บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 106 พยัคฆ์เกล็ดแดง กระโดดข้ามกำแพง
ตรอกน้ำเต้า
เสียงเกือกม้าสะท้อนก้องบนแผ่นหินสีน้ำเงิน
หยวนลั่วซีและเฉิงอู้หย่งมุ่งหน้าตรงไปยัง ‘เรือนเงียบสุขสงบ’
พวกเขาได้สอบถามมาก่อนแล้ว พบว่าสองวันก่อนมีคนย้ายมาที่นี่ ซึ่งคาดเดาว่าน่าจะเป็นซูอี้และคณะของเขา
เมื่อพลิกตัวลงจากอานม้าตรงด้านหน้าของบ้าน ความคาดหวังและความประหม่าพลันปรากฏขึ้นในใจของหยวนลั่วซี นางอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก
จากนั้นนางก็เอื้อมมือรวบผมที่ปกคลุมใบหน้า จัดแจงเสื้อผ้าจนมั่นใจว่าไร้ที่ติ ก่อนจะก้าวออกไปเคาะประตู
ไม่นาน ประตูลานบ้านก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าไร้เดียงสาและละเอียดอ่อน ถ้อยคำสงสัยกล่าวออกมา “พี่สาว มาหาใครหรือเจ้าคะ?”
“เสี่ยวหราน พวกเขาบอกว่าเป็นสหายของพี่ซู ดังนั้นข้าจึงพามาที่นี่” อาเฟยก้าวออกมาด้านหน้าและบอกกล่าวอย่างรวดเร็ว
เฝิงเสี่ยวหรานตกตะลึงพลางกล่าวออก “ที่แท้ก็เป็นสหายของพี่ซู เชิญเข้ามาได้เลยเจ้าค่ะ”
นางพยายามใช้ทั้งมือและเท้าเปิดประตูอย่างรวดเร็ว พลางเผยยิ้มอ่อนหวาน ถ้อยคำกระตือรือร้นกล่าวออก “แขกทั้งสอง โปรดเข้ามาด้านใน”
รับชมเด็กสาวอายุราวสิบสามสิบสี่ปีนางนี้ หยวนลั่วซีได้แต่ตะลึงงัน
ใบหน้าเล็กเข้ารูป ดวงตาลุ่มลึกและสดใสดั่งผลึกแก้ว เปล่งประกายราวกับฤดูใบไม้ผลิ งดงามยิ่งนัก…
ทันใดนั้นนางก็พลันหวนนึกถึงวลีจากหนังสือ
หมึกจรดสะบัดโค้ง แสงสีชาดพาดผ่านนวลลออ เสื้อทอฟ้ากระโปรงเหลือง เดียวดายใต้เงาประตู แต้มริมฝีปากด้วยไม้จันทน์
เด็กสาวเบื้องหน้าสวมใส่เสื้อสีฟ้าเรียบง่ายสะอาดตา กระโปรงสีเหลืองดูงามสง่า ซึ่งเสริมความงดงามและมีเสน่ห์ให้แก่นางอย่างยิ่ง
“พี่สาว มองหน้าข้าทำไมหรือ?” เฝิงเสี่ยวหรานรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
“เพราะเจ้างดงามยิ่ง”
หยวนลั่วซีกล่าวยิ้ม ก้าวออกไปด้านหน้าและถอดสร้อยข้อมือหยกสีน้ำเงินของนางออก ก่อนยัดใส่มือเฝิงเสี่ยวหราน “ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าพี่สาว ข้าก็อดไม่ได้ที่จะมอบสร้อยข้อมือหยกเส้นนี้เป็นของขวัญอวยพร”
เฝิงเสี่ยวหรานผงะและรีบกล่าวปฏิเสธ ทว่าหยวนลั่วซีดันมันกลับไปพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เครื่องประดับเล็กน้อยราคาไม่กี่ตำลึง เจ้ารับไปเถอะ”
สิ้นเสียง นางก็หันหลังเดินเข้าไปยังลานบ้าน
“สร้อยข้อมืองดงามเช่นนี้ มันจะไร้ค่าได้อย่างไร?”
เฝิงเสี่ยวหรานแอบคิดในใจ นางคงมอบให้ข้าเพราะเห็นแก่หน้าพี่ซู
เฉิงอู้หย่งรับชมฉากเบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใด
แม้ว่าสร้อยข้อมือหยกสีน้ำเงินจะมีมูลค่าหลายหมื่นตำลึง แต่มันก็ไม่สลักสำคัญเท่าการทำให้สตรีมีความสุขไม่ใช่หรือ?
เมื่อเข้าไปในลานบ้าน ในที่สุดหยวนลั่วซีและเฉิงอู้หย่งก็มองเห็นซูอี้
เขากำลังเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายภายใต้ศาลา สวมชุดคลุมขาวตัวโคร่ง ผมยาวที่ถูกมวยเก็บไว้เสมอ เวลานี้ถูกปล่อยสยาย ขณะที่ท่าทางดูผ่อนคลายและเกียจคร้าน
นอกจากนี้ยังมีชา ผลไม้ ขนมขบเคี้ยว และสิ่งของอื่นวางอยู่บนโต๊ะด้านข้าง
“เฮ้อ ในเวลานี้ของทุกวัน พี่ซูจะหลับตาพักสมองอยู่ในศาลา โดยอ้างว่ากำลังฝึกฝนพลังทางจิตอย่างลับ ๆ”
หวงเฉียนจวินปรากฏตัวออกมาและบอกกล่าวพวกหยวนลั่วซีเสียงค่อย “ในอีกหนึ่งก้านธูป พี่ซูจะตื่น”
หยวนลั่วซีและเฉิงอู้หย่งมองหน้ากัน ก่อนนิ่งเงียบ
แต่ในเวลานั้นเอง ซูอี้ลืมตาขึ้น เลิกคิ้วเล็กน้อย ถ้อยคำหยอกล้อกล่าวออก “แม่นางหยวน คราวนี้ก็แอบหนีมาอีกแล้วหรือ?”
ใบหน้าหยวนลั่วซีแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ กล่าวตอบอย่างเขินอาย “ดวงตาคุณชายซูประหนึ่งคบไฟ ไม่มีสิ่งใดปิดซ่อนจากท่านได้เลย”
ซูอี้ตกตะลึง กลับกลายเป็นคำหยอกล้อของเขาคือเรื่องจริง
“คุณชายซู นี่คือ ‘เหล็กเย็นเกล็ดคราม’ ที่ขุดได้จากเหมืองของตระกูลหยวน มันเป็นวัตถุวิญญาณชั้นดี และเหมาะสำหรับใช้หล่ออาวุธ”
เฉิงอู้หย่งก้าวไปด้านหน้า ยื่นกล่องหยกในมือออกไปด้วยรอยยิ้ม
ครั้งอยู่บนเรือ ซูอี้เอ่ยถามเขาว่าจะสามารถซื้อวัตถุวิญญาณชนิดพิเศษในมหานครอวิ๋นเหอได้จากที่ใด
เฉิงอู้หย่งเก็บเรื่องราวนี้ไว้ในใจ เมื่อมีโอกาสมาเยี่ยมเยียน เขาจึงจงใจหยิบเหล็กเย็นเกล็ดครามหนักสิบชั่งมาเป็นของขวัญ
“นี่เป็นวัตถุดิบหลักในการสร้าง ‘ง้าวศึกเกล็ดคราม’ ใช่หรือไม่?” หวงเฉียนจวินถามออกมาอย่างอดไม่ได้
ง้าวศึกเกล็ดคราม ศาสตราวุธประเภทหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้าง ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ทหารของต้าโจว
ว่ากันว่าแม้กองกำลังเกล็ดแดงที่ประจำการในแคว้นกุ่นจะโด่งดังและอุดมไปด้วยทรัพยากร แต่พวกเขากลับครอบครองง้าวศึกเกล็ดครามเพียงสิบเล่ม
เหตุผลนั้นคือ ‘เหล็กเย็นเกล็ดคราม’ ที่ใช้หลอมอาวุธนี้หายากเกินไป
เฉิงอู้หย่งกล่าวถ้อยคำด้วยรอยยิ้ม “นายน้อยหวงมีความรู้กว้างขวาง เราไม่รู้ว่าคุณชายซูต้องการมากเพียงใด จึงนำมาเพียงสิบชั่งเท่านั้น”
“สิบชั่ง!” หวงเฉียนจวินโพล่งออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ
เป็นที่ทราบกันดีว่าตระกูลหยวน ในฐานะหนึ่งในสี่ตระกูลหลักของมหานครอวิ๋นเหอ เป็นธรรมดาที่จะร่ำรวย
แต่ไม่คาดคิดว่าจะร่ำรวยถึงเพียงนี้!
“มีความตั้งใจดี” ซูอี้ตกใจเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับอย่างไม่ทุกข์ร้อน
เฉิงอู้หย่งผู้นี้แข็งนอกอ่อนใน แลเห็นได้จากของขวัญล้ำค่านี้ อีกฝ่ายคงต้องเตรียมตัวมาอย่างดีและใช้ความพยายามอย่างมาก
หยวนลั่วซีกล่าวออก “คุณชายซู เรามาเยี่ยมเยียนคราวนี้ หนึ่งเพื่อยืนยันที่อยู่อาศัย และอีกหนึ่งคือถามไถ่ว่าท่านพอจะมีเวลาว่างในวันที่สามของเดือนหน้าหรือไม่”
ซูอี้กล่าว “มีสิ่งใดหรือ?”
หยวนลั่วซีกระซิบ “วันที่สามเดือนหน้าเป็นวันเกิดครบรอบสี่สิบปีของท่านพ่อข้า ข้าจึงคิดว่า… อยากจะเชิญคุณชายซูไปงานเลี้ยง”
ซูอี้จดจำได้ว่า ครั้งเมื่อหยวนลั่วซีไปสันเขามารดาภูตผี นางตามหาหญ้าหกหยินเพื่อเตรียมเป็นของขวัญวันเกิดแก่บิดา
“คุณชายซูอาจไม่ทราบ ในงานเลี้ยงวันเกิดผู้นำตระกูล มีผู้บ่มเพาะมากมายจากทั่วทุกแว่นแคว้นเข้าร่วม และจะมีการจัด ‘ชุมนุมลับวิถียุทธ์’ ขนาดเล็ก ประการแรกเพื่อการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ประการที่สองเพื่อแลกเปลี่ยนสมบัติล้ำค่าระหว่างกัน”
เฉิงอู้หย่งอธิบายเสียงเบา “คุณหนูและข้าคิดว่า อาจมีบางอย่างที่ท่านสนใจในชุมนุมลับนี้ จึงเป็นเหตุผลที่เรามาเชิญ”
“ชุมนุมลับวิถียุทธ์?”
ซูอี้ครุ่นคิดเล็กน้อยและกล่าวตอบ “หากมีเวลา แน่นอนว่าข้าจะแวะไป”
หยวนลั่วซีหัวเราะออกมาทันใด
“แล้วข้าล่ะ ขอติดตามไปเปิดหูเปิดตาได้หรือไม่?” หวงเฉียนจวินถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
วันเกิดปีที่สี่สิบของหยวนอู่ทงผู้นำตระกูลหยวน จะเป็นงานเลี้ยงที่อลังการมากเพียงใด?
เพียงนึกถึงก็ทำให้ผู้คนโหยหา
“แน่นอนว่านายน้อยหวงไปด้วยได้” เฉิงอู้หย่งหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ขณะเดียวกันก็เกิดเสียงเย็นชาดังขึ้นจากนอกลานบ้าน ตามมาด้วยร่างที่เหยียบกำแพงเข้ามาปรากฏตัวด้านหน้าฝูงชน
แลเห็นผู้มาเยือนเป็นชายร่างสูง สวมชุดนักรบ ทั้งลมปราณก็ดูอาจหาญและดุดัน
“พี่รอง!” หยวนลั่วซีตกตะลึงและเปล่งเสียงออกมาไม่รู้ตัว
หยวนลั่วอวี่!
บุตรชายคนที่สองของหยวนอู่ทง ผู้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ดั่งฟ้าประทาน ตอนอายุสิบสาม เขาได้เอาชนะคนรุ่นเยาว์ของตระกูลหยวนทั้งหมดด้วยหมัดทั้งสอง
กระทั่งเข้าสู่กองกำลังเกล็ดแดง เขาได้รับยกย่องจากจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงว่าเป็น ‘ยอดทหารพยัคฆ์เกล็ดแดง พรสวรรค์เปรียบดั่งราชา!’
ใบหน้าเฉิงอู้หย่งแข็งค้าง ตระหนักได้ทันใดว่านายน้อยรองอาจติดตามเขามาอย่างลับ ๆ
ซูอี้จดจำตัวตนของอีกฝ่ายได้ ครั้งเห็นอีกฝ่ายกระโดดข้ามกำแพงเข้ามาโดยตรง เขาก็อดไม่ได้จะขมวดคิ้วมุ่น… ชายหนุ่มผู้นี้ไร้มารยาทยิ่งนัก
แลเห็นสีหน้าหยวนลั่วซีหม่นหมองดูเคืองโกรธ หยวนลั่วอวี่จึงเอ่ยถามขึ้น “น้องเล็ก เจ้าแอบออกมาในตอนเช้าเพียงเพื่อพบซูอี้ผู้นี้หรือ?”
หยวนลั่วซีกล่าวถ้อยคำออกด้วยความขุ่นเคือง “คุณชายซูให้การช่วยเหลือข้าไว้มาก ให้ข้ามาเยี่ยมเยียนเขาหน่อยไม่ได้หรือ? นอกจากนี้ พี่รองหยาบคายนักที่ข้ามกำแพงเข้ามา หากแพร่งพรายออกไป จะทำให้ท่านพ่อต้องอับอายขายหน้า!”
ท่าทีหยวนลั่วอวี่นิ่งงัน ก่อนกล่าวออกด้วยถ้อยคำเคืองขุ่น “หากท่านพ่อรู้ว่าบุตรสาวตัวน้อยที่เขารักมากที่สุด กำลังถือเหล็กเย็นเกล็ดครามสิบชั่งและมอบมันแก่คนนอกผู้โง่เขลา เจ้าคิดว่าเขาจะเอ่ยคำใด??”
เฉิงอู้หย่งปากคิดเอ่ยคำออก ทว่าหยวนลั่วอวี่พูดขึ้นอย่างเฉียบขาด “ผู้อาวุโสเฉิง ท่านก็ทราบดีว่าเสี่ยวซียังเด็กและไม่เข้าใจความน่ากลัวของจิตใจผู้คน แทนที่จะหยุดนางไว้ แต่ท่านกลับปล่อยนางออกมาสร้างปัญหา ท่านไม่รู้สึกว่าตนเองกำลังละเลยหน้าที่อยู่หรือ?”
เฉิงอู้หย่งเผยยิ้มขมขื่น เห็นได้ชัดว่านายน้อยรองกำลังเข้าใจผิด
หยวนลั่วอวี่ไม่คิดจะฟังคำอธิบายใด ๆ ยิ่งเมื่อเขาเหลือบเห็นสายตาของหยวนลั่วซีมองไปยังซูอี้ในศาลาด้วยดวงตาเป็นประกาย… สีหน้าของเขายิ่งน่าเกลียดกว่าเดิม ถ้อยคำเย็นชาถูกกล่าวออก “ซูอี้ เราพบกันที่ท่าเรือนอกเมืองในวันนั้น และข้าได้บอกไปว่า หากประสบปัญหาในมหานครอวิ๋นเหอ เจ้าสามารถใช้ชื่อตระกูลหยวนของข้าได้…”
“แต่ไม่คาดคิดว่าเจ้าถึงกับชักจูงความคิดน้องสาวข้า!”
ถ้อยคำดุดันกล่าวออกด้วยโทสะ “เจ้าทำให้ข้าโกรธและผิดหวังมาก!”
ดวงตาซูอี้แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
รับชมสิ่งนี้ หยวนลั่วซีใจสั่นไหว ถ้อยคำกังวลกล่าวออก “พี่รอง สงบสติอารมณ์ลงหน่อยได้หรือไม่! คุณชายซูไม่ใช่คนอย่างที่ท่านคิด!”
เฉิงอู้หย่งรีบกล่าวเสริม “นายน้อยรอง ท่านกำลังเข้าใจผิด! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณชายซู พวกเรากลับบ้านกันก่อน แล้วให้ข้าอธิบายทุกอย่างดีหรือไม่?”
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองกำลังปกป้องซูอี้ สิ่งนี้ทำให้หยวนลั่วอวี่รำคาญมากขึ้นกว่าเดิม
เขาพลันนึกสงสัย น้องสาวของตนคงลุ่มหลงชายหนุ่มจากเมืองกว่างหลิงจนหน้ามืดตามัวเสียแล้ว!
“ซูอี้ จนถึงตอนนี้ เจ้าก็ไม่มีความเห็นใด ๆ เลยอย่างนั้นหรือ?”
หยวนลั่วอวี่กล่าวออกอย่างเคร่งขรึม “หรือข้าต้องชักดาบ ใช้กำลังบังคับเจ้า?”
เลือดในกายเดือดพล่าน พลังอันล้นหลามปกคลุมร่างกายจนผู้คนแทบหายใจไม่ออก
ในเวลานี้ ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวายและกล่าวออกเฉยเมย “ความเห็น? เรื่องอะไร?”
หยวนลั่วซีและเฉิงอู้หย่งตัวแข็งค้าง คุณชายซูกำลังโกรธใช่หรือไม่?
ทั้งสองหวนนึกถึงฉากที่ซูอี้ฆ่าซากศพหยินหกสมบูรณ์ในสันเขามารดาภูตผี และตัดศีรษะปรมาจารย์วิถียุทธ์ด้วยดาบเดียวครั้งที่อยู่บนเรือ ท่าทีของพวกเขาพลันแปรเปลี่ยนทันใด
“มันเป็นแค่ความเข้าใจผิด พวกเจ้าไม่ต้องตื่นตระหนกไป ข้าจะแก้ไขมันเอง”
ซูอี้เหลือบมองทั้งสองและหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
เขาจะโกรธเคืองเรื่องไร้สาระเช่นนี้ได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม หยวนลั่วอวี่ผู้นี้จำเป็นต้องได้รับการสั่งสอนบ้าง…
“ดี เจ้าเองก็เป็นลูกผู้ชาย และรู้ว่าต้องแก้ปัญหาด้วยตนเอง”
ถ้อยคำเย็นชากล่าวออกจากปากหยวนลั่วอวี่ “ข้าจะไม่ใช้อิทธิพลของตระกูลหยวนเพื่อกดดัน ตราบใดที่สาบานว่าจะอยู่ให้ห่างจากน้องสาวข้านับจากนี้ ข้าจะปล่อยเรื่องของวันนี้ไปและไม่สนใจเจ้าอีก!”
หวงเฉียนจวินถอนหายใจ รับชมได้ยากนัก พี่ชายปกป้องน้องสาวของตนเองอย่างสุดใจ แต่… เจ้าต้องดูด้วยว่ากำลังเผชิญหน้ากับผู้ใด
น้องสาวกล่าวเตือนหลายต่อหลายครั้ง เหตุใดจึงไม่ตระหนักเสียที?
“เจ้าคิดผิดแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการแก้ไข” ซูอี้กล่าวออกอย่างใจเย็น
ใบหน้าหยวนลั่วอวี่พลันหมองหม่น “เจ้าว่าอะไรนะ?”
ซูอี้ชี้ไปทางประตูลานบ้านและกล่าวออก “บ้านเล็กอันเงียบสงบของข้ามีประตู แทนที่จะเคาะก่อนค่อยเข้ามา แต่กลับกระโดดข้ามกำแพง ทำพฤติกรรมเยี่ยงขโมยเช่นนี้ เจ้าคิดจะทำก็ทำได้อย่างนั้นหรือ?”
หยวนลั่วอวี่ตกตะลึง
ยามเข้าใจความหมายในถ้อยคำเหล่านั้น ใบหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม แทบระเบิดหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ
เจ้าหนุ่มนี่… กาไหนน้ำไม่เดือดก็หยิบกานั้น*[1]!
[1] กาไหนน้ำไม่เดือด หยิบกานั้น หมายถึง ทำเรื่องที่ไม่ควรทำ หรือพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด