บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1067: ไร้ความกลัว?
………………..
ตอนที่ 1067: ไร้ความกลัว?
หวังเชวี่ย
เป็นศิษย์ลำดับที่ห้าใต้บัญชาของซูอี้ บุคคลผู้เกิดมาเพื่อเดินบนวิถีแห่งดาบ เขาเป็นคนใจกว้างเป็นอิสระ
ในหมู่ศิษย์ ตัวตนของหวังเชวี่ยนั้นพิเศษเอาการ เขาเป็นทายาทสายตรงแห่ง ‘ตระกูลหวังแห่งแคว้นจง’ หนึ่งในตระกูลใหญ่อันเก่าแก่ที่สุดในมหาแดนดิน
ในคราก่อน หวังเชวี่ยผู้อายุเพียงสิบสามตรงปรี่มายังทวารบรรพตสวรรค์แห่งถ้ำเสวียนจวินด้วยตัวคนเดียว และเลือกบททดสอบอันโหดร้ายดุเดือดที่สุดอย่าง ‘หลอมจิตพิสูจน์ดาบ’!
เขาติดอยู่ในบททดสอบ ‘หลอมจิตพิสูจน์ดาบ’ เก้าชั้นเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ก่อนที่ในที่สุด หวังเชวี่ยก็สามารถก้าวเข้าสู่ถ้ำเสวียนจวินได้ด้วยร่างโชกเลือด
ซูอี้ยังจำได้ว่าเด็กน้อยผู้นี้กล่าวกับเขาเช่นไรยามพบกันครั้งแรก
“ผู้อาวุโส ข้าต้องการเรียนวิชาดาบ สุดยอดวิชาดาบอันเลิศล้ำที่สุดแห่งโลกหล้า!”
ยามพูดเช่นนี้ ดวงตาของเด็กหนุ่มวัยสิบสามทอประกายเจิดจรัสราวดวงดาว
นับแต่ยามนั้นมา หวังเชวี่ยก็กลายเป็นศิษย์ลำดับที่ห้าของซูอี้
ทว่าไม่นานหลังการเวียนวัฏของซูอี้ ข่าวร้ายของหวังเชวี่ยก็ปรากฏ กล่าวว่าเขาได้ตายลงในหุบเขาแสนปีศาจ และโคมชะตาวิญญาณในตระกูลของเขาก็ดับมอดลง
เมื่อซูอี้ได้ยินข่าวนี้ในภูมิมืดมิด เขาก็เงียบไปแสนนาน
ทว่าเขาไม่เชื่อ ว่าการดับลงของโคมชะตาวิญญาณจะหมายถึงการตายของหวังเชวี่ย เขาจึงสั่งให้เย่ลั่วตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้ง
และจริงดังว่า สถานการณ์พลิกผัน
“ตลอดมานี้ ตระกูลหวังแห่งแคว้นจงไม่ได้ถอดใจ พวกเขาสืบความจริงเกี่ยวกับการหายตัวไปอย่างลึกลับของศิษย์พี่หวังเชวี่ยมาโดยตลอด และไม่นานมานี้ ตัวตนบรรพกาลผู้หนึ่งจากตระกูลหวังแห่งแคว้นจงกลับมาจากห้วงลึกของหุบเขาแสนปีศาจ และนำข่าวหนึ่งกลับมาแจ้งว่าศิษย์พี่หวังเชวี่ยน่าจะถูก ‘จักรพรรดิปีศาจกระทิงเขียว’ จับตัวไปขอรับ!”
เย่ลั่วอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
จักรพรรดิปีศาจกระทิงเขียว?
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกคุ้นฉายานี้หน่อย ๆ จึงอดถามไม่ได้ว่า “หรือจะเป็นปีศาจกระทิงเขียวที่อยู่ใน ‘ถ้ำอัคนีเมฆา’ กัน?”
“น่าจะเป็นปีศาจกระทิงตนนั้นขอรับ”
เย่ลั่วพยักหน้า
“แปลก ก่อนหน้านี้ข้าเคยไปหุบเขาแสนปีศาจมาก่อน ยามนั้น ปีศาจกระทิงเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งใน ‘เก้าจักรพรรดิปีศาจ’ แห่งหุบเขาแสนปีศาจ แต่การฝึกฝนของเขาอยู่เพียงขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นกลางเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่น่าแข็งแกร่งได้เพียงนี้”
ซูอี้กล่าวอย่างงุนงงเล็กน้อย “ด้วยวิถีเต๋าของหวังเชวี่ย เขาสามารถปราบปีศาจกระทิงนี้ได้ง่าย ๆ ไฉนจึงเป็นฝ่ายถูกจับตัวเสียได้?”
เย่ลั่วกล่าว “ผู้อาวุโสจากตระกูลหวังแห่งแคว้นจงเองก็รู้สึกแปลกใจเช่นกันขอรับ ยามนี้ยอดฝีมือผู้หนึ่งถูกส่งตัวไปยังหุบเขาแสนปีศาจด้วยตนเองแล้วขอรับ”
ซูอี้เลิกคิ้วกล่าว “ข้าเพิ่งกลับมายังมหาแดนดิน ข่าวการมีชีวิตของ ‘หวังเชวี่ย’ ก็มาจากในหุบเขาแสนปีศาจทันที มันบังเอิญไปหน่อยนะ”
ดวงตาของเย่ลั่วหรี่ลงเล็กน้อย และกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ท่านสงสัยว่ามีผู้จงใจปล่อยข่าวหรือขอรับ?”
“ข่าวของหวังเชวี่ยออกมาเมื่อใด?” ซูอี้ถาม
เย่ลั่วครุ่นคิดชั่วขณะ และกล่าวว่า “น่าจะเป็นเมื่อครึ่งเดือนก่อนขอรับ”
ดวงตาลึกล้ำของซูอี้ฉายประกายเย็นชา “ยามนั้น ผีหมัวเพิ่งประกาศสู่โลกหล้าให้ข้าเป็นศัตรูสาธารณะ และไม่นานหลังจากนั้น ข่าวของหวังเชวี่ยก็ออกตามมา บังเอิญจริงแท้”
เย่ลั่วกล่าวอย่างตกตะลึง “นี่เป็นแผนของผีหมัวหรือขอรับ!?”
“เป็นไปได้”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ด้วยความละเอียดรอบคอบของผีหมัว เขาคงคิดไว้แล้วว่ายามกลับสู่มหาแดนดิน ข้าต้องถามไถ่เรื่องของศิษย์พี่น้องเจ้าแน่แท้ และเพราะเช่นนั้น การปล่อยข่าวหวังเชวี่ยก็เหมือนโยนเหยื่อที่จะดึงความสนใจของข้าได้แน่นอน”
สีหน้าของเย่ลั่วบูดบึ้งเล็กน้อย “การเอาชีวิตศิษย์พี่หวังเชวี่ยมาล้อเล่น ไม่มากไปหน่อยหรือ!”
“เราไปสำนักลานดาบทะยานกันก่อนเถอะ และจากนั้น เราจะตรงไปสู่หุบเขาแสนปีศาจ”
ซูอี้ตัดสินใจ
จากนั้นเย่ลั่วก็กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่ออาจารย์เดาได้แล้วว่านี่เป็นกับดัก ไฉนจึงยังเสี่ยงอีกล่ะขอรับ?”
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องช่วยศิษย์พี่ห้าของเจ้าให้ได้”
จากนั้นซูอี้ก็ก้าวยาว ๆ ขึ้นไปบนอากาศ
เย่ลั่วตะลึง คลื่นในหัวใจซัดสาดรุนแรง อาจารย์ยังคงเหมือนก่อนไม่มีผิด เขาจะทำทุกสิ่งเพื่อศิษย์ของตนเองโดยไม่ยั้งมือ!
เย่ลั่วตามไปทันทีโดยไม่คิดมากไปกว่านั้น
เขาวิญญาณครองนภา
สถานที่ตั้งของสำนักลานดาบทะยาน
นภารัตติกาลดุจผืนม่าน แต่งแต้มจันทรดาราพร่างพราย
ในโถงแห่งหนึ่ง เจ้าสำนักลานดาบทะยาน ‘หงซานเฟิง’ กำลังเดินขวักไขว่ไปมา
ร่างอันสูงสง่าของเขาอยู่ในชุดสีแดง
ทว่ายามนี้ คิ้วบนใบหน้าของเขาขมวดมุ่น
ฮือ~
สายลมรัตติกาลเย็นเยียบพัดพลิ้วเข้ามาในโถง เสียงฟังดูราวร่ำไห้
“ลมวันนี้น่ารำคาญจริง!”
หงซานเฟิงขมวดคิ้ว
“ไม่ใช่เพราะสายลมน่ารำคาญหรอก หัวใจของเจ้าสำนักต่างหากที่หงุดหงิดอยู่”
ไม่ไกลจากที่นั่งนัก ชายชราร่างผอมผู้หนึ่งอดส่ายหัวไม่ได้ “ท้ายที่สุดก็คือ เจ้าสำนักเป็นกังวลมากเกินไป”
หงซานเฟิงพลันชะงักและกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าจะไม่กังวลได้เช่นไร? เจ้าคนนามซูอี้นั่นน่าจะเป็นร่างเวียนวัฏของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินน่ะสิ!”
ชายชราร่างผอมหรี่ตาลง ทว่าท้ายที่สุดก็แย้มยิ้ม “ผีหมัวในกาลก่อนคือศิษย์เอกของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน ในเมื่อเขาบอกว่าซูอี้แสร้งทำเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน เช่นนั้นย่อมไม่ผิดแน่แท้”
ดวงตาของหงซานเฟิงวูบไหว แล้วเขาก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา “ผีหมัวหรือจะกล้ายอมรับ? พันธมิตรเสวียนจวินตั้งขึ้นใต้นามปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน หากเขายอมรับว่าซูอี้คืออาจารย์เขา แล้วเขาจะวางตัวเช่นไร? พันธมิตรเสวียนจวินจะวางตัวเช่นไร?”
หลังจากชะงักไป เขาก็กล่าวอย่างเป็นกังวล “นอกจากนั้น ซูอี้ยังสังหารฮั่วเหยา และปราบเย่ลั่วลงได้ หากเขาไม่ใช่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน ไฉนเขาต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกับพันธมิตรเสวียนจวินด้วย?”
ชายชราร่างผอมกล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าสำนัก ท่านคิดมากไปแล้วจริง ๆ ไม่นานนี้ ผีหมัวส่งจดหมายลับมาบอกเราว่า เราก็แค่อยู่ให้พ้นทาง มองเรื่องราวอย่างเย็นชา เขามีวิธีกำจัดปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินตัวปลอมในแบบของเขา นี่ยังหมายความว่าต่อให้นภาถล่มลง ขอเพียงมีผีหมัว เราก็ไม่ต้องห่วงอันใดแล้ว”
หลังจากเว้นช่วงชั่วครู่ เขาก็ยิ้มเยาะ “นอกจากนั้น แม้ซูอี้จะเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินจริง ๆ แต่ก็เป็นเพียงร่างเวียนวัฏไม่ใช่หรือ? หากเขามีวิถีเต๋าแข็งแกร่งสมบูรณ์พร้อมเยี่ยงอดีตชาติ เขาคงบุกมหาแดนดิน ยึดถ้ำเสวียนจวินกลับมาโดยเร็วที่สุดไปแล้ว! สิ่งที่เราต้องเป็นกังวลอย่างแท้จริงคือผีหมัวต่างหาก!”
“แต่เจ้าสำนักก็เห็นแล้ว ว่าผีหมัวประกาศสงคราม! นี่ย่อมหมายความว่าเขาเตรียมตัวพร้อมสรรพเพื่อชัยชนะ!”
กล่าวจบ ชายชราร่างผอมก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างสบายใจ “ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ สำนักลานดาบทะยานของเราไฉนต้องกังวล? แค่ดูเรื่องสนุกก็พอแล้ว”
หงซานเฟิงตะลึงไป จากนั้นก็ถอนหายใจยาวพลางหัวเราะให้ตนเอง “อาจารย์อาพูดถูก ข้าแตกตื่นไปจริง ๆ กาลก่อน ทั่วโลกหล้ารู้ว่าสำนักลานดาบทะยานของเราติดตามผีหมัวเข้าไปในถ้ำเสวียนจวิน เมื่อข้าคิดย้อนถึงมันในช่วงนี้ ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจมาตลอด เพราะว่า… ซูเสวียนจวินน่ากลัวเกินไป…”
เจ้าสำนักผู้ทรงเกียรติน่าเกรงขาม ยามนี้เผยความกลัวของตนออกมา!
ชายชราร่างผอมไม่ได้กล่าวเยาะเย้ย
ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเมื่อกาลก่อนนั้นแข็งแกร่งจริงแท้ หนึ่งคนหนึ่งดาบปราบทั่วสวรรค์ ไม่ละเว้นผู้ใดที่กล้าหยามเกียรติเขา
กระทั่งกลุ่มเต๋าสูงสุดแห่งโลกหล้า เมื่ออยู่ต่อหน้าซูเสวียนจวินแล้วก็ทำได้เพียงก้มหัว ไม่กล้ากระทำผิดพลาด!
ใครเล่าจะไม่กลัวตัวตนร้ายกาจเช่นนี้?
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ชายชราร่างผอมก็กล่าวทีละคำอย่างสุขุม “ซูเสวียนจวินที่เรารู้จักจากไปนานแล้ว แล้วจะไม่ปรากฏในโลกหล้าอีก ต่อให้เขาเวียนวัฏสงสาร เขาก็ไม่ใช่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินอีกต่อไป และเราก็ไม่ต้องกลัวเลยสักนิด!”
วาจานั้นกล่าวขึ้นทั้งสำหรับหงซานเฟิงและตัวเขาเอง
ทันใดนั้น เสียงหวีดหวิวของสายลมนอกโถงพลันหยุดลง
จากนั้น เสียงเฉยเมยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นนอกโถง “จริงหรือ งั้นข้าก็อยากเห็นเสียจริงว่าเจ้าจะ… ไร้ความกลัวจริงหรือไม่”
เพียงหนึ่งวาจาเรียบเรื่อย พวกหงซานเฟิงต่างตะลึงอึ้ง และพลันจ้องออกไปที่นอกโถงโดยพร้อมเพรียง
สีหน้าของพวกเขาจริงจังขึ้นมา
ที่นี่คือถิ่นของสำนักลานดาบทะยาน ทั้งนอกและในสำนักล้วนปกคลุมด้วยค่ายกลโบราณมากมาย เพียงพอจะล้อมสังหารตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้!
ทว่ายามนี้ กลับมีผู้สามารถปรากฏตัวอย่างไร้เสียงอยู่นอกโถงหลักได้ หงซานเฟิงและชายชราร่างผอมจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
ทว่าพวกเขาทั้งสองก็คุ้นชินกับการผันเปลี่ยนของโลกหล้าอยู่แล้ว คนทั้งสองจึงไม่ได้ลนลานและระวังตัวแต่แรก
รัตติกาลราบเรียบดุจผืนน้ำ สี่ทิศเงียบสงัด
ภายใต้สายตาพวกหงซานเฟิง สองร่างเดินตามกันเข้ามาในโถง
ผู้นำคือชายหนุ่มร่างสูงในชุดเขียว สองมือของเขาไพล่หลัง กิริยาลอยชายราวเดินอยู่ในถิ่นตนเอง
เบื้องหลังเขาคือชายหนุ่มผมสีเทาร่างผอม
เมื่อเห็นคนผู้นี้ ม่านตาของทั้งหงซานเฟิงและชายชราร่างผอมล้วนหดตัว
“สหายเต๋าเย่ลั่ว!?”
หงซานเฟิงดูไม่อยากเชื่อ
สีหน้าของชายชราร่างผอมแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “ลือกันว่าเจ้าถูกซูอี้ล้างสมองกลายเป็นลูกสมุน หรือ… เขาคือซูอี้ผู้นั้น!?”
ขณะกล่าว เขาก็จับจ้องซูอี้ด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
หงซานเฟิงเองก็สูดหายใจเฮือก สีหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ และอดหันไปมองซูอี้ไม่ได้
ในชั่วขณะนั้น เขาก็รู้สึกอย่างเลือนรางในใจ ‘คนผู้นี้… หรือจะเป็นการเวียนวัฏของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินจริง ๆ?’
เย่ลั่วแค่นเสียงอย่างเย็นชา “หากในสายตาของพวกเจ้า ความเคารพต่ออาจารย์ของข้าเย่ลั่วคือการถูกล้างสมอง งั้นก็เป็นเช่นนั้นแหละ!”
อาจารย์!
ยามหงซานเฟิงได้ยินเย่ลั่วกล่าวคำเรียกเช่นนั้น หัวใจของเขาก็ร่วงถึงก้นเหว มือเท้าเย็นเฉียบ เรื่องที่แย่ที่สุดเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ หรือ?
“โอ้ การมองไอ้หนูผู้แสร้งสวมรอยปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเป็นอาจารย์ เจ้าเย่ลั่วนี่ตาบอด น่าสงสารและน่าขำโดยแท้!”
ทันใดนั้น ชายชราร่างผอมก็สงบลง “ข้าให้โอกาสเจ้า ไปเสียเดี๋ยวนี้ แล้วเราจะถือว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นก็ย่อมได้ ข้าไม่ต้องการเข้าไปยุ่งกับปลักโคลนนี้ ทว่าหากเจ้าไม่ยอมทำตัวว่าง่าย ก็อย่าหาว่าข้าเสียมารยาทแล้วกัน!”
เย่ลั่วขมวดคิ้ว เหมือนจะพูดบางอย่าง
ซูอี้โบกมือ “เรามาที่นี่เพื่อคิดบัญชีเก่า ไม่ใช่พูดพล่ามมากความ เจ้าไปยืนดูข้าง ๆ ให้ข้าจัดการทุกสิ่งเถอะ”
หัวใจของเย่ลั่วเย็นวาบ รู้ว่าอาจารย์ตนจะระเบิดจิตสังหารชำระแค้นในวันนี้!
“ขอรับ!”
เขาพยักหน้าทันทีและไปยืนรออยู่ที่ด้านข้างโถง
กิริยาของซูอี้ทำให้เจ้าสำนักอย่างหงซานเฟิงประหวั่นพรั่นพรึง
“เจ้าสำนักอย่าตื่นกลัวไป คนผู้นี้มีระดับฝึกฝนเพียงขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำเท่านั้น หากเขากล้าทำสิ่งใดในถิ่นเราจริง ก็ไม่ต่างจากขว้างไข่ใส่ศิลาเลย”
ชายชราร่างผอมกล่าวเสียงห้วนสั้น
ซูอี้เหลือบมองเขา “งั้นเริ่มจากเจ้าก่อน”
วาจาเยือกเย็นยังไม่ทันสร่าง ซูอี้ก็ลงมือแล้ว!
………………..