บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1061: ความลับของปราณมารดาฟ้าดิน
ตอนที่ 1061: ความลับของปราณมารดาฟ้าดิน
หอตำราเทียนเสวียน
“ใต้เท้าซู หรือว่าพันธมิตรเสวียนจวินจะเริ่มตอบโต้แล้ว?”
เมื่อเห็นซูอี้ย้อนกลับมา อวี๋ฉางหมิงก็ออกมาต้อนรับโดยเร็ว
“ครั้งนี้ที่มาเป็นเพียงแค่ลูกน้องตัวจ้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องตื่นกลัว” ซูอี้เอ่ยกล่าว
อวี๋ฉางหมิงแอบโล่งใจ
“ใช่แล้ว เจ้าจงติดต่อกับตระกูลเยว่ก่อนล่วงหน้า เมื่อข้าออกเดินทางจากหอตำราเทียนเสวียนแล้ว หอตำราเทียนเสวียนของพวกเจ้าจงถอยออกจากเขาเพิงหงส์ ไปพำนักกับคนตระกูลเยว่ก่อนชั่วคราว”
ซูอี้สั่งกำชับ
เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะอยู่รอคู่ต่อสู้บุกมาหาถึงเขาเพิงหงส์โดยไม่ไปไหน
ก่อนจะไป จึงจัดแจงที่พักซึ่งสามารถหลบลมหลบฝนได้ให้แก่คนของหอตำราเทียนเสวียนเอาไว้
และตระกูลเยว่ก็เป็นสถานที่เหมาะสมอย่างไม่ต้องสงสัย
“ขอรับ!” อวี๋ฉางหมิงรับปาก
ทันใดเขาก็กล่าวขึ้น “ใต้เท้าซู เมื่อหลายวันก่อน ข้าได้ใช้สมบัติลับที่ปรมาจารย์ทิ้งไว้ให้ตอนจะจากไป เพราะต้องการจะติดต่อกับปรมาจารย์ ตามความคาดคะเนของข้า ขอเพียงปรมาจารย์ได้รับข่าว จะต้องย้อนกลับมาในทันทีเป็นแน่”
ซูอี้พยักหน้าพลางกล่าว “หากว่าหนอนตะกละเฒ่ากลับมา ก็ยิ่งเป็นการดี”
วิถีขงจื่อในใต้หล้า หนอนตะกละเฒ่าเป็นผู้อาวุโสระดับบรรพชน มีระดับวิถีลึกล้ำไม่อาจหยั่งถึง แม้กระทั่งในมหาแดนดิน คนที่สามารถงัดข้อด้วยได้มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
หากว่าหนอนตะกละเฒ่ากลับมา หอตำราเทียนเสวียนก็ไม่ต้องกังวลอันใดอีก
อีกทั้ง ตามความเข้าใจของซูอี้ที่มีต่อหนอนตะกละเฒ่า ตาเฒ่าคนนี้จะต้องโกรธเพราะเรื่องนี้อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นก็คงจะถึงคราวซวยของสำนักลานดาบทะยานกับพันธมิตรเสวียนจวินสักที
…
ในช่วงเวลาถัดมา ซูอี้ปิดตนบ่มเพาะอยู่ในเขาเพิงหงส์ต่อ
ที่มาแห่งจักรวาลที่อุบัติขึ้นในภูมิดาราฟ้าดินเมื่อครั้งแรกสุดเช่นนี้แฝงไว้ซึ่งพลังกฎเกณฑ์บริสุทธิ์ กฎเกณฑ์ครอบฟ้าดั้งเดิมอย่างที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่ของใต้หล้าในตอนนี้จะสามารถเทียบเคียงได้
สาเหตุที่ถูกขนานนามให้เป็น ‘ปราณมารดาฟ้าดิน’ ก็อยู่ตรงที่พลังนี้เปรียบได้กับที่มาแห่งหมื่นวิถี!
หากว่ากฎเกณฑ์ครอบฟ้าของใต้หล้าในตอนนี้เปรียบได้กับลำต้นและกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ ถ้าเช่นนั้นปราณมารดาฟ้าดินก็คือรากของต้นไม้ใหญ่ต้นนี้
ดูดซับและหลอมละลายปราณมารดาฟ้าดิน มีคุณประโยชน์พิเศษสองประการ
ประการที่หนึ่ง สามารถกระตุ้นพลังมหาวิถีที่ผู้ฝึกตนควบคุมเกิดความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มหาวิถีในตัวปรากฏเป็นรูปลักษณ์ดั้งเดิมที่สุดและสมบูรณ์พร้อมที่สุด!
ประการที่สอง หลังจากที่ควบคุมปราณมารดาฟ้าดินได้แล้ว ก็เปรียบเสมือนควบคุมกำลังแห่งที่มาหมื่นวิถีของภูมิดาราฟ้าดิน เมื่อระดับการฝึกตนเพิ่มพูนขึ้น ประกอบกับมีการฝึกฝนกฎเกณฑ์มหาวิถี วันข้างหน้าสามารถพัฒนาเป็นกฎเกณฑ์ภูมิดาราได้อย่างสมบูรณ์!
โดยเฉพาะประการที่สองนี้ ทำให้ซูอี้สั่นสะท้านใจไม่หาย
ตามที่เข้าใจกันว่าภูมิดาราฟ้าดินเสื่อมไปนานแล้ว ตกเป็นปิตุภูมิเวิ้งดารา วันเวลาและประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับอดีตครั้งบรรพกาลล้วนถูกลบเลือนไปโดยความเคลื่อนไหวลึกลับ
ซึ่งก็หมายความว่าภูมิดาราแห่งนี้แตกสลายไปนานแล้ว จนไม่มีกฎเกณฑ์หมู่ดาราที่สมบูรณ์พร้อมอีก
หากว่าควบคุมปราณมารดาฟ้าดินได้ ก็เท่ากับมีโอกาสควบคุมกฎเกณฑ์ภูมิดาราฟ้าดินที่สมบูรณ์พร้อม!
จะไม่ให้ซูอี้ไม่สั่นสะท้านได้เช่นใด?
เมื่อนึกย้อนไปเมื่อครั้งแรกสุด ภูมิดาราฟ้าดินถูกมองว่าเป็นดินแดนแห่งที่มาของหมี่นวิถีหมู่ดารา เคยมีความรุ่งเรืองและสว่างพร่างพราวอย่างที่สุด และเคยมีบุคคลในตำนานเทพที่สร้างความตื่นตะลึงให้แก่เทวาหมู่ดารา!
สาเหตุเพราะภูมิดาราฟ้าดินในครั้งนั้นครอบคลุมไปด้วยกฎเกณฑ์ภูมิดาราที่สมบูรณ์พร้อม
และนี่ก็เป็นการยืนยันอีกขั้นว่าคำเตือนในครั้งนั้นของทัศนาจารย์ถูกต้อง ขอเพียงสามารถค้นเจอที่มาแห่งจักวาลที่แท้จริงในภูมิดาราฟ้าดินที่เสื่อมไปแล้วนี้ได้ ก็สามารถผลักดันกฎเกณฑ์อันสมบูรณ์พร้อมของภูมินี้ได้!
ในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ ขอเพียงสามารถหลอมรวมกับกฎเกณฑ์ภูมิดาราฟ้าดินที่สมบูรณ์พร้อมได้ เวลาที่ย่างก้าวสู่ ‘วิถีสู่สวรรค์’ ก็สามารถทำการเปลี่ยนแปลงสู่ความแข็งแกร่งสุดยอดได้
สำหรับจุดนี้ ในตอนนั้นทัศนาจารย์ก็ยังทำไม่ได้!
…
เวลาผันผ่าน สามวันให้หลัง
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์ ดินแดนที่ตั้งของพันธมิตรเสวียนจวิน
“นายท่าน ตามที่สายของพวกเราในเมืองมะเดื่อรายงาน เมื่อสามวันก่อน เกิดความเคลื่อนไหวแผ่กระจายมาจากบนเขาเพิงหงส์ สงสัยว่าจะมีศึกใหญ่ปะทุขึ้นอีก แต่เพียงแค่ชั่วครู่เดียวก็หายไป”
ในห้องโถงใหญ่ บริวารเฒ่าลดเสียงต่ำรายงาน “หอตำราเทียนเสวียนไม่มีคนตายและได้รับบาดเจ็บ แต่… ใต้เท้าเฟยอวิ๋นที่เดินทางไปหอตำราเทียนเสวียนยังคงไม่กลับมา”
ผีหมัวรู้สึกหนังตากระตุกอย่างแรง “เจ้าถอยไปได้แล้ว”
“ขอรับ!”
บริวารเฒ่าถอยออกไปตามสั่ง
ผีหมัวพ่นลมออกจากปากยาว ๆ และกล่าวพึมพำ “ก่อนหน้านี้ไม่นาน ผู้เฒ่าเฝิงกับคนของสำนักลานดาบทะยานตายกันหมด ตอนนี้ แม้กระทั่งเฟยอวิ๋นก็พ่ายแพ้ไปด้วย… หอตำราเทียนเสวียนแห่งนี้มีความร้ายกาจลึกล้ำซ่อนเร้นอยู่จริง ๆ เสียด้วย!”
“ยังดีที่คนที่ตายครั้งนี้ไม่ใช่คนของข้า…”
ริมฝีปากของผีหมัวเผยอขึ้นเล็กน้อย สายตาเย็นยะเยือก
ทันใด เขาเก็บความคิดกลับมา หยิบม้วนภาพออกมาจากแขนเสื้อด้วยสีหน้าตึงเครียด จากนั้นคลี่เปิดกลางอากาศ
ฉับพลันสะท้อนภาพศพซ้อนทับดังภูเขา ทะเลนองด้วยเลือด ราวกับแดนมาร
นั่นคือภาพแผนที่แดนมารนิจนิรันดร์!
มุมหนึ่งของภาพ หมอกควันพุ่งโขมง ดินแดนสงบประดุจดังสวรรค์บนดินปรากฏขึ้น ภายในดินแดนสงบมีถ้ำแห่งหนึ่ง คางคกทองสามตานั่งอยู่หน้าถ้ำ
“ทุกอย่างราบรื่นดีหรือไม่?”
คางคกทองสามตาถามด้วยเสียงหนักหน่วง
ผีหมัวก้มหน้า หลบสายตาของคางคกทองสามตา กล่าวถอนใจ “เรียนผู้ส่งสาส์นตามตรง ใต้เท้าเฟยอวิ๋น… อาจจะเดินตามรอยผู้เฒ่าเฝิงไปแล้ว”
คางคกทองสามตาตะลึง มันกล่าวด้วยความตกใจ “เฟยอวิ๋นก็ตายแล้วเช่นนั้นหรือ!?”
ผีหมัวยังคงก้มหน้าต่ำ ประสานมือคารวะพลางกล่าว “ผู้ส่งสาส์นโปรดตัดใจ”
เห็นได้ชัดว่าคางคกทองสามตาโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก มันขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางกล่าว “เพียงแค่ขุมกำลังวิถีขงจื่อเล็ก ๆ เท่านั้น เหตุใดจึงมีตัวตนที่สามารถฆ่าเฟยอวิ๋นได้? ไอ้พวก@#¥% ช่างประหลาดเสียจริง ๆ!”
หลังจากที่เขาด่าคำหยาบคายออกมาเต็มกระบุง จึงใจเย็นลงมาได้บ้าง
ผีหมัวถือโอกาสนี้กล่าว “ผู้ส่งสาส์น ตามความเห็นของข้า หอตำราเทียนเสวียนมีความลึกล้ำเกินจะคาดเดา ไม่อาจส่งคนไปได้อีก ข้าคิดว่า ควรจะรายงานเรื่องนี้ต่อคุณหนู”
คางคกทองสามตาหัวเราะเสียงเย็นชา “ผีหมัว คิดจริง ๆ หรือว่าข้าไม่รู้ความคิดของเจ้า? เจ้าต้องการจะพบคุณหนูเพื่อรับผลประโยชน์ที่มากกว่าจากคุณหนู!”
หน้าของผีหมัวสลดไป ในสายตาของชายหนุ่มผุดประกายแห่งความเคียดแค้น
ทว่าเขากำลังก้มหน้า คางคกทองสามตาจึงไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในแววตาของเขา
“เจ้าจงรอก่อน ข้าจะเข้าพบคุณหนู”
คางคกทองสามตาพ่นภาพวาดสีดำภาพหนึ่งออกมาจากปาก ตวัดขึ้นกลางอากาศ
ประตูถ้ำที่ปิดสนิทบานนั้นเกิดระลอกคลื่นขึ้น
“รบกวนผู้ส่งสาส์นเรียนต่อคุณหนูด้วยว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้กลับชาติอาจจะกลับมาสู่มหาแดนดินอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้”
สีหน้าของผีหมัวจริงจัง ประสานมือคารวะ
“ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้กลับชาติ?”
คางคกทองสามตาตะลึง กล่าวด้วยความไม่พอใจ “เรื่องใหญ่เช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกก่อนแต่แรก? เจ้าควรจะพูดให้ชัดเจน ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา คุณหนูรอฟังข่าวของคน ๆ นี้มาโดยตลอด!”
ผีหมัวลดเสียงกล่าวอธิบาย “เรียนผู้ส่งสาส์นตามตรง ข้าก็เพิ่งรู้ข่าวในช่วงระยะนี้เช่นกัน อีกทั้งตอนนี้เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น ยังไม่อาจมั่นใจได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้ารบกวนไปถึงคุณหนู แต่ตอนนี้ ในเมื่อผู้ส่งสาส์นจะไปพบกับคุณหนูแล้ว สามารถบอกเรื่องนี้…”
ไม่รอให้พูดจบ คางคกทองสามตาก็ตัดบทด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว”
จากนั้นมันก็หมุนตัวเข้าไปในถ้ำ
ท่าทียโสโอหังเช่นนี้ทำให้ผีหมัวกำหมัดแน่น ความเคียดแค้นผุดขึ้นบนใบหน้า
สักพักใหญ่ ๆ เขาจึงส่ายหน้าน้อย ๆ แอบคิดในใจ “เพียงแค่สัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะให้เจ้ามองข้าประดุจเทพ!”
ฉับพบัน ผีหมัวเงยหน้าขึ้น จ้องดูทางเข้าถ้ำแห่งนั้น
ปากทางเข้าถ้ำมีแสงสว่างส่องเข้ามารางเลือน จนมองสถานการณ์ภายในไม่ชัดเจน
ทว่าในใจของผีหมัวกลับรู้สึกคาดหวังและรอคอย
“ศิษย์น้องซงไฉ อีกไม่นานเท่าไรอาจารย์ก็จะกลับมา ด้วยนิสัยของเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะยกเว้นโทษแก่ข้า ข้าจำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวัง ไม่อาจเพิกเฉยได้ เพราะอย่างไรเสียก็ดี เจ้าก็รู้ดีว่าอาจารย์แข็งแกร่งถึงเพียงไหนในตอนนั้น”
“แต่ ขอเพียงมีเจ้าอยู่ ข้าก็ไม่กลัว!”
นึกถึงตรงนี้แล้ว ในสายตาของผีหมัวก็ผุดประกายความอ่อนโยนขึ้น
นานมาก เมื่อเห็นคางคกทองสามตาเดินออกมาจากข้างในถ้ำ ผีหมัวไม่อาจทนรอต่อไปได้อีก เขากล่าว “ผู้ส่งสาส์น คุณหนูเล่า?”
คางคกทองสามตาชายตามองดูเขาด้วยความเย็นชา กล่าว “คุณหนูบอกว่า เรื่องนี้นางรู้แล้ว ให้ข้าบอกกับเจ้าถึงความเห็นของนาง”
ผีหมัวผิดหวังอย่างแรง
เขาไม่ได้พบหน้า ‘ศิษย์น้องซงไฉ’ เป็นเวลานานมากแล้ว
เดิมทีคิดไว้ว่าจะถือโอกาสในวันนี้พบหน้าอีกฝ่ายสักครั้ง แต่ใครเลยจะคาดคิดว่า สุดท้ายก็ยังขาดวาสนา!
คางคกทองสามตากล่าวเสียงหนักหน่วง “คุณหนูบอกว่าไม่เกินหนึ่งปี นางก็จะออกจากการปิดตน ก่อนที่จะถึงเวลานั้น หวังว่าเจ้าจะพยายามเสาะหาเบาะแสเกี่ยวกับปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้กลับชาติ จำไว้ให้ดีว่าอย่าทำสิ่งใดโดยพลการ”
ผีหมัวกล่าวโดยไม่ต้องคิด “ข้าจะทำสุดความสามารถ!”
ทันใดเขาก็กล่าวด้วยความลังเลอีก “เพียงแต่ว่า หากอาจารย์… ไม่ใช่ หากปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้กลับชาติมาหาถึงที่ ควรจะรับมือเช่นใด?”
คางคกทองสามตากล่าว “คุณหนูบอกว่า ด้วยนิสัยของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน เขาไม่ทีทางลงมือก่อนที่จะสืบรู้ความจริงถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากที่กลับชาติ”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ คางคกทองสามตากล่าวต่ออีก “อีกทั้งคุณหนูยังบอกอีกว่า ให้เจ้าโยนตัวผู้ซ่อนเร้นบางส่วนที่จัดวางไว้ในครั้งนั้นออกไปเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน และช่วยดึงดูดความสนใจจากปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน เจ้าจงติดตามความเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้ จะได้คาดคะเนพลังและพื้นฐานของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน”
สายตาของผีหมัวเป็นประกาย พยักหน้าพลางกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว”
“ส่วนเรื่องของหอตำราเทียนเสวียน…”
คางคกทองสามตากล่าว “ปล่อยไปก่อน”
ผีหมัวไม่เข้าใจ “ปล่อยไปก่อนอย่างนั้นหรือ?”
คางคกทองสามตากล่าว “ระยะเวลาหนึ่งปีเพียงแค่ดีดนิ้วก็ผ่านไปแล้ว เมื่อคุณหนูออกมาจากการปิดตน จะสืบหาความจริงของเรื่องนี้ด้วยตนเอง”
ผีหมัวสะดุ้งในใจ
เขารู้ได้ในทันใดว่าในสายตาของ ‘ศิษย์น้องซงไฉ’ ดาบปลายมนเสวียนหวงของหอตำราเทียนเสวียนนั้นสำคัญยิ่งกว่าการกลับมาสู่มหาแดนดินของอาจารย์!
มิเช่นนั้น จะแสดงท่าทีออกมาตรง ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร หลังจากที่ออกจากการปิดตนแล้ว จะสืบเรื่องนี้ด้วยตนเองเช่นนั้นหรือ?
‘ดูท่าแล้ว พลังอย่างปราณมารดาฟ้าดินนี้มีความมหัศจรรย์มากยิ่งกว่าที่ข้าคาดเดาไว้มาก! ระดับความสำคัญของมันไม่เป็นรองความลับแห่งวัฏสงสารเลยสักนิด!’
ผีหมัวแอบคิด
เมื่อก่อนนานมากแล้ว เขาก็รู้ดีแล้วว่ากำลังของโรงวาดฤทัยที่เดินทางจากส่วนลึกหมู่ดารามายังแผ่นดินมหาแดนดินมีจุดประสงค์อยู่สองอย่าง ประการที่หนึ่งคือสืบเสาะความลับแห่งวัฏสงสาร ส่วนประการที่สองคือรวบรวมปราณมารดาฟ้าดิน!
เพียงแต่ ผีหมังยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่าที่แท้แล้วปราณมารดาฟ้าดินซ่อนเร้นความลึกลับอันใด เหตุใดโรงวาดฤทัยจึงให้ความสำคัญต่อมันมากถึงเพียงนี้
สำหรับเรื่องปราณมารดาฟ้าดินนี้ เห็นได้ชัดว่าโรงวาดฤทัยปิดบังซ่อนเร้นความลับไว้มากมายโดยไม่ต้องสงสัย!
นึกถึงตรงนี้แล้ว สายตาสีหน้าของผีหมัวปรากฏความคลุมเครือที่ไม่อาจสลัดไปได้พ้น