บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1082: ข้านอนกับซูเสวียนจวินเอง
ตอนที่ 1082: ข้านอนกับซูเสวียนจวินเอง
ฟ้าดินสงบเงียบ คนทั้งหลายตื่นตะลึงปราศจากสุ้มเสียง
เจตจำนงของเจ้าสำนักแห่งโรงวาดฤทัยน่ากลัวถึงขั้นใดกัน?
ใครจะไปคาดคิดว่าเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้นก็ถูกพิฆาตในดาบเดียว!
จนกระทั่งเห็นตาเฒ่าอินถูกฆ่า คนทั้งหลายจึงไม่รู้สึกตกใจเท่าใดอีก
เดิมทีเขาก็เป็นเพียงนักโทษที่รอการประหารอยู่แล้ว เมื่อเจตจำนงของเจ้าสำนักตนเองดับสิ้น เขายังจะมีโอกาสกระเสือกกระสนอีกหรือ?
เวลานี้ ผู้คนต่างก็แหงนหน้ามองดูร่างสูงชะลูดบนท้องนภา ในใจพลันเกิดความรู้สึกขึ้นมากมาย
จักรพรรดิปีศาจสนแดงทนไม่ไหวจึงกล่าวพึมพำออกมาเบา ๆ “ผ่านไปห้าร้อยปี บุคคลในตำนานผู้ถือดาบสยบแดนดินคนนั้น… กลับมาแล้ว!!”
คำพูดประโยคเดียว สร้างความสั่นสะเทือนแก่จิตใจของทุกคนราวกับสายฟ้าฟาด
เมื่อห้าร้อยปีก่อน จู่ ๆ ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินก็ลาจากไป ทุกคนในมหาแดนดินต่างก็ตื่นตะลึง เกิดความโกลาหลแตกตื่นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
และก็มีขุมกำลังระดับสุดยอดไม่รู้เท่าใดที่รู้สึกตื่นเต้นดีใจ คิดว่าม่านเหล็กที่ปกคลุมมหาแดนดินมานมนานไม่มีทางจะข้ามผ่านไปได้นั้นสิ้นสลายไปแล้ว อนาคตข้างหน้าจะมีแต่ความรุ่งโรจน์
ตอนนั้น ใต้หล้าเปรียบดั่งขาดกฎระเบียบ อยู่ในความไม่สงบ ทุกอย่างสับสนอลหม่าน ทุกหนแห่งของมหาแดนดินมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง สถานะเดิมของโลกเปลี่ยนแปลงไป สิ่งใหม่เข้าแทนที่
ดังเช่นพันธมิตรเสวียนจวินก็ผงาดและเป็นใหญ่ขึ้นมาในตอนนั้น
และก็เป็นช่วงเวลานั้นเช่นเดียวกันที่คนทั้งหลายต่างก็เข้าใจว่า ยุคสมัยที่ซูเสวียนจวินเป็นใหญ่ในใต้หล้าได้สิ้นสุดลงแล้ว มหาแดนดินกำลังจะมีขุมกำลังใหม่เข้ามาแทนที่!
ทว่าหลังจากห้าร้อยปีผ่านไป
ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเข้าสู่วัฏสงสารกลับชาติมาเกิดใหม่ กลับสู่แผ่นดินมหาแดนดินอีกครั้ง!
ซึ่งก็หมายความว่าตำนานในครั้งนั้นไม่ได้สาบสูญหรือเสื่อมถอยลง ทว่าผงาดขึ้นมาใหม่ในโลกอีกครั้งด้วยวิธีการเกิดใหม่อีกรูปแบบหนึ่ง และวันข้างหน้าจะต้องกลับมาเป็นใหญ่ในแดนดินอีกครั้ง!
ถึงแม้ว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินในตอนนี้จะมีระดับการฝึกตนเพียงแค่ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำเท่านั้น
ทว่าเขามีพื้นฐานที่สามารถฆ่าผู้แข็งแกร่งขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้อย่างง่ายดาย และสามารถสยบภาพศึกดวงดาราได้ภายในชั่วพริบตา ฆ่าพลังมุ่งมั่นของปรมาจารย์โรงวาดฤทัยในดาบเดียว!
ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หากว่าย่างสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำจะแข็งแกร่งถึงเพียงใด?
หากว่ากลับสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ จะเป็นเช่นใด?
เพียงแค่คิด ใจก็สั่นสะท้านอย่างระงับไม่อยู่แล้ว
ใต้ท้องนภา
ซูอี้ไม่ได้เสียเวลาอะไรมากนัก นี่เป็นครั้งที่สามที่เขาฆ่าเจตจำนงของ ‘จิตรกร’ จนเคยชินไปเสียแล้ว
ใช่ว่าเจตจำนงของจิตรกรจะไม่แข็งแกร่งพอ ทว่าการต่อสู้กันแต่ละครั้ง เจตจำนงของจิตรกรไม่ได้รู้เลยสักนิดว่า ซูอี้คือใคร มีพลังที่แข็งแกร่งถึงเพียงใด
เมื่อย้อนกลับไปมองดูซูอี้ เขารู้ตื้นลึกหนาบางของฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างดี ในสภาพการณ์เช่นนี้ ไม่อยากจะชนะยังทำได้ยาก
แน่นอน ซูอี้ไม่ได้รู้สึกลำพองใจแม้แต่น้อย
อย่างไรเสียคนที่ถูกฆ่าก็เป็นเพียงแค่เจตจำนงของจิตรกรเท่านั้น
เก็บดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์แล้ว ซูอี้ก็หมุนตัวเดินลงไปยังผืนแผ่นดิน
ราตรีมาเยือน
กองไฟลุกโชน เย่ลั่วนั่งย่างเนื้อสัตว์อยู่ที่หน้ากองไฟ
ซูอี้นั่งสมาธิและพักผ่อนอยู่บนก้อนหินใหญ่ที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
ไม่ไกลนัก ไป๋อี้กำลังเช็ดดาบวิถี เฝ้าอยู่ข้างกายซูอี้เงียบ ๆ
หวังจัวฝู่ดื่มสุราแก้เครียด สีหน้าของเขายังคงหมองหม่น
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้สร้างความกระเทือนใจให้กับเขามากเกินไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจระงับความรู้สึกได้อย่างแท้จริง
จักรพรรดิปีศาจสนแดง บรรพตทมิฬ กับกระทิงเขียวพูดคุยกันเบา ๆ เวลาที่เบนสายตามองไปยังเนื้อย่างในมือเย่ลั่ว สายตามีเลศนัยยิ่งนัก
นั่นคือปีกของจักรพรรดิปีศาจปีกโลหิต ซึ่งถูกถอนขนจนไม่เหลือ แช่ล้างในลำธารเป็นเวลานาน สับเป็นชิ้น ๆ แล้วเสียบไม้
“เฮ้อ ปีกโลหิตตายด้วยน้ำมือใต้เท้าซูถือเป็นบุญใหญ่หลวงแล้ว ตอนนี้เนื้อของเขายังสามารถแปรเป็นอาหารให้ใต้เท้าซูได้ลิ้มรส ถือเป็นวาสนาของเขา สามารถยิ้มและไปสู่ยมโลกได้แล้ว”
จักรพรรดิปีศาจกระทิงเขียวพูดด้วยสีหน้าสับสน
ใครก็รู้ว่าจักรพรรดิปีศาจปีกโลหิตเป็นลูกสมุนของกระทิงเฒ่าตนนี้!
ลมมืดเย็นสบาย กลิ่นหอมของเนื้อย่างตลบอบอวลไปไกลทีละน้อย
สนแดงกลืนน้ำลายเงียบ ๆ จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าลูกกระเดือกของบรรพตทมิฬก็กำลังขยับ เห็นได้ชัดว่าถูกกลิ่นหอมของเนื้อย่างดึงดูดด้วยเหมือนกัน
เมื่อหันไปมองจักรพรรดิปีศาจกระทิงเขียว น้ำลายแทบจะไหลอยู่แล้ว
‘ปีกย่างขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ รสชาติแบบนั้น… แม้แต่เทพเซียนก็คงไม่อาจปฏิเสธได้กระมัง?’
สนแดงแอบพูดกับตัวเองในใจ
ทันใด เขาก็รู้สึกมืดไปหมด
จู่ ๆ ก็มีร่างผอมบางร่างหนึ่งปรากฏตัวอยู่ข้างกองไฟ ผมยาวรุงรัง เสื้อผ้าที่สวมใส่สกปรกมอมแมม ราวกับชาวบ้านผู้ลี้ภัยหนีความอดอยาก
เป็นเพราะหันหลังให้สนแดง เขาจึงมองเห็นแต่เพียงใบหน้าด้านข้างของร่างผอมบางร่างนั้น ผิวขาวเนียนดุจสาวน้อย
ร่างของสนแดงแข็งทื่อ ในใจพลันหนาววาบ
ครู่ถัดมา บรรพตทมิฬกับกระทิงเขียวพากันสีหน้าเปลี่ยนราวกับเจอศัตรูตัวฉกาจ
ไป๋อี้ที่นั่งเช็ดดาบวิถีไกลออกไปเงยหน้าขึ้นในทันใด สายตาดุดันราวกับคมมีด
หวังจัวฝู่ที่นั่งดื่มสุราแก้เครียดอยู่นิ่งตะลึงไปชั่วขณะ ตัวสั่นสะท้านขึ้นมา
ที่น่าประหลาดก็คือหญิงสาวสกปรกมอมแมมคนนั้นยืนอยู่ข้างหลังเย่ลั่ว มองดูเนื้อที่ย่างจนสุกในมือของเขา แต่เขากลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
เย่ลั่วสังเกตเห็นสายตาที่มองมาของไป๋อี้ เขาก็หัวเราะขึ้นมาพลางกล่าว “ศิษย์น้องไป๋อี้ เจ้าจะเบิกตากว้างถึงเพียงนั้นเพื่ออะไร หรือว่าทนไม่ไหวอยากจะกินเนื้อย่างแล้ว?”
พูดจบ เขาก็โรยเครื่องปรุงรสลงบนเนื้อย่าง “อย่าใจร้อน ย่างต่ออีกสักหน่อยประเดี๋ยวกินแล้วจะยิ่งรู้สึกหอม อย่าลืมสิ ตอนที่อยู่ถ้ำเสวียนจวิน หากพูดถึงฝีมือการย่าง นอกจากศิษย์พี่จิ่นขุยแล้ว ฝีมือย่างของข้าเยี่ยมยอดที่สุด”
เขาพูดคุยยิ้มแย้มเป็นธรรมชาติมาก
ทุก ๆ คนต่างก็ตื่นตระหนก แอบปาดเหงื่อแทนเย่ลั่ว คน ๆ นี้ยังไม่รู้สึกตัวอีกหรือ?
ไป๋อี้ลุกขึ้นเงียบ ๆ เห็นหญิงสาวเนื้อตัวมอมแมมคนนั้นไม่ขยับเขยื้อน ไม่ได้มีท่าทีอื่นใด เขาจึงกล่าวเบา ๆ เตือนสติ “ศิษย์พี่ ข้างหลัง… มีผู้หญิงนางหนึ่งยืนอยู่”
ชั่วขณะนี้ ภายใต้แสงสะท้อนของกองไฟ เขาใช้ปลายหางตาเหลือบมองเงาสูงยาวเงาหนึ่งบนพื้นใกล้ ๆ
แทบจะในขณะเดียวกัน เสียงประหม่าเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ไม่ต้องตกใจไป ระวังจะย่างเกรียม”
เย่ลั่ว “…”
สายตาสีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป รู้สึกสงสัยนัก หรือว่าหญิงสาวเนื้อตัวมอมแมมคนนี้จะมาเพราะถูกกลิ่นหอมของเนื้อย่างดึงดูดเข้าแล้ว?
บนหินใหญ่ที่ห่างออกไป ซูอี้ก็ออกจากสมาธิและลุกขึ้นยืน กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “เย่ลั่ว เจ้าย่างเนื้อต่อ คนอื่น ๆ ต้องทำอะไรก็ไปทำ แม่นางคนนี้นางมาหาข้า”
ได้ยินซูอี้พูดแล้ว เย่ลั่วแอบโล่งอก ทว่าสีหน้ายังคงเคร่งเครียดมากเหมือนเดิม
หญิงสาวมาปรากฏอยู่ข้างหลังตัวเองอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ทว่าตัวเองกลับไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ถ้าเช่นนั้น… ระดับวิถีของอีกฝ่ายจะน่ากลัวเพียงใดกัน?
คนอื่น ๆ ก็รู้สึกใจเต้นเหมือนกัน
เวลานี้ หญิงสาวเนื้อตัวมอมแมมย่อตัวลง หยิบเนื้อย่างจากมือของเย่ลั่วไปไม้หนึ่ง เขมือบกลืนจนเกลี้ยงในคำเดียว
จากนั้นสาวน้อยมอมแมมคนนี้ก็เดินไปหาซูอี้
“พี่ซู ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่ซูยังมีชีวิตอยู่”
ผมยาวรุงรังของนางพัดสยายท่ามกลางสายลม เผยให้เห็นใบหน้ามนสวยได้รูป ดูแล้วอายุแค่ประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี ดวงตาใสซื่อไร้เดียงสา ในเสียงหวานออดอ้อนแฝงด้วยความประหม่า เห็นแล้วรู้สึกเอ็นดู
“พูดถึงอายุ เจ้าอายุมากกว่าข้า”
ซูอี้หัวเราะเสียงเย็นชา “ยังมีอีก อย่าแสร้งทำหน้าละอ่อนเลย อยู่มาจนอายุปูนนี้แล้ว ยังแสร้งทำตัวน่าสงสาร ไม่อายบ้างหรือ?”
หญิงสาวเนื้อตัวมอมแมมกะพริบตาปริบ ๆ หัวเราะเบา ๆ พลางกล่าว “ตอนนี้พี่ซูก็อายุแค่สิบแปดสิบเก้าเท่านั้นไม่ใช่หรือ?”
ทุกคนกลั้นหายใจ แม้ว่าหญิงสาวผู้นี้จะเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ทว่าเมื่อนางเผยรอยยิ้มออกมา ใบหน้าของนางงดงามโดดเด่น สวยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
แม้กระทั่งร่างผอมบางที่ไม่มีอะไรสะดุดตาก็ยังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์กระชากวิญญาณ
แม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งดั่งจักรพรรดิปีศาจสนแดงขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ จิตวิถีของเขาก็ยังถูกกระชาก รู้สึกว่าแม่สาวน้อยสกปรกมอมแมมคนนั้นราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทุก ๆ อณูช่างเย้ายวนรัญจวนใจ เร้าอารมณ์ความต้องการดั้งเดิมในส่วนลึกของหัวใจ
อย่างไม่ต้องสงสัย กิริยาที่หญิงสาวสกปรกมอมแมมเผยออกมาโดยไม่ระวังนั้นแฝงด้วยพลังเย้ายวนสรรพชีวิต มีผลกระทบต่อภาวะจิตและจิตวิญญาณของตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ!
น่ากลัวมาก!
ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ และกล่าวออกมาตรง ๆ “จงว่ามา เจ้ามาในครั้งนี้ต้องการจะทำอะไร?”
หญิงสาวเนื้อตัวมอมแมมยืนห่างจากซูอี้ไปสามจั้ง ดวงตาใสซื่อไร้เดียงสามองไปที่ซูอี้ กัดริมฝีปากสีชมพูระเรื่อเบา ๆ กล่าวอ่อนหวานยั่วเย้า “พี่ซู หรือว่าพี่ลืมไปแล้ว พี่เคยบอกว่า เมื่อไรที่ข้าสามารถเอาชนะพี่ซูได้ เมื่อนั้นข้าก็สามารถนอนกับพี่ซูได้?”
ฟังถึงตรงนี้ ทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้างโดยไม่ทันตั้งตัว
นี่มันเรื่องอันใดกัน หญิงสาวมาในครั้งนี้ ก็เพราะต้องการจะนอนกับปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้กลับชาติมาเกิดใหม่แล้วเช่นนั้นหรือ!?
มุมปากของซูอี้กระตุกเล็กน้อย ฉับพลัน เขามองดูอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง พลางกล่าว “กล่าวมาเช่นนี้ เจ้าต้องการจะประลองกับข้าหรือ?”
หญิงสาวเนื้อตัวมอมแมมพยักหน้า “ระยะนี้ในโลกลือกันว่า มีคนบังอาจฮึกเหิมกล้าแอบอ้างปลอมตัวเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน ดังนั้นข้าจึงได้มา อยากจะดูนักว่าคนที่บังอาจฮึกเหิมคนนั้นคือใครกันแน่ จึงบังอาจแอบอ้างเป็นพี่ซูผู้ที่ข้าเคารพอย่างที่สุด คงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว”
แรกเริ่มสุดรูปโฉมของหญิงสาวไม่มีอะไรน่าสะดุดตา ในตัวมีเพียงความโดดเดี่ยวที่ใครเห็นเป็นต้องเอ็นดูเท่านั้น
ทว่าเวลานี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ สีหน้าแววตาของนางล้วนเผยความงดงามอันน่าตื่นตะลึงออกมา ถึงแม้ผมยาวของนางจะรุงรัง เสื้อผ้าจะสกปรก แต่ก็ปกปิดเสน่ห์ที่เต็มไปด้วยความเย้ายวนใจเช่นนั้นได้ยาก
ถึงแม้นางจะหันหลังให้คนอื่น ๆ ทว่ายังคงกระชากหัวใจของทุกคนจนเลือดลมในตัวเดือดพล่าน ความต้องการลึก ๆ ภายในใจราวกับกำลังปะทุ ไม่อาจดับลงได้
ต้องเข้าใจว่าคนทั้งหลายที่อยู่ในที่นี้ล้วนเป็นจักรพรรดิที่มีระดับวิถีแก่กล้า ล้วนอยู่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำด้วยกันทั้งสิ้น พบเจอพายุฝนกระหน่ำมามาก ผ่านความลำบากมาเยอะ ภาวะจิตของแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว
ทว่าเวลานี้ เพียงแค่กิริยาวาจาและเสียงหัวเราะของหญิงสาวคนนั้น จิตใจของพวกเขาก็ถูกยั่วยวนแล้ว!
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าที่มาของนางไม่ธรรมดาเลย ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก
มีเพียงซูอี้คนเดียวเท่านั้น ที่ดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบเช่นนี้ สีหน้ายังคงราบเรียบเหมือนดังเดิม
เขาคิดสักครู่ มองดูใบหน้าสวยโดดเด่นเกินใครของหญิงสาวที่ยืนห่างไม่ไกลนัก จากนั้นกล่าวพลางขมวดคิ้ว “เช่นนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นใครกันที่บอกกับเจ้าว่าข้าอยู่ในหุบเขาแสนปีศาจแห่งนี้?”
………………..