝังไปกับนางด้วย!”
ตู้ม!
ท้องนภาสั่นไหว บรรพตลำธารสั่นไหวรุนแรง
อำนาจของจิตรกร ณ ขณะนี้แข็งแกร่งร้ายแรงเสียจนเกินจินตนาการ
หากเปลี่ยนเป็นตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำใด ๆ ที่อยู่ที่นี่ เกรงว่าคงสายเกินกว่าจะขัดขืน วิญญาณจะถูกอำนาจเช่นนี้ปราบลงโดยสมบูรณ์!
ทว่าซูอี้ก็ยังไร้ผลกระทบ
จิตวิญญาณของเขามีปราณของดาบเก้าคุมขัง ซึ่งสามารถสลายแรงกดดันที่จิตรกรปล่อยออกมาได้โดยสมบูรณ์
“นางเป็นบุตรสาวเจ้าหรือ?”
ซูอี้ถามอย่างสนใจ
จิตรกรเงียบไป สีหน้าคาดเดาได้ยาก แต่ในใจกลับคิดอยากจะทำลายเจ้าเด็กนี่เสียทันที!
กระทั่งคนโง่ก็เห็นได้ว่าเขาไม่ต้องการพูดเรื่องนี้เลยสักนิด แต่เจ้าหนูนี่ก็ไม่เข้าใจแล้วถามจี้อยู่นั่น!
“หรือนางจะเป็นคู่วิถีของเจ้า?”
ซูอี้ถามอีกครั้ง
เส้นเลือดปูดเขียวขึ้นบนหน้าผากของจิตรกร เขากล่าวอย่างไร้อารมณ์ “พอแล้ว! เจ้าไม่กลัวถูกฆ่าจริง ๆ หรือไร?”
เขาไม่ได้ปิดบังโทสะของตนเองเลยแม้แต่น้อย เวลานี้เอง บรรยากาศในโลกหล้าพลันเลวร้ายลงทันใด
ทว่าซูอี้ยังคงยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “อย่าโกรธสิ ข้าแค่อยากรู้ ต่อให้เจ้าไม่ตอบ ข้าก็จะพิสูจน์มันหลังจากไปพบนางทีหลังก็ได้”
จิตรกร “?”
เด็กนี่จงใจกวนเขาจริง ๆ หรือ!?
ยามนี้ จิตสังหารในในของจิตรกรไม่อาจถูกสะกดกลั้นได้อีกต่อไป จากนั้นมันก็ระเบิดออกมาอย่างสมบูรณ์
“ไอ้หนู เจ้าสมควรตายจริงแท้!!”
วาจานั้นกึกก้องราวอสนีบาต สะท้อนทั่วผืนหล้า
มือขวาของจิตรกรยกขึ้นโบกสะบัดดุจพู่กันในอากาศ
ตู้ม!
รอยด่างดำแต่งแต้มบนนภา แปรเปลี่ยนเป็นหอกอันเจิดจรัสพุ่งแทงเข้าใส่ซูอี้
เพียงพลังการทะลวงนภาอย่างเดียว ก็ทำให้บริเวณที่ซูอี้ยืนอยู่แหลกละเอียดเป็นริ้ว ๆ ได้แล้ว
ในขณะที่ซูอี้กำลังจะแตะต้องหอก วจีดาบพลันดังขึ้น
ดาบเงากระจ่างกู่คำรามและกวาดผ่านนภา
เคร้ง!!!
หอกศึกถูกคมดาบกีดขวาง ทั้งสองปะทะกัน ระเบิดคลื่นอำนาจทลายนภาถล่มแดนดิน
ร่างของซูอี้ถูกการโจมตีนี้ฟาดกระเด็นไป เลือดและปราณในกายปั่นป่วน รู้สึกอึดอัดจนเกือบกระอักเลือด
“ว่าแล้วเชียว การจัดการเจตจำนงของเจ้าแก่นี่ไม่ง่าย เว้นแต่จะอยู่ในห้วงความนึกคิดของตัวเอง”
ซูอี้รำพัน
ยามสังหารเฝิงจี๋เมื่อคราก่อน เจตจำนงของจิตรกรในวิญญาณของเฝิงจี๋ทะลวงเข้าห้วงความนึกคิดของเขาโดยตรง และถูกดาบเก้าคุมขังสะท้อนสังหาร จึงถูกทำลายลงได้โดยง่าย
แตกต่างจากยามนี้โดยสิ้นเชิง
เพราะจิตรกรในยามนี้ แม้จะเป็นเพียงตราจิตวิญญาณ แต่เขาก็ยังใช้เคล็ดวิชาและพลังมหาวิถีของตนได้ อำนาจเช่นนั้น หากพึ่งเพียงวิถีเต๋าของซูอี้ เขาจะมิอาจเป็นคู่ต่อกรได้เลย
นี่ยังเป็นเหตุที่ซูอี้ถ่วงเวลาเมื่อกาลก่อน และกระทั่งยั่วโมโหจิตรกร
ไม่ใช่เพราะเขาอยากคุยกับศัตรูอันร้ายกาจเช่นนี้จริง ๆ หรอก แต่เขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อแผดเผาพลังการก่อตัวสู่ความเป็นจริงของจิตรกรในสภาพเจตจำนงต่างหาก
และเมื่อเขาเริ่มโจมตีครานี้ ซูอี้ก็ตระหนักทันทีว่าเจตจำนงของจิตรกรด้อยฝีมือห่างไกลเกินเทียบได้กับอวตารของชาวประมงเฒ่า เจ้าลัทธิทางช้างเผือก!
ควรค่าจดจำว่า ยามเผชิญอวตารของชาวประมงเฒ่าในสระเวียนวัฏ แม้ซูอี้จะใช้พลังของดาบเก้าคุมขัง แต่ก็ยังถูกสยบจนไร้ปัญญาโต้ตอบอยู่ดี
ท้ายที่สุด เจตจำนงของทัศนาจารย์ซึ่งอยู่ในดาบแห่งโลกาก็ถูกปลุกตื่น และยามนั้นเองที่เขาสังหารอวตารของชาวประมงเฒ่าในทันที!
ทว่ายามนี้ จิตรกรเป็นเพียงเสี้ยวเจตจำนง ย่อมมิอาจเทียบกับอวตารของชาวประมงเฒ่าได้
อย่างน้อย จากการหยุดการโจมตีครั้งนี้ ซูอี้ก็ไม่ได้บาดเจ็บ!
เมื่อเขาตระหนักถึงเรื่องนี้ ซูอี้ก็ไม่เหลือความกังวลอีกต่อไป ในแววตาลึกล้ำมีแววกระหายสงครามพลุ่งพล่านบางเบา
การต่อสู้กับศัตรูระดับจิตรกร แม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงเสี้ยวเจตจำนง แต่มันก็ทำให้ซูอี้กระเหี้ยนกระหือรือ เปี่ยมความคาดหวังได้แล้ว