บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1091: ข่าวร้าย
ตอนที่ 1091: ข่าวร้าย
ครู่ต่อมา จิ่นขุยก็รีบร้อนเข้ามาโค้งหัวคำนับซูอี้ “ศิษย์จิ่นขุยคารวะอาจารย์!”
เสื้อน้ำเงินกระโปรงเหลืองของนางพลิ้วไสวงามสง่า ดูราวกับหญิงสาวสะคราญในวัยยี่สิบเศษ ทว่าที่จริงแล้ว นางคือศิษย์แท้ลำดับที่สี่แห่งถ้ำเสวียนจวิน
ซูอี้ลูบหัวจิ่นขุยยิ้ม ๆ และกล่าวว่า “ไม่ได้พบกันห้าร้อยปี แต่การฝึกฝนของจิ่นขุยน้อยมาถึงขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นปลายแล้วนี่”
สีหน้าของจิ่นขุยแสนปรีดา
ยามนางยังเด็ก นางฝึกฝนกับอาจารย์ ยังจำได้อยู่เลยว่านางไม่ชอบถูกอาจารย์ลูบหัวด้วยรู้สึกว่าอาจารย์ปฏิบัติต่อนางเยี่ยงเด็กคนหนึ่ง และมักไม่ชอบใจเรื่องนี้นัก
ทว่ายามนี้ เมื่อถูกอาจารย์ลูบหัวอย่างอ่อนโยน จิ่นขุยก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในใจซึ่งห่างหายไปนาน ราวกับผู้ผ่านการเปลี่ยนแปลงแห่งช่วงชีวิตและได้กลับสู่อ้อมอกญาติผู้ใหญ่อันเป็นที่รักยิ่งอีกครั้ง
ซูอี้เองก็รำพันเล็กน้อยในใจเช่นกัน
จิ่นขุยฝีมือสูงส่ง รากฐานบริสุทธิ์ ยังจำได้ว่ายามแรกพบ หญิงสาวผู้นี้เพิ่งขัดเกลาร่างเนื้อ แต่กลับเปี่ยมปราณจิตวิญญาณบริสุทธิ์ทั่วร่างอันทำให้เขาตะลึง จึงต้องชื่นชมหญิงสาวว่า ‘หัตถ์นิ่มนวลเยาว์วัยเช่นแพรไหม อาภรณ์กรุยกรายดุจควันม่วงกลางหุบเขา’
ทุกคนล้วนสะดุ้งและอดหัวเราะไม่ได้
ไฉนไป๋อี้จึงถูกเรียกว่า ‘จิตใจเรียบง่ายดุจกระดาษขาว’?
นั่นเป็นเพราะเขาไม่เคยปกปิดความคิดในใจต่อหน้าอาจารย์เขาเลย
อารมณ์ของหวังเชวี่ยก็ดีขึ้นแล้วอย่างเห็นได้ชัด กล่าวออกมายิ้ม ๆ “ศิษย์น้อง สิ่งนี้เอามาเกทับกันได้ด้วยหรือ ข้าสิห่างขอบเขตสานพันธะลึกล้ำไปเพียงก้าวเดียวเอง”
เย่ลั่วมุ่ยหน้ากล่าวเย้ย “ศิษย์พี่ ท่านไม่ยอมให้ศิษย์น้องแปดอวดโอ่ ทว่าตัวเองกลับคุยฟุ้งเสียเอง น่ารำคาญใจแท้”
ไป๋อี้มีนิสัยบ้าสงคราม เขาจึงถูกท้าทายและตอบรับทันที “ศิษย์พี่ห้า ไฉนเราสองไม่ประลองกันต่อหน้าอาจารย์สักหน่อยเล่า? ท่านจะได้เห็นว่าระหว่างเรา ผู้ใดเติบโตมากกว่ากัน ดีหรือไม่?”
หวังเชวี่ยปฏิเสธทันที “ในฐานะศิษย์พี่ หากข้าชนะก็เหมือนใช้กำลังรังแก แพ้ก็เสียหน้า ช่างมันเถอะ”
เย่ลั่วอดหัวเราะไม่ได้
จิ่นขุยเองก็ขำคิกคัก
หัวใจของซูอี้สะท้าน ตบหน้าผากตนเอง “ข้าเกือบลืมเจ้าเต่าน้อยนี่ไปเลย”
กาลก่อนในถ้ำเสวียนจวิน พวกเขาก็มักถกเถียงหยอกล้อกันในหมู่ศิษย์พี่น้องบ่อยครั้งราวครอบครัวบ่อยครั้ง ช่างแสนผาสุข
เขากล่าวพลางโบกมือ
ทันใดนั้น เสวียนหนิงผู้เก็บตัวฝึกฝนในเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงเสมอมาก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
ราวเพิ่งตื่นจากฝัน เมื่อเขาได้เห็นเย่ลั่ว จิ่นขุย ไป๋อี้และหวังเชวี่ย เสวียนหนิงก็ตะลึงจังงัง พึมพำว่า “อาจารย์ ศิษย์ผู้นี้เหมือนจะมีมารในใจขอรับ ไฉน… ไฉนจู่ ๆ จึงรู้สึกเหมือนอยู่ในความลวง…”
ป้าบ!
“เอ่อ…”
ซูอี้ฟาดหลังหัวของเสวียนหนิงพลางปรามาสทั้งรอยยิ้ม “มารผจญใจอันใดกัน เจ้าฝึกฝนข้างกายข้ามาตลอด ข้าจะปล่อยให้เจ้ามีมารได้เช่นไร?”
เสวียนหนิงเกาหัวแกรก ๆ แล้วพลันดีใจเนื้อเต้น ตะโกนเสียงหลงอย่างตื่นเต้น “สวรรค์ ที่แท้นี่ก็เป็นเรื่องจริง!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็หัวเราะร่าออกมา
ไป๋อี้ หวังเชวี่ยและจิ่นขุยเองต่างก็ล้อมเข้ามาอย่างสงสัย
เสวียนหนิงกล่าว “นั่นเรื่องยาวเลย”
ศิษย์พี่น้องพูดคุยแลกเปลี่ยน ซูอี้นำเก้าอี้หวายออกมานั่งข้างผา ยืดเส้นสายสบายตัว
รัตติกาลราบเรียบดุจผิวน้ำ ดวงจันทร์ทอแสงท่ามกลางหมู่ดาวดารดาษ ทิวทัศน์ไกลออกไปปกคลุมด้วยม่านรัตติกาลอันเงียบงัน และกลุ่มศิษย์เบื้องหลังก็เสสรวลเฮฮา
ยามนี้ ซูอี้รู้สึกโล่งอกและสบายใจยิ่งนัก
‘หนอนตะกละเฒ่ากับจิ่งหังออกเดินทางทั่วโลกหล้า คงดีไม่น้อยหากเขาอยู่ที่นี่ด้วย…’
ซูอี้พึมพำในใจ
ทว่า เมื่อคิดถึงศิษย์ลำดับที่สามฮั่วเหยา ความปรีดาในใจซูอี้ก็สลายไปมาก
ก่อนออกจากภูมิมืดมิด เขาละทิ้งฮั่วเหยาผู้ถูกลบความทรงจำและทำลายการฝึกฝน ส่วนฮั่วเหยาจะใช้ชีวิตเช่นไรในภายหน้า ซูอี้ก็ไม่อาจใส่ใจอีกต่อไป
และเมื่อคิดไปถึงผีหมัวและชิงถัง ทุกความปรีดาในใจของซูอี้ก็มลายสิ้น
ซูอี้รำพึงพลางดื่มกับตนเอง
“พี่ซู ขุมกำลังน้อยใหญ่ในมหาแดนดินนี้ มีสำนักลัทธิใดบ้างที่ไร้คนทรยศ? เจ้าจมจ่อมกับความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์ในอดีตมากไปแล้ว”
จักรพรรดิมารสวรรค์ก้าวเข้ามานั่งลงข้างเก้าอี้หวายของซูอี้ เหยียดน่องเรียวกระจ่างขาวของนางห้อยลงที่ขอบผา
เส้นผมของนางพลิ้วสยาย ใบหน้าจิ้มลิ้มดุจหญิงสาว อาภรณ์แดงเพลิงพลิ้วไสวตามสายลมหุบเขา เผยเสน่ห์งามสะกดใจตะลึงโลกา
ซูอี้ไม่อยากพูดเรื่องนี้ เขาจึงกล่าวว่า “ยามเจ้าเอาชนะคางคกทองสามตาเมื่อครู่ รู้หรือไม่ว่ามีเจตจำนงอันแข็งแกร่งยิ่งแฝงอยู่ในวิญญาณของเขา?”
เมื่อจักรพรรดิมารสวรรค์ได้ยินเช่นนี้ แววตาของนางก็พราวระยับเยี่ยงสายน้ำ “ข้าเคยปรึกษากับคนจากหอเก้าสวรรค์มาก่อน และรู้ถึงกฎสวรรค์ภูมิดาราของยอดฝีมือจากจักรวาลพร่างดาวเหล่านี้ดี”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ริมฝีปากสีกุหลาบของนางก็เหยียดยิ้มเยาะ “หากเราควบคุมอำนาจกฎนี้ได้ การฆ่าพวกเขาก็ไม่ต่างจากเชือดไก่ฆ่าสุนัขหรอก”
ซูอี้เห็นด้วยกับวาจานี้
แม้ภูมิดาราฟ้าดินจะทรุดโทรมเสื่อมถอยลง และกฎสวรรค์ภูมิดาราจะไม่สมบูรณ์ก็ตาม แต่ในหมู่ผู้ฝึกตนในโลกาหลายร้อยล้านทุกวันนี้ ผู้ที่ฝ่าฟันมาจนเป็นตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิได้ มีใครบ้างไม่ใช่ตัวตนลือนามผู้ทำให้ทั่วทุกยุคสมัยตื่นตะลึง?
ไม่ใช่การกล่าวเกินไปหากจะบอกว่าหากภูมิดาราฟ้าดินมี ‘วิถีสู่สวรรค์’ ผู้คนในวิถีลึกล้ำเช่นจักรพรรดิมารสวรรค์คงก้าวขึ้นไปสู่จุดนั้นเนิ่นนาน กลายเป็นราชันย์แห่งภูมิผู้สะเทือนทั่วจักรวาลพร่างดาวไปแล้ว!
ความสำเร็จของนางยังเหนือล้ำกว่าเหล่าเจ้าเฒ่าในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวด้วยซ้ำไป!
แต่โชคร้ายที่ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นเพียงการอนุมาน
นับแต่บรรพกาล วิถีสู่สวรรค์ก็ไม่ได้มีอยู่อีกต่อไป
เพื่อป้องกันการเสื่อมถอยของการฝึกฝนตน จักรพรรดิมารสวรรค์ อัจฉริยะไร้คู่เปรียบผู้นี้ยังต้องใช้ ‘ตรวนมารวิถีต้องห้าม’ มาสะกดข่มวิถีเต๋าของตนเอง!
ในเมื่อจักรพรรดิมารสวรรค์ทำเช่นนี้ แล้วหลวงจีนเยี่ยนซินแห่งแดนบูรพาน้อย ปรมาจารย์เผิงแห่งแดนลี้ลับขั้นเก้า หนอนตะกละเฒ่าแห่งหอตำราเทียนเสวียนเล่า… ไฉนจึงไม่เป็นเช่นนั้น?
และตลอดกาลนานมา ยอดฝีมือผู้เลือกเดินทางสู่ห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวเพื่อขัดเกลาวิถีเต๋าของตนต่อเล่า ไฉนจึงไม่เป็นเช่นนั้น?
“แม้คางคกทองสามตาจะมีการฝึกฝนที่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นต้นและชำนาญกฎแปรดารา แต่พลังต่อสู้อย่างมากก็เทียบได้แค่กับตัวตนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นปลายในมหาแดนดินเท่านั้น”
จักรพรรดิมารสวรรค์ฉวยไหสุราจากมือซูอี้อย่างชำนาญ ยกน้ำเต้าเงยหน้าดื่ม ปล่อยหยาดเมรัยย้อยลงจากมุมปากสีกุหลาบหยดลงบนเสื้อของนาง
ซูอี้พยักหน้า เพราะเขาเองก็คาดการณ์ได้เช่นกัน
กฎสวรรค์ภูมิดาราอย่างวอนสวรรค์ แปรวิญญาณและวิเวกดาราเหล่านี้มิสามารถหยุดยั้งศัตรูทั้งหมดในเก้ามหาแดนดินอย่างไร้ผู้เทียบเคียงได้
ดูเหมือนว่าตัวตนเหล่านี้จะสามารถไร้เทียมทานในขอบเขตเดียวกันได้จริง และมีความสามารถพอจะต่อสู้ข้ามขอบเขตได้ แต่ก็ยังไร้ค่าหากเผชิญหน้าศัตรูที่มีขอบเขตห่างกันเกินไป
เหมือนเช่นคางคกทองสามตานี้ วิถีเต๋าของมันอยู่ในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นต้น ซึ่งแตกต่างจากวิถีเต๋าของจักรพรรดิมารสวรรค์ในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นสมบูรณ์
จักรพรรดิมารสวรรค์ดูราวคิดบางอย่างออก และพลันหันมาจ้องซูอี้ด้วยดวงตาดุจสายน้ำยามสารทและกล่าวขึ้นอย่างระมัดระวัง “เจ้าชอบ ‘คุณหนู’ ผู้นั้นจากโรงวาดฤทัยหรือ? หาไม่ ไฉนต้องร้อนรนถามผู้อื่นเช่นนี้ว่านางมีที่มาใด? พี่ซู บอกข้าที นางงดงามมากหรือ? นิสัยของนางเป็นเช่นไร เทียบกับข้าแล้วเป็นเช่นไร?”
ซูอี้มุมปากกระตุก วางมือลงก่ายหน้าผาก
นี่คือความแปรปรวนทางอารมณ์ของจักรพรรดิมารสวรรค์ ยามกล่าวเรื่องจริงจัง นางก็สามารถลากเข้าประเด็นเพ้อเจ้ออื่น ๆ ได้!
“คุณหนูผู้นั้นไม่ธรรมดา”
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ซูอี้ก็อธิบายเรื่องของคุณหนูบางส่วนอย่างอดทน
ท้ายที่สุด ซูอี้ก็กล่าวเตือน “ดังนั้น ข้าจึงแนะนำไม่ให้เจ้าเลินเล่อ จากที่คางคกทองสามตาว่า ยามนี้คุณหนูแห่งโรงวาดฤทัยดูจะกำลังเก็บตัวอยู่ และข้าจะต่อสู้สวนกลับทุกวิถีทาง”
จักรพรรดิมารสวรรค์ตะลึงไป และกล่าวว่า “พี่ซูกลัวสตรีผู้นี้มากหรือ?”
ซูอี้ส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความกลัว แต่เตือนเจ้าอยู่ว่าอย่าเลินเล่อต่างหาก”
จักรพรรดิมารสวรรค์หัวเราะร่า ใบหน้าสดใสดวงตาพราวระยับ กล่าวอย่างพอใจ “ข้ารู้ว่าพี่ซูยังห่วงข้าอยู่จริง ๆ”
ซูอี้ “…”
โชคดีที่จักรพรรดิมารสวรรค์ไม่ได้ใช้เสน่ห์เรือนร่างเข้ายวนยั่วอีก หาไม่ ซูอี้จะใช้สารพัดวิถีไล่นางมารนี่ไปแน่นอน
“หือ?”
ทันใดนั้น จักรพรรดิมารสวรรค์ก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าในอากาศ
วูบ!
เกิดคลื่นมิติรุนแรงขึ้นในอากาศไกล ๆ
จากนั้น ม้วนหยกม้วนหนึ่งก็แปรเปลี่ยนเป็นสายรุ้ง ร่วงลงสู่มือของจักรพรรดิมารสวรรค์
นางมองมันอยู่สักพัก แล้วก็ตกตะลึงไปครู่ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “พี่ซู ศิษย์เอกของเจ้าไม่ธรรมดาเลย เขาเริ่มร่วมมือกับคนจากหอเก้าสวรรค์มาจัดการกับเจ้าแล้ว”
ซูอี้หรี่ตาถาม “ไฉนจึงกล่าวเช่นนั้น?”
“ม้วนหยกนี้มาจากจ้าวเรือนจำที่หกแห่งหอเก้าสวรรค์ บอกข้าว่าได้ข่าวจากผีหมัว เมื่อได้ยืนยันตัวตนที่แท้จริงของเจ้าแล้ว ตามที่เขากล่าวก็คือ หอเก้าสวรรค์วางแผนร่วมมือกับผีหมัวจริง และจะส่งกำลังมาจัดการกับเจ้าในไม่ช้า”
จักรพรรดิมารสวรรค์กล่าว และชี้นิ้วไปที่ตนเองด้วยแววตาประหลาด “แล้วพวกเขายังให้ข้าร่วมมือกับพวกเขาในการนี้ด้วย”
“จ้าวเรือนจำที่หกกระทั่งสัญญาว่าขอเพียงข้าจับเจ้าได้ เขาจะให้เคล็ดฝึกฝน ‘วิถีสู่สวรรค์’ กับข้าทันที!”