บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1081: ตายตาหลับ
ตอนที่ 1081: ตายตาหลับ
หวังจัวฝู่ถอนใจราวกับว่าเผลอแผล็บเดียวเขาก็แก่ลงไปมาก จากนั้นจึงกล่าวออกมา “เมื่อหลายร้อยปีก่อน ผู้นำตระกูลเคยคุยกับข้าเป็นการส่วนตัว เขากล่าวว่าต้องการให้ตระกูลหวังแห่งแคว้นจงของพวกเราเข้าร่วมกับพันธมิตรเสวียนจวิน เช่นนี้ ไม่เพียงแต่ได้รับการคุ้มครองจากพันธมิตรเสวียนจวินเท่านั้น ยังเป็นการเพิ่มกำลังให้แข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย”
“แต่ตอนนั้นข้าปฏิเสธไป ทว่าตอนนี้ดูท่าแล้ว ผู้อาวุโสเหล่านั้นคงจะแอบให้ความร่วมมือกับผีหมัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว โดยมีผู้นำตระกูลเป็นแกนนำ”
ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสลดหดหู่
เมื่อรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว ในที่สุดซูอี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ดูท่าแล้ว สาเหตุที่พวกเขาส่งเจ้ามาในครั้งนี้ เป็นเพราะเห็นว่าเจ้าไม่รู้แผนการทั้งหมดที่พวกเขาวางไว้ จึงสามารถได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากข้าไดง่าย ด้วยเหตุนี้ตระกูลหวังของพวกเจ้ากับผู้อาวุโสทั้งสามคนนั้นจึงจะมีโอกาสได้มาอยู่ข้างกายข้าด้วย”
หวังจัวฝู่พยักหน้า สีหน้าของเขายิ่งหมองหม่นลง
สำหรับผู้อาวุโสใหญ่เช่นเขาแล้ว การถูกคนในตระกูลของตัวเองมองว่าเป็นหมากตัวหนึ่ง คงรู้สึกไม่ดีอย่างแน่นอน
“ใต้เท้าซู ตระกูลหวังของพวกเราถูกบีบบังคับ!”
ผู้อาวุโสแห่งตระกูลหวังทั้งสามคนที่ถูกจับกดติดพื้น ซึ่งห่าางไปไม่ไกลนัก เวลานี้ ผู้อาวุโสร่างผอมคนหนึ่งทนไม่ไหวร้องทักท้วงขึ้นมา
เขาเงยหน้ามองดูซูอี้ด้วยใบหน้าขมขื่น “ตอนนั้น เพื่อบีบให้ตระกูลหวังของพวกเรายอมจำนน ผีหมัวเคยบังคับและใช้ผลประโยชน์เข้าล่อ บอกว่าหากไม่เข้าร่วมพันธมิตรเสวียนจวินจะโดนเขามองว่าเป็นฝ่ายศัตรู ตระกูลหวังของพวกเรา… จะกล้าต้านทานได้อย่างไรกัน?”
ผู้อาวุโสอีกคนก็เอ่ยกล่าวเช่นกัน “ดังเช่นแผนการฆ่าในครั้งนี้ เมื่อตอนแรกสุด ตระกูลหวังของพวกเราไม่รู้เลยสักนิดว่าคนที่ต่อสู้ด้วยคือใต้เท้าซู พวกเราเข้าใจว่าเป็นคนชั่วที่บังอาจแอบอ้างปลอมตัวเป็นใต้เท้าซูอี้”
ผู้อาวุโสคนที่สามก็รีบพูดอธิบายเช่นกัน “ใต้เท้าซู พวกเรารู้ตัวว่าเป็นคนนำเสือบุกกินคนของตัวเอง สมควรได้รับโทษ แต่ผู้ต้นคิดเรื่องทั้งหมดนี้คือผีหมัวศิษย์เอกของท่าน พวกเรา… พวกเราเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น…”
ไม่รอให้ซูอี้เอ่ยพูด เย่ลั่วก็หัวเราะเย็นชาพลางกล่าว “พวกเจ้าไม่รู้เรื่องเลยเช่นนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามพวกเจ้าว่า แผนการในครั้งนี้ของผีหมัว อยู่ที่ตัวของศิษย์น้องหวังเชวี่ย เหตุใดพวกเจ้าจึงเข้าใจว่าคนที่แอบอ้างปลอมตัวเป็นอาจารย์ข้าจะหลงกลมาช่วยศิษย์น้องหวังเชวี่ย? คนหลอกลวงคนหนึ่งจะใส่ใจชีวิตของศิษย์น้องหวังเชวี่ยเช่นนั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสร่างผอมกำลังจะพูดอธิบายก็ถูกเย่ลั่วกล่าวตัดบท “แน่นอน พวกเจ้าอาจจะไม่มั่นใจสถานะของอาจารย์ข้า แต่หากจะบอกว่าพวกเจ้าไม่รู้เรื่องด้วย เช่นนั้นก็กำลังพูดปดแล้ว!”
ซูอี้โบกมือ พลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่จำเป็นต้องพูดพล่ามกับพวกเขา ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ในเมื่อแพ้แล้ว ก็ต้องยอมรับ ผิดถูกร้ายดี ข้าขี้เกียจจะแยกแยะ”
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ซูอี้ก็กล่าวต่อ “เมื่อเรื่องในวันนี้จบสิ้นไปแล้ว ข้าจะหาเวลาไปที่ตระกูลหวังของพวกเจ้า ถึงเวลานั้น หากว่าหวังเชวี่ยปลอดภัยดีทุกประการ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะให้โอกาสตระกูลหวังของพวกเจ้าได้อธิบาย หากว่าไม่อาจทำให้ข้าพึงพอใจได้ ตระกูลหวังของพวกเจ้าจะต้องชดใช้!”
คำกล่าวทั้งหมดนี้ทำเอาผู้อาวุโสทั้งสามแห่งตระกูลหวังสีหน้าสลด
ซูอี้ได้กล่าวกำชับอีก “เย่ลั่ว จับตัวพวกเขาไว้ ตอนที่ไปจวนตระกูลหวัง พาพวกเขาไปด้วยกัน”
“น้อมรับคำบัญชาของอาจารย์ขอรับ”
เย่ลั่วรับบัญชา และทำตามสั่ง
“ใต้เท้าซู นี่คือสมบัติล้ำค่าและศาสตราวุธของท่านในครั้งนี้!”
จักรพรรดิปีศาจกระทิงเขียวกลับมาแล้ว มอบสมบัติล้ำค่าและศาสตราวุธที่เก็บมาได้ทั้งหมดให้ซูอี้ด้วยความนอบน้อม
“ไป๋อี้ เจ้าไปรับมา” ซูอี้เอ่ยพูด
“ขอรับ”
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างคุ้นเคยถึงเพียงนั้น หลังจากผ่านไปหลายร้อยปีแล้ว เมื่อความรู้สึกเช่นนี้ผุดขึ้นมาในหัวใจอีกครั้งทำให้ไป๋อี้รู้สึกแสบจมูกขึ้นมา เบ้าตาแดงระเรื่อ
ซูอี้สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของไป๋อี้ ในใจทั้งปลาบปลื้มทั้งรู้สึกขัน เจ้าเด็กคนนี้เวลาอยู่ต่อหน้าตัวเอง เหมือนกับเด็กที่ไม่รู้จักโตเอาเสียเลย ไม่รู้จักเก็บกดความรู้สึกในใจบ้างเลย
ซูอี้กล่าวหยอกล้อ “เป็นถึงจักรพรรดิขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำแล้ว เหตุใดยังเหมือนเด็ก ๆ อยู่ได้ ไม่กลัวคนอื่นจะเอาไปหัวเราะเยาะบ้างหรือ?”
ไป๋อี้กระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดเขาก็สูดลมหายใจอย่างแรงไปหลายที ก่อนจะกล่าวขึ้น “ในใจข้า อาจารย์เปรียบดั่งบิดา เหตุใดต้องเก็บความรู้สึกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่เคยสนใจว่าใครจะมองอย่างไร”
เห็นเช่นนี้แล้ว จักรพรรดิปีศาจกระทิงเขียวกล่าวด้วยความนอบน้อม “สหายเต๋าไป๋อี้เป็นลูกผู้ชายอย่างแท้จริง รักเกลียดชัดเจน บุญคุณความแค้นไม่ปะปน ลูกวัวน้อยนับถือยิ่งนัก!”
คนทั้งหลาย “…”
มีใครบ้างที่ยังมองไม่ออกว่ากระทิงเฒ่าตนนี้กำลังหาโอกาสประจบเอาใจ?
ช่างหน้าไม่อายเอาเสียเลย!
จักรพรรดิปีศาจบรรพตทมิฬก็ยังทนไม่ไหวแอบรำพึงกับตัวเอง
จักรพรรดิปีศาจกระทิงเขียวตัวสั่นรีบถอยไปอยู่อีกด้าน
ทว่าซูอี้คร้านจะสนใจจักรพรรดิปีศาจกระทิงเขียวแล้ว
จากนั้นเขาก็เบนสายตามองไปที่ตาเฒ่าอินอีกครั้ง “เจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง?”
ตาเฒ่าอินเงยหน้าขึ้น เขาจ้องตาของซูอี้ ก่อนจะกล่าว “ลงมือได้!”
ซูอี้ง้างมือขึ้นในทันใด หิ้วตาเฒ่าอินขึ้นไปกลางอากาศ มาอยู่ใต้ท้องนภา
จากนั้น เขาปลดพลังที่จับตัวตาเฒ่าอิน “ให้เจตจำนงของคนผู้นั้นออกมาได้”
ตาเฒ่าอินสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง ริมฝีปากขยับขมุบขมิบ
ทันใด ร่างวิถีของเขาก็เปล่งแสง ระดับวิถีในตัวลดลงไปอย่างรวดเร็ว ทว่าจิตดั้งเดิมของเขากลับพุ่งออกมาจากที่ครอบวิญญาณสวรรค์
ตาเฒ่าอินกับจิตดั้งเดิมของเขาส่งเสียงเคร่งเครียดพร้อมกัน “เชิญท่านลงมือ ช่วยศิษย์ฆ่าศัตรูด้วย!”
เสียงสั่นสะเทือนฟ้าดิน
สายตาของทุกคนมองไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
ในเวลาเดียวกันนี้เอง กลิ่นอายที่น่ากลัวก็ผุดออกมาจากจิตดั้งเดิมของตาเฒ่าอิน จากนั้นมันก็พุ่งทะยานขึ้นไปจนถึงชั้นสวรรค์จรดใต้ดิน
ครืน!
ภูเขาลำเนาไพรเปลี่ยนสี ฟ้าดินสั่นสะท้าน
สะเก็ดแสงอันสว่างไสวปรากฏขึ้นกลางอากาศ กลายเป็นร่างเลือนรางในชุดยาวสีขาวสะอาดในทันใด ยิ่งใหญ่ดุจเทพ อานุภาพในตัวปกคลุมไปทั่วผืนปฐพีแห่งนี้!
เย่ลั่ว ไป๋อี้ และพวกจักรพรรดิปีศาจสนแดงที่อยู่บนผืนแผ่นดินที่ห่างไกลออกไป ถึงกับสีหน้าเปลี่ยน พวกเขารู้สึกกดดันจนหายใจไม่ออก
พวกเขาต่างก็มองออกว่า ถึงแม้ผู้ชายชุดขาวคนนั้นจะเป็นเพียงแค่เจตจำนงเท่านั้น ทว่ากลิ่นอายในตัวกลับน่ากลัวเกินกว่าที่คาดคิดไว้ ทำให้ทุกคนไม่อาจคาดเดาได้ถูกว่าขอบเขตร่างเดิมนั้นจะน่ากลัวถึงขั้นไหน!
“นี่… หรือว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่เหนือกว่าขอบเขตจักรพรรดิ?”
จักรพรรดิปีศาจสนแดงตกตะลึง
เขามีการฝึกตนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นต้น ยิ่งผ่านไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของพลังในตัวผู้ชายชุดขาวคนนั้น ไม่ใช่อานุภาพที่ระดับวิถีลึกล้ำจะเทียบเคียงได้
“มหาแดนดินแห่งนี้ ยังมีคนที่สามารถบีบให้เจ้าบั่นทอนระดับขอบเขตของตัวเองได้ หรือว่า… จะเป็นตัวตนขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นปลาย?”
เจตจำนงของจิตรกรเอ่ยพูดน้ำเสียงราบเรียบ ขณะกวาดตามองดูโดยรอบ
ผู้ใดก็ตามที่ถูกเขากวาดตามอง ราวกับถูกฟ้าผ่า ร่างกายและจิตใจได้รับความกดดัน ทำให้ต้องก้มหน้า
มีเพียงซูอี้คนเดียวเท่านั้นที่คล้ายกับไม่รู้สึกอะไร
“หรือว่าจะเป็นชายหนุ่มขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำคนนั้น?”
จิตรกรสงสัยราวกับไม่อยากจะเชื่อ
ใบหน้าของตาเฒ่าอินเต็มไปด้วยความกระดาก ทว่าขณะที่จะพูดเตือนสติ…
ซูอี้ก็ลงมือก่อนแล้ว!
เขากับเจตจำนงของจิตรกรเคยต่อสู้กันมาสองครั้ง จึงรู้พื้นฐานของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ไหนเลยยังมีจะมีอารมณ์มาเสียเวลาพูดมากอีก
ชิ้ง!
“บังอาจ!”
จิตรกรสบถเสียงเย็นชา โบกสะบัดแขนเสื้อ ซัดออกไปหนึ่งฝ่ามือ
ศึกใหญ่ปะทุขึ้น!
ลำพังเพียงแค่ไม่กี่พริบตา จิตรกรตื่นตระหนก และรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป และตระหนักว่าต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มี
ห่างไปไกล เมื่อมองเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว ตาของตาเฒ่าอินถึงกับค้าง ใจสั่นสะท้าน จริง ๆ ด้วย คนแซ่ซูคนนี้มีพลังที่สามารถต้านทานตราเจตจำนงของเจ้าสำนัก!!
เขานึกถึงเฝิงจี๋กับเฟยอวิ๋นที่ตายในหอตำราเทียนเสวียนขึ้นมา ในใจยิ่งสับสนมากขึ้น
ทำอย่างไรดี?
หากถือโอกาสหนีไปในเวลานี้ หากถูกจับได้ ต้องถูกฟ้าผ่าอย่างแน่นอน
ทว่าหากอยู่ต่อไป เกิดว่าคนแซ่ซูคนนั้นชนะ ตัวเองไหนเลยจะมีโอกาสหนีไปได้อีก?
ตาเฒ่าอินคิดไม่ตก สีหน้าของเขาก็ยิ่งสับสน
“เจ้าตัวน้อย มีพลังที่สามารถต้านทานกฎสวรรค์?!”
ทันใด เสียงตื่นตะลึงของจิตรกรก็ดังออกมาระหว่างการต่อสู้
ตาเฒ่าอินสะดุ้งสุดตัว แล้วรีบแผดเสียงเตือนสติ “เจ้าสำนัก คนแซ่ซูคนนั้นคือปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน เขาฆ่าศิษย์น้องเฝิงจี๋กับศิษย์น้องเฟยอวิ๋นตายไปแล้ว! ท่านอย่าได้ประมาทเด็ดขาด!”
ระหว่างการต่อสู้ ในที่สุดสีหน้าของจิตรกรก็เปลี่ยนไป รู้สึกได้ถึงสถานการณ์ที่ไม่สู้ดี
เพราะว่าในจิตวิญญาณของเฝิงจี๋กับเฟยอวิ๋นก็มีเจตจำนงของเขาเช่นกัน ทว่าสองคนนี้กลับตายไปแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความว่าชายหนุ่มขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำคนนี้สามารถฆ่าเจตจำนงของเขาได้อย่างไม่ต้องสงสัย!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จิตรกรจึงไม่รีรออีกต่อไป และพยายามจะใช้กำลังทั้งหมดที่มีทำลายคู่ต่อสู้
ทว่าซูอี้ในเวลานี้พลันชักดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ออกมาราวกับเข้าใจความคิดของเขา มันจึงพิฆาตอย่างเต็มกำลังเหมือนกับตอนที่ฆ่าเจตจำนงของจิตรกรในจิตวิญญาณของเฟยอวิ๋น
ชิ้ง!
เสียงดาบก้องกังวาน ดังกึกก้องไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า
ชั่วขณะนั้น ทุก ๆ คนรู้สึกเจ็บแปลบในจิตใจ
ครู่ถัดมา เสียงดังสะท้านฟ้าสะท้านแผ่นดินก็ดังขึ้น
ประกายดาบส่องแสงเต็มท้องฟ้า ทะลุผ่านแผ่นฟ้า บดขยี้รอบสิบด้าน ทำลายเจตจำนงที่ยิ่งใหญ่ประดุจเทพของจิตรกรจนมลายหายไป!
ก่อนจะแตกดับไป เจตจำนงของจิตรกรมีแต่ความตื่นตระหนกราวกับไม่คาดคิดมาก่อนว่าตนเองจะพ่ายแพ้ได้เร็วถึงเพียงนี้…
ครืน!
พลังทำลายล้างกระจายตัว ท้องฟ้าในแถบนั้นสั่นสะเทือนอย่างแรง
คนทั้งหมดพากันอ้าปากค้าง ตื่นตะลึงแน่นิ่งไป
เพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น เจตจำนงที่ดูเหมือนจะเหนือกว่าขอบเขตจักรพรรดินั้นก็ถูกฆ่าทำลายไปอย่างง่ายดายในดาบเดียว!
ตาเฒ่าอินซึ่งเดิมทียังคงลังเลอยู่ว่าจะถือโอกาสหนีไปดีหรือไม่ ร้องตะโกนเสียงแหลมขึ้นมาราวกับตกใจอย่างแรง “เจ้าสำนัก!!”
มือเท้าของเขาสั่นระริก สีหน้าขาวซีด ราวกับไม่อาจรับความจริงทั้งหมดนี้ได้
ชิ้ง!
ซูอี้เก็บดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ ก้าวเดินไปหาตาเฒ่าอิน “ตอนนี้ เจ้าสามารถตายตาหลับได้แล้ว”
ร่างของตาเฒ่าอินแข็งกระด้าง ราวกับรู้ตัวว่ายากนักจะหนีไปไหนได้อีก เขาแผดร้องขึ้นมา
“ซูเสวียนจวิน อย่าลืมคำพูดที่ข้าเคยพูดเองไว้ เจ้าในวันข้างหน้า จะต้องกลายเป็นศัตรูของตัวฉกาจของจักรวาลพร่างดาวเป็นแน่!!!”
แสงดาบปรากฏขึ้นฆ่าตาเฒ่าอินตายคาที่
ทั้งร่างเต๋าและจิตใจถูกทำลาย
ทว่าเสียงแผดร้องราวกับคนเสียสติของเขายังคงดึกกึกก้องไปทั่วปฐพี