บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1072: ปีศาจสวรรค์หลอมนภา
ตอนที่ 1072: ปีศาจสวรรค์หลอมนภา
ใต้ผืนฟ้า
ซูอี้และคณะเดินทางสู่ถ้ำอัคนีเมฆา
ระหว่างทาง เขาไม่ได้ปกปิดตัวตน จึงทำให้หวังจัวฝู่แตกตื่นลนลาน
กระทั่งยามที่เขาและผู้อาวุโสจากตระกูลหวังเข้ามาในหุบเขาแสนปีศาจ พวกเขายังระแวดระวังไปตลอดทาง ไม่กล้าปล่อยปละละเลย หาไม่แล้ว ปีศาจดุร้ายเหล่านั้นจะหมายหัวและก่อเรื่องนานาสารพัด
แต่ใครเล่าจะคิดว่าซูอี้และเย่ลั่วจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เลย!
“ชายหนุ่มผู้นี้คือปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินจริง ๆ หรือ?”
หัวใจของหวังจัวฝู่สั่นสะท้าน
เขายังไม่อาจเชื่อได้จริง ๆ
ไม่นานมานี้ ข่าวที่ซูอี้แสร้งทำเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินออกอาละวาด สังหารฮั่วเหยาและปราบเย่ลั่วสะพัดไปทั่วมหาแดนดิน
ทว่ายามนี้ เมื่อเขาถูกซูอี้ช่วยชีวิตและได้ประจักษ์ความสามารถของชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้กับตา ในใจของหวังจัวฝู่ก็ยิ่งสับสนงุนงง
เขาแน่ใจว่าชายหนุ่มผู้นี้ อย่างมากก็อายุเพียงยี่สิบเท่านั้น!
ทว่าพลังมหาวิถีของชายหนุ่มผู้นี้กลับไร้ผู้ใดในโลกหล้าเทียบเทียม หาได้ยากกระทั่งในสมัยบรรพกาล!
ยิ่งกว่านั้น พลังต่อสู้ของเขายังยิ่งน่ากลัวจนไม่อาจทำความเข้าใจได้ เพียงไม่กี่ชั่วดีดนิ้ว เขาก็สามารถสังหารอสรพิษลายปีศาจ กวาดล้างฝูงมดเพลิงทองแดงได้!
เรื่องทั้งหมดนี้ต่างดูผิดปกติอย่างยิ่ง และหวังจัวฝู่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าข่าวลือจะเป็นเท็จ ซูอี้ตรงหน้าเขาอาจเป็นร่างเวียนวัฏของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินจริง ๆ!
มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่อธิบายได้ว่าซูอี้ ‘ผิดปกติ’ เพราะเหตุใด
“นอกจากนั้น ยามเขารู้ข่าวที่หวังเชวี่ยถูกจับตัวไว้ เขาก็เดาไว้ทันทีว่าน่าจะเป็นกับดัก แต่ก็ยังปรากฏตัวออกมา หากไม่ใช่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน แล้วใครเล่าจะทุ่มสุดชีวิตเพื่อช่วยชีวิตหวังเชวี่ย?”
“แต่หากเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่าผีหมัว… เป็นคนทรยศหรือ!?”
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของหวังจัวฝู่ก็สั่นสะท้านอีกครั้ง
หากผู้คนรู้ทั่วว่าที่แท้ผีหมัวก็เป็นคนทรยศของถ้ำเสวียนจวิน เกรงว่าคงก่อให้เกิดเหตุจลาจลยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยเกิดมาก่อนแน่แท้
และขณะที่หวังจัวฝู่กำลังคิดหัวปั่น เย่ลั่วก็กำลังสนทนากับซูอี้ผ่านการกระแสเสียงปราณ
“อาจารย์ ท่านคิดไหมขอรับว่าการปรากฏตัวของหวังจัวฝู่ออกจะบังเอิญเกินไปหน่อย?”
“หากเรื่องทั้งหมดนี้จงใจถูกจัดฉากขึ้นด้วยฝีมือปีศาจผีเสื้อห้วงอนธกาล งั้นมันก็ไม่ได้บังเอิญเลย”
“อาจารย์ ข้ารู้ขอรับ แต่ข้าสงสัยว่า… หวังจัวฝู่จะมีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็กล่าวกับเย่ลั่วว่า “จริงเท็จยากแยกแยะ สำคัญกับเราด้วยหรือ?”
เย่ลั่วตะลึง
“นักดาบอย่างเรา ข้อห้ามสูงสุดคืออย่าเคลือบแคลงคิดหมกมุ่นให้มาก มันจะนำไปสู่ความคิดฟุ้งซ่านอันกระทบต่อจิตใจโดยไม่อาจเลี่ยง”
ซูอี้กล่าว “ยามต่อสู้กับศัตรู มีเพียงผู้อ่อนแอเท่านั้นที่ใช้อุบายมาหาคำตอบ ยับยั้งปราบปรามผู้แข็งแกร่ง”
“และผู้แข็งแกร่งที่มีอำนาจพอจะบดขยี้ศัตรู ยามต่อสู้ หนึ่งดาบก็จบเรื่องได้แล้ว ไฉนต้องมามัวใช้ลูกไม้?”
ซูอี้ส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าไม่เข้าใจหรอก สิ่งที่ข้าพูดแตกต่างไปตามตัวบุคคล วาจานี้ใช้ได้แต่เพียงข้า ส่วนเจ้า อย่าได้เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง ดังสุภาษิตที่ว่า ‘เรียนรู้จากครู อย่าลอกเลียน’ สิ่งที่เจ้าต้องเรียนรู้คือการทำให้หัวใจวิถีไร้ความกลัว ไม่อาจมีสิ่งใดทำลายได้!”
“ยามเจ้าอ่อนแอ เจ้าต้องรู้จักรุดหน้าถอยหลัง ยามแข็งแกร่ง เจ้าจะสามารถทำลายทุกกฎเกณฑ์ ทำตามใจชอบได้ แค่อยู่ในขอบเขตที่สมควรก็พอ”
“อย่าคิดว่าการไร้ความกลัวเป็นเพียงความเย่อหยิ่ง ดูหมิ่นความเป็นความตายและเอาตัวพุ่งเข้ารับปัญหาอย่างเดียว นั่นมิต่างจากการรนหาที่ตายเลย”
“ชั่งน้ำหนักสถานการณ์ รู้จักรับมือให้ฉลาด นั่นแหละคือหัวใจสำคัญ”
ซูอี้กล่าวพลางตบบ่าเย่ลั่ว “สรุปแล้ว ที่ข้าพูดเช่นนี้ ก็ขึ้นกับสภาพจิตใจของเจ้า ก่อนพิสูจน์วิถีขึ้นสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำในภายหน้า อย่าลืมไปเรียบเรียงและขัดเกลาสภาพจิตใจเจ้าก่อน มันจะส่งผลต่อวิถีดาบของเจ้าในอนาคตนะ”
เย่ลั่วซาบซึ้งยิ่งนัก เขาพยักหน้าเงียบ ๆ
ซูอี้ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
แก่นแท้ของการฝึกฝนนั้นเรียนรู้ได้ง่ายแต่ทำยาก
ไม่ว่าจะเข้าใจสัจธรรมถ่องแท้เพียงไรก็ไร้ค่าหากไม่ลงมือทำ ท้ายที่สุดก็ยากจะเป็นผู้แข็งแกร่งเลิศล้ำ
“แปลกจัง เราจะเข้าไปในเขตของจักรพรรดิปีศาจกระทิงเขียวอยู่แล้ว แต่ไม่มีปีศาจใดขวางทางเราเลย”
ทันใดนั้น หวังจัวฝู่ก็อุทานอย่างแปลกใจ “หรือจักรพรรดิปีศาจกระทิงเขียวจะรู้แล้วจริง ๆ ว่าเราจะมา เลยไม่ได้ขวาง แต่รอเราเอาตัวไปส่งถึงหน้าประตูแทน?”
เย่ลั่วหัวเราะ “ผีหมัวอุตส่าห์ตระเตรียมลายประหารไว้อย่างประณีต หากเรารู้ตัวแล้วเผ่นหายไปก่อน งานหนักที่เขาทุ่มเทไม่เสียเปล่าหรือไร?”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวต่อ “ข้าแน่ใจว่าหากเราทำทีจะถอยกลับ จักรพรรดิปีศาจกระทิงเขียวจะไม่อยู่เฉยแน่แท้ และจะส่งกำลังมาหยุดเราแน่”
หวังจัวฝู่อดยิ้มแห้ง ๆ ไม่ได้ เขารู้สึกเสมอว่าการกระทำครานี้ของซูอี้และเย่ลั่วใจกล้าเกินไป รู้ทั้งรู้ว่าเบื้องหน้ามีจิตสังหาร แต่พวกเขาก็ยังชิงเดินทางไปหาแทนที่จะวางแผนรับมือ บ้าระห่ำดีแท้
เมื่อเห็นสีหน้าของหวังจัวฝู่ เย่ลั่วพลันตระหนักในใจ
ตัวเขาก่อนหน้านี้ ไฉนเล่าจึงเคลือบแคลงมากมาย?
เหตุผลเป็นเพราะทั้งเขาและหวังจัวฝู่ต่างเคลือบแคลงและกลัวจะตกสู่กับดักอันไร้ทางเลี่ยงจากการกระทำนี้!
ในขณะเดียวกัน เหตุที่อาจารย์ไม่ได้กังวลเรื่องทั้งหมดนี้เลย เป็นเพราะเขามีความสามารถและความแข็งแกร่งสูงพอจะบดขยี้ทุกอุบายและแผนสมคบคิด!
เย่ลั่วครุ่นคิดเช่นนี้ และพลันรู้สึกกระจ่างแจ้ง
จนกระทั่งเดินทางไปเกือบร้อยลี้
ปู๊นนน!
ทันใดนั้น เสียงแตรเขาสัตว์ก็ดังสนั่นมาแต่ไกล
ทั่วฟ้าดินสะเทือนไหว สรรพสิ่งสะท้านสั่น
ซูอี้กลอกตามอง และพบว่าท่ามกลางหุบเขาปรากฏปราณปีศาจคละคลุ้งสู่นภา ไม่รู้ว่ามีปีศาจมากมายเพียงใดพุ่งออกมาจากทั่วสารทิศราวกับคลื่นน้ำป่า
เพียงพริบตา ทัพผู้ฝึกตนวิถีปีศาจอันยิ่งใหญ่ก็ปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน
ขณะเดียวกัน บริเวณเบื้องหลังพวกซูอี้ก็มีร่างของผู้ฝึกตนวิถีปีศาจมากมายออกมาล้อมไว้หนาแน่น
แม้ว่าหวังจัวฝู่จะเตรียมใจไว้ ทว่าเมื่อได้เห็นเช่นนี้ เขาก็อดสูดหายใจเฮือกมิได้ พลางพึมพำว่า “ผู้ฝึกตนวิถีปีศาจทั้งหมดในหุบเขาแสนปีศาจแห่ออกจากรังกันหรือไร?”
เย่ลั่วกล่าวเบา ๆ “ข้าสงสัยนักว่าหนนี้จะมีปีศาจในขอบเขตจักรพรรดิออกมาสักกี่ตน”
ซูอี้หยิบน้ำเต้าสุราขึ้นจิบ “แผนของผีหมัวไม่มีทางทุเรศนัก ข้าหวังว่าเขาจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
ผีหมัวอยู่ข้างกายเขาแสนนาน หากผีมือที่แสดงออกเหลาะแหละ มันก็จะทำให้เขาผู้เคยเป็นอาจารย์ไร้สามารถ…
นี่เป็นความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนและย้อนแย้งในตัวเองยิ่งนัก
ตู้ม!
ณ ยอดเขาไกลออกไป ร่างหนึ่งทะยานสู่ฟ้า เดินมาในอากาศ
เส้นผมและหนวดเคราโง้งราวกับง้าว ร่างสูงใหญ่กำยำเปี่ยมพลังชีวิต อำนาจไร้ขอบเขตสะท้านสั่นสุญญะพังทลายทุกครั้งที่ก้าวเดิน
เขาคือจักรพรรดิปีศาจกระทิงเขียว!
ทันทีที่ปรากฏกาย เขาก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนทันที
“เจ้าคือสารเลวซู… อะไรนั่นใช่หรือไม่?”
“ปีศาจกระทิงนี่โอหังนัก!”
สีหน้าของเย่ลั่วฉายจิตสังหาร
“งั้นดูกันเถิดว่าเขาควรค่าให้โอหังหรือไม่”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา
หวังจัวฝู่ลอบสิ้นหวัง การล้อมโจมตีเช่นนี้ดูเรียบง่ายตรงไปตรงมา ไม่ได้มีการเตรียมการอย่างพิถีพิถันแต่อย่างใด ทว่ายิ่งเป็นเช่นนั้นยิ่งน่ากลัว
เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองออกว่ามีจักรพรรดิปีศาจปะปนในเรื่องนี้มากเพียงไร!
“คนแซ่ซู ดูให้ดี!”
จักรพรรดิปีศาจกระทิงเขียวที่อยู่ไกลออกไป ยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์เบื้องล่าง เสียงของเขาก้องกังวาน “ตาแก่สามคนจากตระกูลหวังแห่งแคว้นจงถูกขังอยู่ในเขานี้ หากมีปัญญาช่วยพวกเขาออกมาได้ ข้าจะบอกเจ้าว่าชายที่ชื่อหวังเชวี่ยผู้นั้นถูกขัง ณ หนใด”
เขาแสยะยิ้มและพลันคำรามสนั่นลั่น “จัดค่ายกล!”
ตู้ม!
ค่ายกลศึกนี้ปกคลุมทั่วแปดพันจั้ง ขวางร่างของพวกซูอี้ไว้ในใจกลาง!
บริเวณทั่วโลกหล้าฟ้าดินนี้พลันกลายเป็นกรงขัง!
“ค่ายกลนี้มีนามว่า ‘ปีศาจสวรรค์หลอมนภา’ เชื่อมต่อฟ้าดินโลกหล้าแปดพันจั้ง และมีอำนาจของจอมปีศาจแปดพันตน!”
จักรพรรดิปีศาจกระทิงเขียวยืนไพล่มือกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ค่ายกลศึกเช่นนี้สามารถถล่มขุนเขาแผดเผานภาได้อย่างแสนง่าย!”
“และเพื่อจัดค่ายกลนี้ ช่วงนี้ข้าจึงยุ่งหัวปั่น หวังว่าเจ้าจะไม่ตายเร็วนัก หาไม่ เจ้าจะทรยศความปรารถนาดีของข้า!”
วาจาเหล่านี้สนั่นก้องดุจสายฟ้า ไม่ได้ซ่อนเจตนาฆ่าไว้เลย
หัวใจของหวังจัวฝู่ร่วงสู่ก้นเหว ยามนี้เขาตระหนักชัดเจนแล้วว่านี่คือกับดักมโหฬารที่เล็งมายังซูอี้จริง ๆ!
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ ค่ายกลปีศาจสวรรค์หลอมนภานี้ขวางทางหนีพวกเขาไว้โดยสมบูรณ์!
“อาจารย์ ค่ายกลนี้ไม่ธรรมดาเลยขอรับ”
เย่ลั่วขมวดคิ้ว
ในสายตาของเขา ค่ายกลนี้ถูกตั้งขึ้นแล้ว ทำให้โลกหล้าเปลี่ยนแปร จิตสังหารมหาศาล และการอยู่ในนี้ก็เหมือนติดอยู่ในคุกมหึมา จนทำให้รู้สึกไร้ทางหนี
เมื่อคิดดูแล้ว ค่ายกลศึกนี้ถูกแบ่งเป็นเก้าชั้น แต่ละชั้นมีค่ายกลระดับจักรพรรดิเก้าแห่งและทหารปีศาจแปดหมื่นตน!
ทั่วมหาแดนดิน มันกล่าวได้ว่าเป็นค่ายกลสังหารระดับสูงสุด หาได้ยากยิ่ง!
และยามนี้ ค่ายกลนี้ก็ถูกนำมาใช้กับพวกเขา!
“ค่ายกลศึกทั้งหมดในโลกล้วนเกิดจากฝีมือของผู้ฝึกตน หากพวกเขาถูกโจมตีเสียจนไม่อาจร่วมมือกันได้อีก ค่ายกลพวกนี้ก็เป็นเพียงพยัคฆ์กระดาษ จิ้มทีเดียวก็แหลก”
ซูอี้หยิบดาบเงากระจ่างออกมากวัดไกว กล่าวเบา ๆ ว่า “ในสายตาข้า ขอเพียงชั่วสิบดีดนิ้ว ข้าก็ทำลายค่ายกลนี้ได้แล้ว”
………………..