บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1090: ขอเพียงผลลัพธ์
ตอนที่ 1090: ขอเพียงผลลัพธ์
จักรพรรดิมารสวรรค์!
เย่ลั่ว ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ระลึกถึงตัวตนของหญิงสาวชุดแดงได้ทันที ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางจะสามารถปราบชายชราชุดทองลงได้โดยง่าย
เพราะถึงอย่างไร นางก็เป็นปรมาจารย์แห่งวิถีมารผู้อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิมาแสนนาน ฝีมือลึกล้ำยากหยั่งถึง ในมหาแดนดินนี้ ผู้สามารถทัดเทียมนางมีเพียงหยิบมือ!
และผู้เฒ่าตระกูลหวังเหล่านั้นล้วนตะลึงจนจิตหลุดลอย ร่างสั่นสะท้านเกินควบคุม
แม้พวกเขาจะไม่อาจทราบถึงตัวตนของจักรพรรดิมารสวรรค์ แต่ก็ยังสัมผัสได้ชัดเจนว่าสตรีชุดแดงผู้นี้เป็นตัวตนอันร้ายกาจยิ่งนัก!
แม้อีกฝ่ายจะนั่งเอ้อระเหยอยู่บนเมฆา อำนาจอันมองไม่เห็นก็ยังกดทับลงมาจนรู้สึกยากหายใจ จนปัญญาด้วยความต่ำต้อย
“สตรีผู้นั้นเป็นผู้ใดกัน? ไฉนจึงน่ากลัวได้เช่นนี้?”
“เพียงชั่วอึดใจก็เอาชนะผู้ส่งสาส์นจากโรงวาดฤทัยได้ มองทั่วหล้าทุกวันนี้ จะมีสักกี่คนที่ทำได้?”
“มันจบแล้ว ทุกอย่างจบแล้ว…”
แต่เดิม ร่างเวียนวัฏของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินทำให้พวกเขารู้สึกกดดันมหาศาล ทว่าเมื่อยามนี้เพิ่มสตรีชุดแดงอันร้ายกาจยิ่งผู้นี้มาอีก ก็เหมือนสะบั้นฟางช่วยชีวิตสุดท้าย ทำให้พวกเขาสิ้นหวังสิ้นเชิง
“คางคกมันจะไปอร่อยอันใด แค่คิดก็พะอืดพะอมแล้ว”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ
เขากล่าวพลางเดินมาถามชายชราชุดทอง “คุณหนูของเจ้ามีที่มาเช่นไร?”
เขาจำได้ว่าเจตจำนงของ ‘จิตรกร’ เกิดจิตสังหารและเสียอาการขึ้นมาทันทียามกล่าวถึง ‘คุณหนู’ และกล่าวขู่ไว้ว่าหากเกิดสิ่งใดขึ้นกับคุณหนูแห่งโรงวาดฤทัย โลกนี้จะถูกทำลายฝังไปกับนาง!
สิ่งนี้ย่อมกระตุ้นความสงสัยของซูอี้
ชายชราชุดทองที่อยู่บนพื้นสั่นสะท้านทั่วกาย บาดเจ็บสาหัสใกล้สิ้น
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก เขาไม่ได้ตอบคำถามของซูอี้ แต่กล่าวลอดไรฟัง “ซูเสวียนจวิน จนแล้วจนรอดข้าก็ยังคิดว่าเจ้าเป็นเจ้าครองภพอันไร้ผู้เทียบ ไม่คาดว่าเจ้าจะกลับคำลอบส่งคนมาลอบโจมตีข้า น่ารังเกียจยิ่งนัก!”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว พวกเย่ลั่วก็อดหัวเราะไม่ได้ ช่างน่าขันที่ไอ้แก่ผู้นี้มากล่าวหาอาจารย์เขา
ตู้ม!
ชายชราชุดทองถูกกดดันร้ายแรงจนกลายร่างเป็นคางคกทองซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลโชกเลือดโดยพลัน
“ข้ารู้ว่าในวิญญาณของเจ้าก็มีเจตจำนงของผู้ก่อตั้งโรงวาดฤทัยอยู่ แต่ยามนี้ข้าไร้กะจิตกะใจจะคุยกับเขา”
ซูอี้กล่าว เขายกมือขึ้นวาดออกเคล็ดวิชาเข้าใส่ชายชราชุดทอง
ร่างของคางคกสามตาถูกผนึกอย่างสมบูรณ์
นอกจากนั้น เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุใด ๆ เขายังเจือปราณดาบเก้าคุมขังไว้ในผนึกอีกด้วย
เมื่อทำเช่นนี้ ต่อให้เจตจำนงของจิตรกรจะถูกปลุก อีกฝ่ายก็จะไม่อาจหลุดออกมาได้
ซูอี้มองขึ้นไปยังม่านเมฆาบนฟ้า กล่าวขึ้นว่า “หากเจ้าอยากกิน ข้าหั่นขามันออกมาให้เจ้าลองสักขาดีหรือไม่?”
“หากพี่ซูย่างเนื้อให้ข้า ข้าจะกิน แต่หาไม่ ข้าไร้ความอยาก ไม่กินหรอก”
จักรพรรดิมารสวรรค์กล่าวยิ้ม ๆ
ซูอี้เก็บร่างคางคกทองสามตาไป
จักรพรรดิมารสวรรค์ “…”
ดวงดวงกระจ่างงดงามของนางอดเจือความแง่งอนไว้ไม่ได้
ทว่าซูอี้ไหนเลยจะสน?
เขาเกาคอตนเอง ขมวดคิ้วพลางกล่าว “เจ้าไปนั่งทำอันใดอยู่ตั้งสูง ลงมาสิ”
จักรพรรดิมารสวรรค์แค่นเสียงหึ แต่ก็ลุกขึ้นอย่างเชื่อฟัง อาภรณ์แดงพลิ้วไสว โรยตัวลงสู่พื้นในพริบตา ยืนอยู่เยื้องเบื้องหลังซูอี้ ดูราวสาวใช้ผู้ว่าง่ายเชื่อฟัง ภาพนี้ทำให้ดวงตาใครหลายคนแทบถลนออกจากเบ้า
และเย่ลั่วกับพวกไป๋อี้ต่างหลั่งเหงื่อกาฬเย็นเฉียบบนหน้าผาก จักรพรรดิมารสวรรค์ผู้นี้เล่นละครเก่งยิ่ง! หากไม่รู้มาก่อน เกรงว่าคงได้คิดประไรว่านางคือสาวใช้ของอาจารย์…
“หวังจ้งเยวียนแห่งตระกูลหวังแคว้นจง คารวะใต้เท้าซู!”
ทันใดนั้น หวังจ้งเยวียนก็เดินออกมาก้มหัวต่ำ ๆ แก่ซูอี้
เขาบาดเจ็บโชกเลือด แต่เห็นได้ชัดว่าเมินมันไป ยามคารวะซูอี้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลว้าวุ่น
“คารวะใต้เท้าซู!”
ไม่นานนัก เหล่าผู้เฒ่าตระกูลหวังก็ออกมาคารวะเขา
พวกเขาก้มหัวลงคนแล้วคนเล่า ดูตระหนกตื่นกลัว
หลังลังเลอยู่ชั่วครู่ หวังเชวี่ยก็ก้าวเข้ามากล่าวเบา ๆ “อาจารย์ ข้า…”
ซูอี้โบกมือกล่าวอย่างอบอุ่น “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกล่าวอันใด ข้ามาตระกูลหวังของเจ้าครานี้ก็เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของเจ้า ข้าโล่งอกแล้ว ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่ตระกูลเจ้าทำ ก็ให้เป็นเรื่องที่ตระกูลเจ้าต้องแก้กันเอง ข้าขอเพียงผลลัพธ์เท่านั้น”
หวังเชวี่ยตกใจ
ซูอี้เอ่ยปากขึ้น “หวังจัวฝู่ เจ้าจงจัดการเรื่องต่อจากนี้ซะ”
ก่อนสิ้นคำ ร่างชราวัยร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นห่าง ๆ
เขาก็คือหวังจัวฝู่
ทันทีที่เขามาถึง เขาก็โค้งคำนับซูอี้พลางกล่าว “ใต้เท้าซูโปรดวางใจ ตาเฒ่าผู้นี้จะให้คำตอบที่น่าพอใจแก่ท่านขอรับ!”
“ไปกันเถอะ หาที่ดื่มกันก่อน”
ซูอี้ใช้หนึ่งมือไพล่หลัง หนึ่งมือถือน้ำเต้าสุราหันหลังจากไป
แม้เขาจะไม่ได้เห็นแก่หน้าหวังเชวี่ย เขาก็ไม่ได้สนใจกวาดล้างพวกตาแก่ตระกูลหวังแห่งแคว้นจงอยู่แล้ว
ปล่อยให้หวังจัวฝู่จัดการก็พอแล้ว
เพราะถึงอย่างไร ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตระกูลหวังผู้นี้ ครั้งหนึ่งก็ถูกตระกูลตนเองหลอกใช้เป็นตัวหมาก และสะกดกลั้นโทสะไว้ในใจอยู่
ยิ่งกว่านั้น ซูอี้ยังเชื่อด้วยว่าหวังจัวฝู่จะให้คำตอบอันน่าพึงพอใจกับเขาได้
…
ในฐานะฐานที่มั่นตระกูลหวัง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์หมื่นประกายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาลือนามชั้นหนึ่งในแคว้นจงซึ่งทอดยาวและมียอดมากมาย
การเคลื่อนไหวในตระกูลวันนี้ถูกถ่ายทอดไปทั่วตระกูลหวังแล้ว ไม่รู้ว่ามีสมาชิกตระกูลมากเพียงไรที่เร่งไปยังหอประชุมหลักบนยอดเขา
เพียงแค่ว่า เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับซูอี้ ณ ขณะนี้
ไป๋อี้อดถามไม่ได้
เย่ลั่วกล่าวเบา ๆ “เจ้าโง่ หากศิษย์พี่ห้าอยู่ เขาก็จะได้เห็นสถานการณ์การฆ่ากันเองในตระกูลแน่แท้ หากเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่ห้าก็จะยิ่งรู้สึกอึดอัดประไร”
หวังเชวี่ยถอนใจเบา ๆ และยิ้มฝืน ๆ “ข้าทำให้พวกเจ้าหัวเราะเสียแล้ว”
เขาไม่สบายใจจริงแท้
เย่ลั่วก้าวเข้ามาตบบ่าหวังเชวี่ย ส่งไหสุราให้พลางกล่าว “อย่าพูดคำไกลตัวเหล่านี้เลย ดื่มเถอะ”
หัวใจของหวังเชวี่ยอุ่นวาบ แล้วเขาก็รับไหมากระดกดื่มจนได้ยินเสียง ‘อั้ก ๆ’
ไม่ห่างไปนัก ซูอี้ก็นำชิ้นหยกดำออกมา และเมื่อออกแรง หยกชิ้นนั้นพลันแตกสลาย ร่างของจิ่นขุยก็ร่วงลงมา
ก่อนที่ซูอี้จะทันได้รับร่างจิ่นขุยผู้หมดสติไว้ จักรพรรดิมารสวรรค์ก็ชิงโอบร่างจิ่นขุยไว้ในอ้อมแขนเสียก่อน
จักรพรรดิมารสวรรค์กะพริบตากล่าวยิ้ม ๆ “ชายหญิงไม่ควรแตะกาย แม้จะเป็นระหว่างศิษย์อาจารย์ เราก็ยังต้องระวังข้อครหา ให้ข้าจัดการเถอะ”
ทุกคน “…”
นี่นางพูดอันใดอยู่? หรือใต้เท้ามารสวรรค์จะคิดว่าอาจารย์จะฉวยโอกาสทำมิดีมิร้ายกับศิษย์พี่หญิงสี่?
ซูอี้อดแค่นเสียงอย่างเย็นชาไม่ได้ “ความคิดเจ้านี่สกปรกดีแท้!”
จักรพรรดิมารสวรรค์กล่าวอย่างเดียดฉันท์ “ข้าพูดถึงการเลี่ยงข้อครหา ไม่ใช่การปฏิบัติต่อศิษย์ของเจ้าเสียหน่อย พี่ซู ไฉนจึงกล่าวหาว่าสกปรกไปได้เล่า?”
ซูอี้พลันเงียบไป
เขารู้ดีว่าหากเป็นเรื่องการโต้วาที นางมารผู้นี้มีความสามารถแข็งแกร่งเฉพาะตัว หากเถียงกันไป เรื่องจะยิ่งแย่ลงเสียเปล่า
จักรพรรดิมารสวรรค์แย้มยิ้มและเริ่มลบผนึกในวิญญาณของจิ่นขุยออก
ไม่นานนัก จิ่นขุยก็ตื่นขึ้น
นางมองไปรอบ ๆ อย่างเหม่อลอย และเมื่อพบกับใบหน้าคุ้นตาทั้งหลาย ดวงตาของนางก็อดเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยไม่ได้
“ข้า… ยังอยู่… ในฝันหรือ?”
เย่ลั่ว ไป๋อี้ หวังเชวี่ยมองหน้ากัน และอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
จักรพรรดิมารสวรรค์เอ่ยหยอกเย้าขึ้นมา “แม่หนูคนงาม เจ้าเห็นอาจารย์และศิษย์น้องทั้งหลายในฝันไม่ได้หรอกนะ”
“เอ๋… อ๊า!?”
จิ่นขุยพลันตระหนักว่าหญิงงามผู้หนึ่งโอบกอดนางอยู่ และตะเกียกตะกายลุกขึ้นทันที
นางสูดหายใจลึก ๆ สองสามหนเพื่อสงบใจ ทว่าเมื่อดวงตากวาดมองเห็นเย่ลั่ว ไป๋อี้และหวังเชวี่ย สีหน้าของนางก็ดูสงสัยอีกครั้ง
เกิดอันใดขึ้น?
ยามข้าตื่น ไฉนพวกเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่กันหมด?
ที่นี่คือหนใด?
สตรีชุดแดงและชายหนุ่มชุดเขียวสองคนนั้นคือผู้ใด?
ความเคลือบแคลงมากมายทะลักสู่หัวใจจิ่นขุย
ทว่าใบหน้างามของจิ่นขุยแปรเปลี่ยน นางขัดขึ้นทันทีราวจำบางอย่างได้ “ศิษย์น้องเย่ลั่ว เจ้าถูกโจรชั่วนามซูอี้ล้างสมองเหมือนเช่นผีหมัวว่าจริง ๆ หรือ?”
เย่ลั่วอดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้ ว่าแล้วเชียว เห็นได้ชัดเลยว่าศิษย์พี่หญิงจิ่นขุยก็ถูกผีหมัวปิดตาลวงมาเช่นกัน
ไป๋อี้รีบอธิบาย “ศิษย์พี่หญิง เจ้าถูกผีหมัวหลอกแล้ว!”
เขาอธิบายสิ่งที่เขาประสบมา และบอกจิ่นขุยว่าตัวเขาก็เคยฟังคำใส่ความของผีหมัว และกระทั่งลงมือลอบสังหารอาจารย์ตนในหุบเขาแสนปีศาจอีกด้วย…
“จริงหรือ?”
จิ่นขุยดูไม่แน่ใจ
เมื่อเห็นเช่นนี้ เย่ลั่วก็เผยความผิดที่ตนทำ ใช้น้ำเสียงเย้ยหยันตัวเองกล่าวว่าเขาเคยเชื่อใจผีหมัวเช่นไร และสุดท้ายก็ถูกผีหมัวหลอกใช้เช่นไร
ไม่ห่างนัก เมื่อหวังเชวี่ยเห็นเย่ลั่วและไป๋อี้ต่างออกมา ‘เปิดโปงตนเอง’ เขาก็ไอแห้ง ๆ และเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างรู้สึกอับอายเล็กน้อยที่ตนถูกขังมาตลอด และถูกผีหมัวมองเป็น ‘ตัวหมาก’ ใช้ลวงอาจารย์
ยามนี้ จิ่นขุยตะลึงงัน กล่าวกับตนเอง “แสดงว่าตลอดมา ข้า… ข้าก็ถูกศิษย์พี่ใหญ่… ไม่สิ ข้าถูกผีหมัวหลอกมาเหมือนกันหรือ?”
เย่ลั่ว ไป๋อี้และหวังเชวี่ยต่างพยักหน้า “ใช่!”
จักรพรรดิมารสวรรค์เห็นเรื่องราวทั้งหมดชัดแจ้ง มุมปากสีกุหลาบของนางอดยกยิ้มหัวเราะมิได้
นางกระซิบเบา ๆ “พี่ซู ข้าไม่คาดเลยว่าวิธีการของศิษย์เอกเจ้าจะทรงพลังนัก ถึงกับหลอกศิษย์เจ้าไปทั่วเลย”
ซูอี้จิบสุราพลางกล่าว “ยามเชื่อใจผู้ใด การถูกคนผู้นั้นหลอกลวงก็มักง่ายดายที่สุด กล่าวได้ว่าเป็นการหลงภาพลวง และการที่ผีหมัวฉวยโอกาสเช่นนี้ไม่อาจกล่าวได้ว่าทรงพลัง กล่าวได้เพียงต่ำต้อยน่ารังเกียจเท่านั้น”
“ในสายตาข้า ทุกการกระทำของผีหมัวล้วนสมควรลงทัณฑ์ และบาปของเขา… ก็ยิ่งอภัยไม่ได้!”
ในช่วงท้าย ดวงตาของซูอี้เปี่ยมด้วยความเย็นชา