บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1068: บังเอิญผ่านมา
ตอนที่ 1068: บังเอิญผ่านมา
เคร้ง!
วจีดาบสาดซัดดุจคลื่นพลันก้องขึ้นในโถงกว้างอันเงียบงัน
ดาบเงากระจ่างปรากฏบนมือขวาของซูอี้ ฉายประกายดุจแสงจันทร์จากสรวงกลางราตรี แทงไปในอากาศตามแรงบิดข้อมือ
สุญญะพลันฉีกออกเป็นรอยร้าว จากนั้นปราณดาบอันดุร้ายไร้ใดเทียบก็ระเบิดออกราวคลื่นแสงอันทิ่มแทง สาดส่องทั่วทั้งโถง
หัวใจชายชราร่างผอมเย็นวาบ
ในฐานะตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นปลายแห่งสำนักลานดาบทะยาน เขาเคยประสบกับศึกนองเลือดชี้เป็นชี้ตายมามากมายตลอดชีวิต ยามดาบนี้แทงออกมา เขาก็เห็นความอันตรายทันที!
เขาไม่ได้ใส่ใจคิดแม้แต่น้อย จากนั้นพลันตวาดลั่น แสงสีทองเจิดจ้าฉายออกจากร่างของเขา และอำนาจกฎเกณฑ์อันน่าสะพรึงกลัวถล่มนภาเคลื่อนปฐพีก็ทะลักออกมาจากร่างเขา
“ออกมา!”
แขนเสื้อของชายชราร่างผอมโบกสะบัด ดาบวิถีสีทองเล่มหนึ่งพุ่งสู่เวหา
ตู้ม!
เหนือดาบวิถีเล่มนั้นปรากฏคลื่นทำลายล้างน่าตกใจดุจดวงตะวันพุ่งลงมา
เคร้ง!!!
เสียงระเบิดกึกก้อง คลื่นมหาวิถีรุนแรงแผ่กระจาย
ร่างของชายชราราวกับถูกขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ฟาดใส่ เขาก้าวถอยหลังไปเก้าก้าวอย่างไม่อาจควบคุม ใบหน้าตอบซูบซีดขาว โถงสะท้านรุนแรง
เมื่อตั้งหลักได้ ทั้งที่นั่งและอุปกรณ์ตกแต่งโถงล้วนถูกคลื่นทำลายล้างป่นเป็นผงจนสิ้น
และดาบทองก็ถูกปัดกระเด็นด้วยแรงลูกหลง ปักเข้าไปในผนังสุดโถง มันกรีดร้องเสียงแหลมสูงและสั่นระริกรุนแรง!
หนึ่งดาบอันดูเรียบง่ายส่งสัตว์ประหลาดเฒ่าในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเซถอยไปเก้าก้าว และดาบวิถีปลิวกระเด็นไป!
อำนาจร้ายกาจนี้ทำให้หงซานเฟิงสะท้านสั่นทั้งกายใจ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์
“แค่ใช้คัมภีร์ดาบหมื่นทิศมาสู้ก็โง่เหลือจะโง่แล้ว… นี่คือมรดกวิชาดาบที่อาจารย์ข้าให้สำนักลานดาบทะยานเจ้าไว้นะ”
เย่ลั่วรำพึง
เมื่อนานมาแล้ว สำนักลานดาบทะยานเป็นเพียงสำนักไร้นาม น้อยคนจะรู้จัก และผู้ก่อตั้งสำนักลานดาบทะยานก็เป็นเพียงหนึ่งในสามสิบหกศิษย์สลักนามรอบกายอาจารย์!
และเพราะอาศัยการคุ้มครองของอาจารย์ สำนักลานดาบทะยานจึงก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในสำนักหกมหาวิถีในเก้ามหาแดนดินได้!
ทว่าหลังจากอาจารย์เวียนวัฏสงสาร สำนักลานดาบทะยานกลับตามผีหมัวบุกเข้ามาในถ้ำเสวียนจวิน และยังใส่ความอาจารย์ว่าขโมยมรดกสูงสุด ‘คัมภีร์ดาบหมื่นทิศ’ ของพวกเขาไป น่าขำเพียงใดกัน?
“เรียกคนมาเร็ว!”
ชายชราร่างผอมตะโกน
เขาดูโกรธเหลือแสน จากนั้นเจ้าตัวก็ใช้พลังมหาวิถีทั้งหมดอัดใส่ดาบวิถีสีทองซึ่งถูกดีดกระเด็นไปเพื่อดึงออกมาฆ่าซูอี้ราวสิ้นหวัง
หงซานเฟิงหรือจะกล้าประมาท แล้วเขาก็รีบใช้ระฆังวิถีทองเหลืองใบหนึ่งทันที
ทว่า ในขณะที่เขากำลังจะเรียกใช้มันนั้นเอง เสียงกระแทกดังสนั่นพลันก้องขึ้น
กระทั่งจิตวิญญาณยังถูกดาบนั้นสะบั้นจนสลาย!
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักลานดาบทะยานตายด้วยวิชาดาบของซูอี้!
ภาพอันโหดเหี้ยมนองเลือดนี้ทำให้เย่ลั่วตัวสั่น
ไม่ได้เห็นเสียนาน วิถีเต๋าของอาจารย์แข็งแกร่งกว่ายามที่อยู่ในภูมิมืดมิดมากเลย!
“อาจารย์อา!”
หงซานเฟิงร้องอย่างโศกเศร้า ดวงตาของเขาแดงฉาน
เจ้าสำนักลานดาบทะยานสิ้นสติสิ้นเชิง ก่อนที่เขาจะตีระฆังทองเหลืองในมืออย่างแรง
เคร้ง!!!
เสียงระฆังดังกังวานไกล สะท้อนทั่วสำนักลานดาบทะยาน
ซูอี้ถือดาบนิ่งในหนึ่งมือ และไม่ได้หยุดเขาไว้ ชายหนุ่มยืนสงบนิ่งที่เดิมแต่ต้นจนจบ
นับแต่อยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลาง การสังหารตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำก็ไม่ได้ยากสำหรับเขาอีกต่อไป
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเพิ่งขัดเกลาปราณมารดาฟ้าดินมาไม่นานนี้ และการฝึกฝนของเขาก็เลื่อนสู่ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นปลาย วิถีเต๋าของเขาก็แปรเปลี่ยนอย่างน่าอัศจรรย์มากเช่นกัน
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร พวกเจ้าทั้งหมดต้องตายวันนี้แหละ!”
หงซานเฟิงคำรามอย่างดุร้าย
ทว่า ขณะกล่าวเขากลับลี้หลบไปไกล ใช้สารพัดสมบัติคุ้มกันรอบกาย และไม่ได้กล้าเข้ามาต่อสู้กับซูอี้
สิ่งนี้ทำให้เย่ลั่วรู้สึกดูถูกอีกฝ่าย ‘คนผู้นี้เหมาะสมแล้วหรือที่เป็นเจ้าสำนักอันทรงเกียรติแห่งสำนักลานดาบทะยาน?’
ไม่นานนัก เสียงก็ดังสนั่นมาจากข้างนอกห้องโถง ตามมาด้วยเสียงพุ่งทะยานแหวกอากาศมาที่นี่
“หนูที่ไหนกล้าบุกเข้ามาฆ่าคนในสำนักลานดาบทะยานของข้า?!”
เสียงตะโกนลึกล้ำเสียงหนึ่งดังขึ้น ตามด้วยเสียงคำรามของสุญญะ และชายชราร่างสูงในชุดนักพรตเต๋าผู้หนึ่งก็พุ่งเข้ามาในโถง
ส่วนเบื้องหลังของเขามีกลุ่มชายหญิงเดินตามมา ทุกคนล้วนเปี่ยมด้วยจิตสังหารอันน่าเกรงขาม
ผู้ที่อ่อนแอที่สุดมีวิถีเต๋าในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ และชายชราในชุดนักพรตเต๋านั้นเป็นตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นปลาย อำนาจน่าหวาดหวั่น!
เมื่อเห็นภาพที่เกิดในโถง สายตาของพวกชายชราชุดนักพรตเต๋าก็จับจ้องที่ซูอี้และเย่ลั่วทันที
จิตสังหารร้ายกาจคุกรุ่นในโถง
หงซานเฟิงซึ่งอยู่ในโถงใจชื้นขึ้น เขาไม่ห่วงอันใดอีกและตะโกนลั่น “เร็วเข้า ร่วมมือกันเถอะ! ฆ่าโจรสองคนนี้เสีย!”
มิต้องกล่าวเตือนเพิ่มเติม พวกเขาก็โจมตีโดยไม่ลังเล
ตู้ม!
สารพัดสมบัติเจิดจรัสทะยานสู่ฟ้า สารพัดเคล็ดวิชาอุบัติขึ้น
อำนาจที่เหล่าคนใหญ่คนโตในสำนักลานดาบทะยานสั่งสมไว้ทำให้โถงทั้งโถงถล่มสลายด้วยรับไม่ไหว
ภาพดังกล่าวร้ายกาจจริงแท้ หากเปลี่ยนเป็นจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำใด ๆ ในโลกหล้าคงไม่กล้าเผชิญกับมัน และทำได้เพียงหลบเลี่ยงเท่านั้น
จากนั้นเขาก็ตวัดคมดาบ ร่างของเขาขยับเขยื้อนในที่สุด และพุ่งทะยานตรงไป
ดาบเงากระจ่างทอแสงเปล่งประกาย แผ่ปราณดาบทรงพลังดุจกระแสธารสวรรค์ไหลหลั่งลงมา
ตู้ม!
เสียงคำรามสะเทือนแดนดินก้องรัตติกาล แสงศักดิ์สิทธิ์เฉิดฉายแพร่กระจาย ส่องสว่างทั่วทศทิศ และทั้งเขาวิญญาณครองนภาก็ยังสะเทือนสั่นรุนแรง
การโจมตีอันทรงพลังของเหล่าผู้มีอำนาจในสำนักลานดาบทะยานล้วนถูกปราณดาบอันแข็งแกร่งกวาดทิ้งไป กระทั่งร่างของพวกเขายังเซถอยหลัง
กระทั่งชายชราในชุดนักพรตเต๋าในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นปลายยังสะเทือนจากการโจมตีนี้
“นี่…”
“แข็งแกร่งยิ่ง!!”
“นี่คืออำนาจที่ตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำมีได้หรือ?”
เสียงอุทานดังสนั่น และเหล่าศิษย์จากสำนักลานดาบทะยานต่างตะลึงงัน พวกเขาตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหาโดยถ้วนทั่ว
ทว่าพวกเขาไม่มีเวลาให้ครุ่นคิด เพราะซูอี้ได้ทะยานเข้ามาพร้อมกับกวัดแกว่งดาบฆ่าฟันแล้ว
เขาก้าวสู่อากาศ อาภรณ์สะบัดโบก ดาบเงากระจ่างในมือส่งปราณดาบฉวัดเฉวียน งดงามพร่างพรายดุจนิมิตฝัน เลือนรางเช่นแสงจันทร์
หากมองจากไกล ๆ ภาพอันงดงามตระการตานี้ดูราวเซียนดาบไร้มลทินจุติสู่หล้า หนึ่งดาบสยบทั่วแดนดิน
ตู้ม!
วจีวิถีคำราม สงครามบังเกิด โลกหล้าปั่นป่วนโกลาหล
ยามนี้เอง ผู้คนจากสำนักลานดาบทะยานจึงเพิ่งตระหนักว่าคู่ต่อสู้ครานี้ร้ายกาจเพียงไร
ฉับ! ฉับ! ฉับ!
เสียงระเบิดทึบ ๆ ดังขึ้นเสียงแล้วเสียงเล่า ทุกครั้งที่ซูอี้ฟาดฟันดาบไปเบื้องหน้า หนึ่งจักรพรรดิโรยรา
ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะอยู่ ณ จุดใดของขอบเขตจักรพรรดิ ใช้สมบัติลับเช่นไร พวกเขาล้วนมิอาจเปรียบกับดาบของซูอี้ได้! แม้ยามที่พวกเขาคุกเข่าลงขอความเมตตา ซูอี้ก็ยังไม่ยั้งมือ คนทุกผู้ทำได้แต่มองจักรพรรดิผู้เรืองอำนาจถูกซูอี้ประหารอย่างง่ายดายราวหั่นกุยช่ายโดยไม่อาจช่วยเหลือใด ๆ
ท้ายที่สุด โลหิตก็ย้อมทั่วขุนเขา กลิ่นคาวคลุ้งทั่วอากาศ ชวนหนืดคออาเจียน
เพียงชั่วสามดีดนิ้ว จักรพรรดิสิบหกคนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ สองสัตว์ประหลาดเฒ่าในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นกลาง และหนึ่งขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นปลายของสำนักลานดาบทะยานล้วนถูกซูอี้ฆ่าในอึดใจ!
หงซานเฟิงที่อยู่ไกลออกไป ร่างกายพลันแข็งทื่อระคนสิ้นปัญญา
เย่ลั่วมองภาพนี้ด้วยสีหน้าสุขุมไม่ได้เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นจนจบ
ผู้คนนับไม่ถ้วนในเขาวิญญาณครองนภาล้วนมองขึ้นมาอย่างลนลาน
ขณะนั้น ท้องนภาโปรยปรายพิรุณโลหิต เทพมารกำสรวล
การตกตายของจักรพรรดิมากมายทำให้เกิดปรากฏการณ์บนฟากฟ้า ทั่วนภาโปรยพิรุณโลหิต เสียงเทพมารกำสรวลจากขุมนรกดังสะท้านสรวง ชวนขนหัวลุกเป็นพิเศษในกลางดึกคืนนี้
สิ่งนี้ไม่ได้เกิดจากเสียงคำรามแห่งฟ้าดิน แต่เป็นนิมิตอันเกิดจากกฎมหาวิถีอันพังทลายหลังการตายของจักรพรรดิซึ่งปะปนไปกับพิรุณโลหิต
หากเป็นการตายของตัวตนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ มันจะทำให้โลกหล้าร่ำไห้ มองเห็นได้จากทั่วนภาอย่างแท้จริง
เหตุเป็นเพราะอำนาจกฎเกณฑ์ของตัวตนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำนั้นคือกฎอันแข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้า ยามพังทลายจะก่อให้เกิดปรากฏการณ์บนฟากฟ้าอย่างใหญ่หลวง ซึ่งก็คือ ‘ฟ้าดินร่วมอาลัย’ ที่ว่ากัน
ซูอี้เมินเรื่องนี้ไป
เขาหันเดินไปทางหงซานเฟิงซึ่งอยู่ห่างออกไป ดาบเงากระจ่างในมือของเขาครวญวจีเล็กน้อย แล้วร่างของเขาท่ามกลางแสงสว่างดุจแสงจันทร์ก็ดูสูงส่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าเก่า
“เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่?”
หงซานเฟิงกัดฟันพูด
“ไม่ใช่ว่าเจ้าเดาได้อยู่แล้วหรือ ไฉนจึงต้องถามอีก?”
ซูอี้กระซิบ
กาลก่อนหลังเขาเวียนวัฏ เขาอยู่ในโถงอาลัยที่ชิงถังสร้างไว้ในเวลาสั้น ๆ และได้เห็นความโอหังไร้ยางอายของพวกคนจากสำนักลานดาบทะยานซึ่งนำโดยหงซานเฟิงเข้ามาในถ้ำเสวียนจวินกับตาตน
โดยเฉพาะหงซานเฟิงผู้ที่ประกาศอย่างไร้ยางอายกว่าใคร ว่าเขาซูเสวียนจวินติดหนี้ 893 ชีวิตแก่สำนักลานดาบทะยาน ขโมยคัมภีร์ดาบหมื่นทิศของสำนักเขา และจึงมาทวงหนี้ที่ถ้ำเสวียนจวิน!
ซูอี้จะลืมภาพนี้ไปได้เช่นไร?
ม่านตาของหงซานเฟิงขยายกว้าง เจ้าสำนักลานดาบทะยานเข่าอ่อน เสียจิตต่อสู้ไปโดยสมบูรณ์
ทันใดนั้น เขาก็ตะโกนราวคนบ้า “ไฉนจึงไม่ไปฆ่าผีหมัว! ไฉนต้องมารังแกสำนักลานดาบทะยานของข้าด้วย?!”
ซูอี้ส่ายหัวเล็กน้อย “ทำคุณบูชาโทษแท้ตัวข้า ข้าแค่บังเอิญผ่านมาคืนนี้ เลยมาคิดบัญชีกับสำนักลานดาบทะยานเจ้าเสีย”
“แค่… ผ่านมา!?”
เมื่อได้ยินเหตุผลนี้ อกของหงซานเฟิงก็อึดอัด ดวงตามืดหมัว รู้สึกราวได้ยินเรื่องน่าขันที่สุดในโลก!
“เราแค่ผ่านมาจริง ๆ และสำนักลานดาบทะยานก็โชคร้ายแน่แท้”
เย่ลั่วซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปนักกระซิบ
หงซานเฟิงตัวสั่นงันงก ตะโกนสุดเสียงราวสิ้นหวังสุดขีด “ผีหมัวจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไป ไม่มีทาง!!”
ซูอี้เห็นได้ว่าคนผู้นี้เสียสติไปแล้ว จึงไม่ลังเลและฟาดดาบสังหารหงซานเฟิงทันที
ฉับ!
หงซานเฟิงถูกทำลายสิ้นซาก เหลือเพียงเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งของเขาเท่านั้นที่ยังคงสะท้อนแสนนานท่ามกลางราตรี