บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1066: ผู้มาเยือนเมืองต้นหลิวยะเยือก
ตอนที่ 1066: ผู้มาเยือนเมืองต้นหลิวยะเยือก
สามวันต่อมา
มหาแดนดิน แดนเป๋ยเสวี่ย
เมืองต้นหลิวยะเยือก
รัตติกาลเคลื่อนคล้อย สายลมยะเยือกกรีดลึกถึงกระดูกดุจมีด
ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
ซูอี้นั่งลำพังข้างหน้าต่าง มีกาน้ำชาร้อนวางอยู่ข้างกาย หนึ่งถ้วยชา และถาดขนมอยู่บนโต๊ะตรงหน้าเขา
โรงเตี๊ยมครึกครื้นมาก มีผู้ฝึกตนมากมายจับกลุ่มพูดคุยเสียงดัง
“ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเพิ่งสิ้นไปห้าร้อยกว่าปี ทว่ากลับมีผู้กล้าแสร้งนำนามของเขามาหลอกคน บ้าไปแล้ว!”
“บ้าหรือ? ไม่เลย เขาว่ากันว่าคนผู้นี้ฆ่าใต้เท้าฮั่วเหยากับมือนะ! วิถีเต๋าของเขาต้องน่ากลัวยิ่งแน่แท้!”
“พี่น้องท่านนี้กล่าวถูกต้อง เรื่องนี้พิสดารพันลึก ห่างไกลเกินกว่าคนทั่วไปเช่นเราจะคาดเดาได้ แต่ก็ทำนายได้เลยว่าพันธมิตรเสวียนจวินจะมิปล่อยซูอี้ผู้นี้ไปง่าย ๆ!”
“ข้าเกรงว่าในมหาแดนดินนี้คงมิแคล้วเกิดพายุอันยากหยั่งคาด!”
…ประเด็นสนทนาของคนทุกผู้ล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน คือข่าวที่ลือกันในโลกหล้าเมื่อเร็ว ๆ นี้
ทว่าซูอี้กลับไร้ความสนใจ
เมื่อวาน ยามที่เขาเดินทางจากโลกเทียนเสวียนมาถึงแดนเป๋ยเสวี่ย ไม่ว่าจะไปที่ใด เขาก็ได้ยินเพียงข่าวนี้ ฟังจนตัวเองรู้สึกเบื่อหน่ายเลยก็ว่าได้
“ท่านพ่อ ไม่ใช่ท่านเป็นคนบอกหรือว่าผีหมัวเป็นคนทรยศถ้ำเสวียนจวิน? ไฉนเขาจึงโกรธเสียจนจะลงมือกับซูอี้ผู้แสร้งเป็นอาจารย์เขาเล่า?”
ทันใดนั้น ณ ที่นั่งอันไม่ห่างเท่าไร เด็กหญิงอายุเพียงเจ็ดแปดขวบผู้หนึ่งก็เอ่ยปากถามด้วยสีหน้างุนงง
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว โรงเตี๊ยมซึ่งเดิมเจี๊ยวจ๊าวเงียบลงโดยพลัน บรรยากาศครึกครื้นพลันเงียบกริบ
ดูเหมือนทุกคนจะตะลึงกับวาจานี้!
ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาที่อยู่ข้างกายเด็กหญิงพลันเปลี่ยนสีหน้า เขารีบลุกขึ้นคำนับรอบข้าง “เด็กไม่รู้ตาสีตาสา หวังว่าทุกท่านจะไม่ถือสา”
“หยุดนะ!”
ทันใดนั้น ชายร่างสูงในชุดดำผู้หนึ่งพลันปรากฏขึ้น ขวางหน้าประตูโรงเตี๊ยม สองมือกอดอก สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก
ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาหนาวเยือกในใจ พลางกล่าวเสียงสั่น “ผู้อาวุโส… นี่หมายความเช่นไร?”
เด็กหญิงรู้สึกกลัวอย่างเห็นได้ชัด นางมุดหน้าลงที่อกของชายวัยกลางคนชุดเทา สีหน้าตระหนกกลัว
ชายชุดดำร่างสูงหน้าเรียบเฉย ไม่กล่าวสิ่งใด
และเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นช้า ๆ ในโรงเตี๊ยม
“การไม่สั่งสอนบุตรหลานคือความผิดบิดา ลูกสาวเจ้าพูดดูหมิ่นใต้เท้าผีหมัว เจ้าผู้เป็นพ่อย่อมไม่อาจหลบหนีความผิดได้”
ทุกคนหันมองอย่างไม่รู้ตัว และพบว่าเป็นชายหนุ่มในชุดสีเงินผู้หนึ่งปริปากพูด
เขานั่งเดียวดายที่โต๊ะอาหาร สวมมงกุฎหยก รูปลักษณ์หล่อเหลา ท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย ขณะดื่มกับตนเองอย่างเงียบงัน
ทันใดนั้น สีหน้าของคนบางผู้ก็เปลี่ยนแปรอย่างมหันต์ พวกเขาจะได้ว่าชายหนุ่มชุดสีเงินผู้นี้เป็นศิษย์ของสำนักลานดาบทะยาน!
“คู่พ่อลูกคู่นั้นแย่แน่!”
ในชั่วขณะนั้น คนมากมายล้วนมองคู่พ่อลูกอย่างสงสาร
ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาตระหนักแล้วว่าเป็นเรื่องร้ายแรง เขาจึงรีบหันกลับมาและบังร่างเด็กหญิงไว้เบื้องหลัง
จากนั้นเขาก็ก้มหัวคำนับต่ำ ๆ ให้แก่ชายหนุ่มชุดสีเงิน ขณะกล่าวอย่างลนลาน “ลูกข้ายังเด็ก นางไม่เข้าใจโลกหล้า หวังว่าท่านจะไม่ถือสา!”
เสียงของเขาสั่นเทา
ชายหนุ่มชุดสีเงินดื่มสุราหนึ่งจอก พลางกล่าวโดยไม่เหลือบมอง “ถึงอย่างไรเสียนางก็หนีโทษไม่ได้อยู่ดี เจ้าตัดลิ้นนางเสีย แล้วเรื่องนี้ก็จะพออภัยได้”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว บรรยากาศในโรงเตี๊ยมก็เงียบสนิท
ชายวัยกลางคนในชุดเทาตะลึงราวถูกฟ้าผ่า เขาคุกเข่าลงดังโครม ขณะเอ่ยอ้อนวอนไม่รู้จบ
เด็กหญิงยืนตัวสั่น สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง
นางดูจะไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดวาจาประโยคเดียวของนางจึงก่อหายนะได้เช่นนี้ กระทั่งบิดานางยังต้องคุกเข่าขอความเมตตา!
สำนักลานดาบทะยานอยู่ห่างจากเมืองต้นหลิวยะเยือกนี้เพียงสามร้อยลี้! มันไม่ใช่การกล่าวเกินไปหากจะบอกว่าเมืองต้นหลิวยะเยือกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสำนักลานดาบทะยาน
ยามนี้ ใครเล่าจะกล้าเข้ามายุ่งเรื่องนี้?
“อาหย่ง มาช่วยเขาหน่อยสิ”
ชายหนุ่มชุดสีเงินขมวดคิ้วน้อย ๆ อย่างหมดความอดทน
“ขอรับ!”
ชายชุดดำร่างสูงซึ่งขวางประตูโรงเตี๊ยมอยู่พยักหน้าและก้าวออกมา
เขายกร่างของเด็กหญิงขึ้นด้วยสีหน้าเฉยเมย
“อย่านะ! อย่าแตะต้องลูกสาวข้า!”
ชายวัยกลางคนในชุดเทาพลันลุกขึ้นจากพื้น คว้าแขนเสื้อชายชุดดำราวคนบ้าใกล้สติแตก เอ่ยวอนขอความเมตตา “ขอร้อง! ได้โปรดเถอะ!”
“ไปให้พ้น!”
“พ่อจ๋า!”
เด็กหญิงร้องอย่างกระวนกระวาย ร่างบอบบางของนางดิ้นรน
“ยายหนู นี่เรียกว่าผลกรรมนะ ครั้งนี้คุณชายข้าเมตตา ตัดเพียงลิ้นเจ้า หากเป็นภายหน้า ชีวิตเจ้าจะหาไม่!”
ชายชุดดำกล่าว มือและนิ้วพลันเกร็งคมกริบ เตรียมลงมือ
“อย่านะ!!”
ชายวัยกลางคนชุดเทาซึ่งอยู่ไม่ไกลนักตะโกนลั่น ดวงตาแทบถลน
ทันใดนั้น เสียงเฉยเมยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เป็นผู้ฝึกตน แต่กลับรังแกเด็กไร้ทางสู้ นี่หรือคือวิถีทางของสำนักลานดาบทะยาน?”
ทันทีที่วาจาถูกเปล่ง ร่างของชายชุดดำพลันแข็งทื่อ ไม่อาจกระดิกกระเดี้ยราวถูกพันธนาการ
สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนมหันต์ เห็นร่างสูงร่างหนึ่งปรากฏขึ้นข้างกายนับแต่ยามใดไม่ทราบ คนคนนั้นยกมือขึ้นและอุ้มเด็กหญิงออกไปอย่างนุ่มนวล
ทุกคนในโรงเตี๊ยมต่างตกตะลึง คนผู้นี้เป็นใคร ไม่กลัวตายหรือไร!?
เหลือเพียงเถ้า!
ผู้เห็นเหตุการณ์ต่างตะลึงเงียบสงัด ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเพียงไรที่ตื่นตะลึงจนเหงื่อแตกพลั่ก
ยอดฝีมือผู้หนึ่งจากสำนักลานดาบทะยานถูกทำลายเหลือแต่เถ้าโดยไร้ร่องรอย!
หน้าโต๊ะกินข้าวที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ชายหนุ่มชุดสีเงินพลันผุดลุก เขาเองก็ตกใจ สีหน้ามืดหมองไม่แน่ใจ ไม่ได้สงบเงียบอย่างแต่ก่อนแล้ว
“สหายเต๋า เจ้าคิดเป็นศัตรูกับสำนักลานดาบทะยานของเราหรือไร?”
ชายหนุ่มชุดสีเงินถามอย่างเย็นชา
ซูอี้ไม่แม้แต่จะคิดพูดพล่ามกับปลาซิวปลาสร้อยผู้นี้ เขาทำเพียงดีดนิ้ว
ตู้ม!
ร่างของชายหนุ่มชุดสีเงินระเบิดแหลก แปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านลอยหาย ไร้อำนาจต่อกรโดยสิ้นเชิง
จากนั้นซูอี้ก็วางร่างเด็กหญิงลงบนพื้น ลูบหัวน้อย ๆ ของนาง “ไปหาพ่อเจ้าสิ”
“อย่ากลัวลูก ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้วนะ!”
ชายวัยกลางคนชุดเทากอดบุตรสาวของเขาไว้แน่น เสียงของเขาละล่ำละลักฟังไม่ได้ศัพท์
ภาพนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกละอาย
“สหายเต๋า อภัยให้ด้วยที่กล่าวไม่เข้าหู แต่เจ้าไม่น่าฆ่าคนเมื่อครู่เลย”
ทันใดนั้น เจ้าของโรงเตี๊ยมก็อดกล่าวขึ้นไม่ได้
ซูอี้แค่นเสียงหึ “เจ้าไม่คิดว่าสองคนเมื่อครู่สมควรตายหรือไร?”
เจ้าของโรงเตี๊ยมรีบส่ายหัวกล่าว “ไม่หรอก แต่เมืองต้นหลิวยะเยือกนี้อยู่ในขอบเขตอิทธิพลของสำนักลานดาบทะยาน สหาย เจ้าช่วยพ่อลูกคู่นี้ได้เพียงชั่วคราว แต่หลังเจ้าจากไป ขอเพียงสำนักลานดาบทะยานตรวจสอบพบ ชะตาพ่อลูกคู่นี้ก็จะย่ำแย่แน่แท้”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว คนมากมายก็พยักหน้า
นี่คือความเป็นจริง ต่อให้พวกเขาไม่สบายใจกับการกระทำของชายหนุ่มชุดสีเงินก็ตามที แต่พวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้
ทว่าซูอี้กลับเสสรวลกล่าว “เอาเถอะ ข้าจะพูดอีกอย่างแล้วกัน จากคืนนี้ไป สำนักลานดาบทะยานจะพังทลายแล้วล่ะ”
ยามนั้นเอง ที่ทางเข้าโรงเตี๊ยม มีร่างผอมบางร่างหนึ่งเดินเข้ามา
เขาสวมอาภรณ์หยก ผมยาวสีเทาสยายยาวถึงเอว ร่างของเขายืนตรง ดูองอาจหล่อเหลาเยี่ยงชายหนุ่ม
ยามเขาปรากฏกาย อำนาจร้ายกาจอันมิอาจมองเห็นแผ่ออกมา จนคนทุกผู้ในโรงเตี๊ยมล้วนตัวสั่นหน้าซีด
จักรพรรดิผู้หนึ่ง!!
สำหรับทุกคนในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ตัวตนของจักรพรรดิไม่ต่างจากเทพบนแดนสรวง!
ยามนี้ แม้ว่าชายหนุ่มผมสีเทาจะไม่เคยสำแดงอำนาจใด ๆ แต่ปราณบนร่างของเขาก็ยังทำให้ผู้อื่นรู้สึกหนาวเหน็บยากหายใจราวติดในถ้ำน้ำแข็งอยู่ดี
หรือผู้มีอำนาจในสำนักลานดาบทะยานจะทราบเรื่องแล้ว?
เขามาเร็วไปหน่อยหรือไม่?
คู่พ่อลูกยิ่งหวาดกลัวจนตัวสั่นหนักขึ้นอีก
ทุกคนต่างตะลึงงัน ‘นี่มันเรื่องอันใด?’
“ไปกันเถิด”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ แล้วเดินออกไปจากโรงเตี๊ยม
เขาคือเย่ลั่ว!
หลังจากมาถึงเมืองต้นหลิวยะเยือกเมื่อวานนี้ ซูอี้ได้ใช้ยันต์ลับติดต่อเย่ลั่ว และตกลงพบกันที่โรงเตี๊ยมนี้
ยามนี้เมื่อเย่ลั่วมาถึง ซูอี้ย่อมคร้านเกินกว่าจะอยู่ต่อ
เย่ลั่วรีบร้อนไปยืนเบื้องหลังซูอี้
จนกระทั่งร่างทั้งสองหายลับไป ทุกคนในโรงเตี๊ยมก็ยังตะลึงจนไม่อาจฟื้นสติได้อยู่นาน
จักรพรรดิผู้หนึ่งเรียกเขาอย่างนอบน้อมว่าอาจารย์ ชายหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นควรเป็นตัวตนสูงส่งใด?
“ผู้อาวุโสท่านนั้นเคยกล่าวว่าจากคืนนี้ไป สำนักลานดาบทะยานจะพังทลาย… ไม่แน่ใจว่ามันอาจจะเป็นจริงก็ได้…”
รัตติกาลมืดมิด สายลมหวีดหวิว
คนเดินถนนทั่วตรอกซอยแห่งเมืองต้นหลิวยะเยือกก้าวเท้ายาวว่องไว ดูบางตาและแร้นแค้น
สองศิษย์อาจารย์ ซูอี้และเย่ลั่วเดินข้างกันออกจากเมือง
“อาจารย์ ท่านได้ยินข่าวที่เกิดในมหาแดนดินช่วงนี้หรือไม่ขอรับ?”
เย่ลั่วอดถามไม่ได้
“หากเจ้าพูดถึงเรื่องที่ผีหมัวถือข้าเป็นศัตรูสาธารณะล่ะก็ ไม่ต้องพูดซ้ำก็ได้”
ซูอี้ตอบเนิบ ๆ
เย่ลั่วตะลึงไปชั่วขณะ แล้วพยักหน้า
จากนั้นซูอี้ก็ถามขึ้นว่า “มีข่าวคราวใดเกี่ยวกับสิ่งที่ข้าถามหรือไม่?”
ยามที่พวกเขาแยกกันในภูมิมืดมิด ซูอี้ได้ให้เย่ลั่วออกถามไถ่เกี่ยวกับศิษย์ลำดับห้าหวังเชวี่ย และศิษย์ลำดับแปดไป๋อี้หลังกลับสู่เก้ามหาแดนดิน
เย่ลั่วรีบกล่าว “ศิษย์ผู้นี้กำลังจะรายงานเรื่องนี้เลยขอรับ ไม่นานนี้ ข้าพบเบาะแสบางอย่างจากตระกูลหวังแห่งแคว้นกลาง เบาะแสเหล่านี้สอดคล้องกับการคาดเดาของอาจารย์ ว่าศิษย์น้อยหวังเชวี่ย… น่าจะไม่ได้ตายขอรับ!”
ซูอี้ใจชื้นขึ้น ก่อนที่เขาจะกล่าวเสียงเบา “ข้าว่าแล้วเชียว หวังเชวี่ยเกิดมาพร้อม ‘ร่างเบญจคุณ’ มีโชคอนันต์และชะตาไม่ธรรมดา ไฉนเขาจึงตายไปง่าย ๆ ได้?”