บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 107 พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า คมดาบถึงคอ
หยวนลั่วซีและเฉิงอู้หย่งต่างตกใจและหันมองหน้ากัน แม้อยากจะหัวเราะ แต่ก็ไม่กล้า
หลังจากซูอี้บอกกล่าวว่าตนเองไม่ได้โกรธ พวกเขาจึงผ่อนคลายลงมาก
แม้แต่หยวนลั่วซีก็เผยท่าทีกระตือรือร้น หวังใช้โอกาสนี้ยืมมือซูอี้เพื่อเอาชนะความเย่อหยิ่งของหยวนลั่วอวี่ผู้เป็นพี่ชาย
ทั้งสะกดรอยตาม ทั้งกระโดดข้ามกำแพง สร้างความเดือดร้อนโดยไม่มีเหตุผล ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก!
“ซูอี้ ในเมื่อเจ้าดื้อรั้น มาลองใช้วิถีแห่งผู้บ่มเพาะตัดสินกันหน่อยเป็นอย่างไร?”
หยวนลั่วอวี่สูดหายใจเข้าลึก พลางชักดาบออกจากฝัก
ชิ้ง!
ดาบยาวสามฉื่อเจ็ดชุ่น ปรากฏแสงเจิดจ้า พื้นผิวใบดาบแวววาวสะท้อนเงาสีเลือดเจือจาง ทั้งยังคมกริบดูสะดุดตา
ดาบเขี้ยวโลหิต!
อาวุธวิญญาณที่แท้จริง!
ยามถือดาบ บรรยากาศรอบตัวหยวนลั่วอวี่แปรเปลี่ยนดูน่าเกรงขาม
เฝิงเสี่ยวเฟิงสีหน้าแปรผัน หวงเฉียนจวินที่อยู่ด้านข้างรีบกล่าวออกเสียงเบา “อย่ากังวลเลย เพียงรับชมการแสดงนี้อยู่นิ่ง ๆ เสียเถิด”
หยวนลั่วซีและเฉิงอู้หย่งถอนหายใจพร้อมกัน หยวนลั่วอวี่ช่างเลือกวิธีแก้ปัญหาได้โง่เขลาเสียจริง
แลเห็นภาพนี้ซูอี้ก็พลันยิ้มเล็กน้อย “ไม่ใช้อำนาจตระกูลกดขี่ผู้คน ช่างหาได้ยาก เช่นนั้นข้าจะยอมเล่นด้วยก็ได้”
ถ้อยคำเหล่านี้ ไม่ต่างจากคำพูดของผู้อาวุโส
ทว่าเมื่อมันมาจากปากชายหนุ่มอย่างซูอี้ จึงส่งผลให้หยวนลั่วอวี่นิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
เขาบังคับตัวเองให้ระงับความโกรธในใจ “ดาบไร้ซึ่งดวงตา ข้าแนะนำให้เจ้าเชื่อฟังและยอมจำนนแต่โดยดี เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อ!”
ซูอี้เดินออกจากศาลา ในมือถือฝักดาบไม้ไผ่ ครั้งเดินถึงลานโล่ง เขาก็ขีดเส้นด้านหน้าปลายเท้าและเอ่ยถ้อยคำไร้อารมณ์ “หากสามารถทำให้ข้าถอยหนึ่งชุ่น ถือว่าข้าพ่ายแพ้”
หยวนลั่วซีและคนอื่น ๆ ต่างเผยท่าทีประหลาดใจ แต่ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องแปลกอย่างใด
ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ ซูอี้เหนือล้ำยิ่งกว่าปรมาจารย์ หยวนลั่วอวี่ไม่มีทางทำได้สำเร็จ!
แต่หยวนลั่วอวี่กลับตะคอกอย่างเหลืออด “ในหมู่สหายกองกำลังเกล็ดแดง ต่อให้ข้า หยวนลั่วอวี่ ถือตนเป็นอันดับสอง ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง! ในมหานครอวิ๋นเหอ ข้าแข็งแกร่งเทียบเทียมกับผู้อาวุโสขอบเขตรวบรวมลมปราณที่ฝึกตนหลายปี ไม่มีผู้ใดกล้าแข่งขัน ตัวตนขอบเขตโคจรโลหิตเช่นเจ้ากลับกล้าคุยโวเสียสติเช่นนี้ กล้าดีอย่างไร!”
สิ้นเสียง เขาหันมองหยวนลั่วซีจากระยะไกล ถ้อยคำกล่าวออก “นี่คือคนที่เจ้าหลงใหลอย่างนั้นหรือน้องข้า? ตาบอดสิ้นดี!”
หยวนลั่วซีเอ่ยถ้อยคำด้วยสีหน้าเอือมระอา “พี่รอง ในฐานะน้องสาว ข้าขอเตือนให้ท่านระวังการกระทำ หากยอมได้ก็จงยอม อย่างน้อย ครั้งเมื่อถึงเวลาพ่ายแพ้ ท่านจะได้ไม่อับอายนัก”
หยวนลั่วอวี่นิ่งอึ้ง
ก่อนระเบิดหัวเราะด้วยความเคืองโกรธ “เสี่ยวซี เจ้าหน้ามืดตามัวไปแล้วหรือ จึงได้พูดจาไร้สาระเช่นนี้!”
เขาสูดหายใจเข้าลึก
ทันใดนั้น เพลิงโทสะในดวงตากลับกลายเป็นเย็นเยือก ปราณรอบกายพวยพุ่งดั่งพายุพัดกระโชก คำรามก้องอย่างเดือดดาล
ยามตัดสินใจต่อสู้ เขาแปรเปลี่ยนเป็นอีกคน
เยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง แผ่จิตสังหารอย่างบ้าคลั่ง!
“ดาบข้าแฝงด้วยจิตสังหารแห่งสมรภูมิรบ ทั้งยังกระหายเลือดไร้สิ้นสุด เมื่อใดที่ฟาดฟันออกไป มันหมายถึงมีชีวิตดับสูญ แต่ครานี้ข้าจะให้โอกาสเจ้า ออกดาบแค่เพียงสั่งสอน!”
สิ้นเสียงหยวนลั่วอวี่ตะโกนที่ดังราวกับเทพสงคราม ร่างสูงก็ถีบกระแทกพื้นดินและพุ่งทะยานออกไป
รวดเร็วดั่งสายฟ้าสีเลือดที่ฉีกท้องนภาออกเป็นหมื่นชิ้น
ดาบเขี้ยวโลหิตในมือถูกวาดขึ้นไปในอากาศ แสงสีเลือดอันพร่างพรายปรากฏออก ก่อนคมดาบจะฟาดลงอย่างเรียบง่าย
พลังของดาบเล่มนี้ ทั้งโหดเหี้ยมและทรงพลังยิ่ง เขย่าจิตวิญญาณผู้คนที่รับชมจากระยะไกล เสมือนมีดาบกรีดลำคออย่างน่าพรั่นพรึง
“นายน้อยรองฝึกฝนวิชาอันองอาจและกระหายเลือดในกองกำลังเกล็ดแดงซึ่งต่อกรได้ยาก แม้เป็นตัวข้าออกไปสู้ ก็เกรงว่าจะทำได้เพียงเท่าเทียม” เฉิงอู้หย่งกล่าวออก
“ที่แท้พี่รองแข็งแกร่งเพียงนี้…” ดวงตาหยวนลั่วซีหรี่เล็กลง
หยวนลั่วอวี่เข้าร่วมกองกำลังเกล็ดแดงเมื่ออายุได้สิบห้าปี เข้าประจำการในกองกำลังมากว่าสามปีแล้ว ทำให้มีโอกาสกลับบ้านไม่บ่อยนัก
หยวนลั่วซีตระหนักเห็นว่า แม้พี่รองอย่างหยวนลั่วอวี่จะอยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณระดับต้น ทว่ารัศมีพลังไม่ด้อยไปกว่าเฉิงอู้หย่งเลย!
แลเห็นคมดาบกำลังฟาดฟันใส่ แต่ซูอี้กลับดูไม่แยแสเหมือนดังเคย ราวกับภูผาสวรรค์ไม่ไหวติง
หวาดกลัวใช่หรือไม่?
ร่องรอยดูถูกปรากฏบนริมฝีปากหยวนลั่วอวี่
เคร้ง!
เสียงดาบกระทบกันดังก้องในทันใด
วิสัยการมองเห็นของหยวนลั่วอวี่กลับกลายเป็นพร่ามัว จากประกายแสงดาบเจิดจ้า มันเสียดแทงรูม่านตาอย่างเจ็บปวด จนนัยน์ตาหดลีบลง
และโดยที่เขายังไม่ทันได้ตอบสนองสิ่งใด
เคร้ง!
ฝูงชนได้ยินเสียงดาบปะทะอีกครา ถัดมาดาบเขี้ยวโลหิตของหยวนลั่วอวี่พลันกระเด็นห่าง ก่อนที่ดาบอีกเล่มจะแตะลงบนคอ
ทั่วทั้งลานเงียบสงัด
คนทั้งหมดต่างรับชมภาพดังกล่าวด้วยความตกใจ
รวดเร็วเกินไป แม้แต่เฉิงอู้หย่งก็ยังไม่เห็นวิถีดาบของซูอี้อย่างชัดเจน!
“หากเป็นข้า คงไม่อาจหลบพ้นคมดาบนี้…”
เฉิงอู้หย่งปรากฏเหงื่อเย็นไปทั่วหลัง
ยิ่งเป็นผู้แข็งแกร่งมาก ก็ยิ่งเข้าใจแจ่มชัดถึงความน่ากลัวของดาบนี้มากขึ้นเท่านั้น
ขณะที่หวงเฉียนจวิน เฝิงเสี่ยวเฟิง และหยวนลั่วซี พวกเขาไม่ได้ตกตะลึงมากนัก เนื่องจากด้อยกว่าในประสบการณ์การฝึกฝน
ท้ายที่สุด ดาบนี้เร็วเกินไป กระทั่งพวกเขายังไม่ทันเห็นสิ่งใด
ทราบเพียงว่านี่เป็นเรื่องปกติ ด้วยพวกเขาตระหนักรู้ในหัวใจว่าซูอี้ทรงพลังมากจนสามารถฆ่าปรมาจารย์ด้วยดาบเดียว!
ในเวลานี้หยวนลั่วอวี่ตะลึงงัน รูม่านตาขยายใหญ่ เหงื่อเย็นไหลตามหน้าผาก
เขาไม่กล้าขยับ คมดาบซูอี้แตะอยู่บนลำคอ ปราณอันเฉียบคมบาดทะลุผิวหนังอย่างน่าหวาดเกรง
“เมื่อฟาดฟันดาบ อย่าปล่อยตนฟุ้งซ่าน ภวังค์เพียงน้อยนิด อันตรายถึงชีวิต”
ซูอี้เก็บดาบสุดแดนดินกลับเข้าฝัก ถ้อยคำเฉยเมยกล่าวออก “แต่หากไม่ยอมรับ สามารถลองอีกครั้งได้”
“แน่นอนว่าข้าไม่ยอมรับ เพราะดาบของข้าเป็นดาบสังหาร การโจมตีเมื่อครู่ ข้ารักษาพลังส่วนใหญ่ไว้ จึงไม่อาจต้านทานได้ ไม่เช่นนั้นเจ้าไม่มีทางโจมตีสำเร็จ!” หยวนลั่วอวี่สูดหายใจเข้าลึก กล่าวถ้อยคำเย็นชา
แม้แต่เขาเองก็ทราบดีว่า ถ้อยคำเหล่านี้เป็นการหลอกตนเอง ท้ายที่สุด เขาอยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณ ขณะที่ซูอี้อยู่ขอบเขตโคจรโลหิต!
หยวนลั่วอวี่หยิบดาบเขี้ยวโลหิตขึ้นมา รักษาจิตใจให้มั่นคง ละทิ้งความคิดอันว่อกแว่ก ความจริงจังที่ไม่เคยปรากฏ กลับเผยออกระหว่างคิ้ว
ทุกคนล้วนเห็นปราณที่ควบแน่นและกดขี่มากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
ฟิ้ว!
ใบแปะก๊วยร่วงหล่นจากต้น แต่ก่อนที่จะตกมาถึงพื้น มันก็ถูกฉีกเป็นผุยผงด้วยลมปราณของหยวนลั่วอวี่อย่างน่าสงสาร
ทันใดนั้นเขาก็จู่โจมอีกครั้ง!
วิ้ง!
ดาบศึกส่งเสียงครวญ กวาดแสงสีเลือดส่องประกายเจิดจ้าพร้อมแรงกระตุ้นอันยิ่งใหญ่
คมดาบนี้ซ่อนเร้นพลังอำนาจแห่งเปลวไฟบริสุทธิ์ หาใครเปรียบได้ไม่
แต่ครู่ต่อมา เสียงปะทะก็ดังกึกก้องสะท้อนผ่านโสตประสาทไปมา
ดาบเขี้ยวโลหิตกระเด็นออกไปอีกครั้ง
ก่อนลำคอหยวนลั่วอวี่จะสัมผัสคมดาบเหมือนก่อนหน้า
ทุกคนแข็งค้างชั่วขณะ
จะมีสิ่งใดหยุดยั้งคมดาบของคุณชายซูได้อีก?!
หันมองหยวนลั่วอวี่ ร่างสูงสั่นสะท้านครู่หนึ่ง แววตาเปี่ยมล้นด้วยความสับสน
เป็นไปได้อย่างไร!?
ฤทธิ์อำนาจขอบเขตรวบรวมลมปราณของเขาถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มกำลัง ด้วยดาบนี้ เขาสามารถสังหารอสูรร้ายลำดับหกที่แข็งแกร่งเทียบเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตรวบรวมลมปราณระดับปลาย!
ทว่า เขากลับพ่ายแพ้ให้กับคมดาบซูอี้ ผู้ซึ่งอยู่ในขอบเขตโคจรโลหิตเท่านั้น!
สิ่งที่น่าหวาดเกรงที่สุดก็คือ คมดาบอีกฝ่ายสัมผัสคอของเขาเช่นครั้งก่อน ทั้งยังแม่นยำมากจนผิดวิสัย!
“ดาบนี้น่าสนใจ แต่ยังขาดจิตวิญญาณและวิถีดาบที่แท้จริง เมื่อปราณวิญญาณและพละกำลังทั้งหมดรวมเข้าสู่ใบดาบ พลังสูงสุดจึงจะระเบิดออกมาได้ สิ่งนี้เรียกว่า ‘คนและดาบหลอมรวมเป็นหนึ่ง’ ทว่าน่าเสียดาย ดูเหมือนเจ้าจะยังทำไม่ได้”
ซูอี้ถอนดาบกลับมา ความเห็นกล่าวออกอย่างเฉยเมย
หยวนลั่วอวี่แทบสิ้นสติ
พ่ายแพ้ครั้งแรก อาจหลอกตัวเองและกล่าวอ้างหาเหตุผล เช่นรักษากำลังไว้ เช่นประมาทเลินเล่อ เช่นไม่ทันตั้งตัว เช่น…
แต่เมื่อพ่ายแพ้แบบเดิมเป็นครั้งที่สอง เขาก็ประสบกับความอับอายเกินกว่าจะกล่าวสิ่งใด
ไม่มีข้อแก้ตัวใดจะปกปิดความจริงที่ว่า ทักษะของเขาด้อยกว่าอีกฝ่าย!
สิ่งที่น่าทึ่งมากที่สุดคือ ซูอี้เอาชนะด้วยดาบเดียวทุกครั้ง และอย่างที่กล่าวถ้อยคำออกก่อนหน้า ร่างของเขาไม่ได้ขยับถอยแม้แต่หนึ่งชุ่น!
การโจมตีครั้งนี้รุนแรงเกินไป หยวนลั่วอวี่จึงไม่อาจฟื้นฟูกำลังได้อีกระยะหนึ่ง
“พี่รอง เป็นอะไรหรือไม่?”
ไม่ไกลกันนัก หยวนลั่วซีหยิบดาบเขี้ยวโลหิตเดินเข้ามาหา ความกังวลปรากฏบนใบหน้าละเอียดอ่อน
“ข้าดูเหมือนตัวตลกในสายตาเจ้าใช่ไหม?” หยวนลั่วอวี่กล่าวเสียงค่อย ศีรษะก้มต่ำลง
ไม่ว่าจะเป็นตัวตนที่สูงส่งและสง่างามเพียงใด แต่เขาก็ยังเป็นเพียงชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี ความพ่ายแพ้ต่อตัวตนขอบเขตโคจรโลหิตย่อมเป็นสิ่งที่เขารับได้ยาก
“พี่รอง อย่าพูดเช่นนั้นเลย ข้าบอกไปหมดแล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าอับอายที่จะพ่ายแพ้แก่คุณชายซู” หยวนลั่วซีปลอบโยนอย่างเร่งด่วน
“นายน้อยรอง ตอนนี้คงไม่จำเป็นต้องปิดบังจากท่านแล้ว ต่อให้เป็นปรมาจารย์วิถียุทธ์ คุณชายซูก็เคยสังหารมาแล้วด้วยดาบเดียว!”
เฉิงอู้หย่งปลอบโยนด้วยถ้อยคำอ่อนโยน
“สังหารปรมาจารย์? ด้วยดาบเดียว?”
ร่างกายหยวนลั่วอวี่แข็งค้าง ดวงตาจับจ้องไปยังซูอี้ หรือชายผู้นี้จะเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าในร่างเยาว์วัย?
ในขณะเดียวกัน เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าที่ผ่านมา เฉิงอู้หย่งเรียกขานสรรพนามถึงซูอี้ด้วย ‘คุณชายซู’ โดยตลอด แทนที่จะเป็น ‘นายน้อยซู’
คุณชาย สรรพนามยกย่องบุรุษ!
หยวนลั่วซีเกรงว่าหยวนลั่วอวี่จะพูดจาไร้สาระออกมาด้วยความตกใจ นางจึงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “พี่รอง อย่าเพิ่งคิดไปไกล คุณชายซูเป็นคนรุ่นหนุ่มสาวเช่นเดียวกับเรา เพียงแต่วิถียุทธ์ของเขาเลิศล้ำเปรียบเสมือนเทพเซียนผู้ถูกเนรเทศ ซึ่งหาผู้ใดเทียบเทียมได้ยากในโลกนี้”
เฉิงอู้หย่งพยักหน้าเห็นด้วย
ท่าทีของหยวนลั่วอวี่เปลี่ยนไปชั่วขณะ หลังจากนั้นไม่นาน เขาโค้งคำนับให้ซูอี้ ถ้อยคำเคร่งขรึมกล่าวออก
“คุณชายซู ข้าท้าทายเจ้าด้วยความสับสน แต่ความพ่ายแพ้นี้ทำให้ตระหนักถึงความหมายของเหนือฟ้ายังมีฟ้า ไม่ว่าท่านจะลงโทษข้าอย่างไร ข้าหยวนลั่วอวี่ไม่คิดต่อต้าน!”
ถ้อยคำเสียงดังฟังชัด
นอกจากนี้ยังปรากฏความอัปยศบนคิ้วทั้งสอง
ซูอี้โบกมือไม่ใส่ใจพลางกล่าวออก “ข้าพูดไปแล้ว นี่เป็นเพียงความเข้าใจผิด เจ้าแค่ห่วงใยน้องสาวก็เท่านั้น ในเมื่อกล่าวขออภัย ข้าก็ไม่เก็บมาใส่ใจ”
รับชมสิ่งนี้ หยวนลั่วซีและเฉิงอู้หย่งถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนหัวเราะออก
หวงเฉียนจวินเผยยิ้ม พูดกับเฝิงเสี่ยวเฟิงด้านข้างว่า “เป็นอย่างไร วิเศษมากใช่หรือไม่?”
เฝิงเสี่ยวเฟิงตะลึงงัน “จริงหรือที่กล่าวว่าศิษย์พี่ซูอี้สังหารปรมาจารย์วิถียุทธ์ด้วยดาบเดียว?”
หวงเฉียนจวินกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะกล้าโกหกเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?”
เฝิงเสี่ยวเฟิงแทบหายใจไม่ออก เขาจดจำได้ชัดเจนว่าในคืนแรกที่พบหวงเฉียนจวิน อีกฝ่ายคุยโวมากมายว่าศิษย์พี่ซูอี้แข็งแกร่งเพียงใด
ในเวลานั้นเขาไม่เชื่อและคิดเพียงว่าหวงเฉียนจวินกำลังปลอบโยนเขาไม่ให้กังวลมากเท่านั้น
ใครจะคาดคิด ว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นความจริง!
หันมองเฝิงเสี่ยวหราน ดวงตาลุ่มลึกจับจ้องไปยังร่างของซูอี้ด้วยแสงประกายสว่างไสว เปี่ยมล้นด้วยความชื่นชม
อาเฟยที่อยู่ด้านข้างก็พลอยชื่นชมไปด้วย
ในเวลานั้นเอง ถ้อยคำก้าวร้าวก็ตะโกนดังมาจากนอกลานบ้าน
“เฝิงเสี่ยวเฟิงอยู่ที่นี่หรือไม่!”