บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1093: พุทธคาถา
ตอนที่ 1093: พุทธคาถา
ไม่นานหลังจากจักรพรรดิมารสวรรค์จากไป เสวียนหนิงก็มาหาซูอี้เพียงลำพัง
“อาจารย์ มีข้อสงสัยหนึ่งในใจศิษย์ อยากขอให้อาจารย์แถลงไขด้วยขอรับ”
เสวียนหนิงกล่าวเสียงเบา
ในอดีต เขาได้ฝึกฝนในเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงและได้ประกอบร่างวิถีของตนขึ้นใหม่ กระทั่งการฝึกฝนยังกลับสู่ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้นแล้ว
ซูอี้ผงะไป ก่อนจะกล่าวว่า “ไหนว่ามา”
“ในกาลก่อน อาจารย์ขอให้ศิษย์ไปยังแดนบูรพาน้อยของหลวงจีนเยี่ยนซินเพื่อฝึกฝนและขัดเกลาจิตใจ…”
เมื่อเสวียนหนิงพูดถึงจุดนี้ ใบหน้าของเขาก็เจือความงุนงง “แต่ยามนี้ศิษย์กลับ… รู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติ เหมือนเป็นความฝัน แม้จะจำประสบการณ์การฝึกฝนกับหลวงจีนเยี่ยนซินได้ชัดเจน แต่ก็เหมือนเสียบางอย่างไปด้วยขอรับ”
ซูอี้ถามอย่างอึ้ง ๆ “ไฉนเจ้าจึงรู้สึกเช่นนี้?”
เสวียนหนิงเกาหัว ขณะระลึกจริงจัง และกล่าวว่า “ยามศิษย์ออกจากแดนบูรพาน้อยไปหาเบาะแสเกี่ยวกับอาจารย์ในภูมิมืดมิด ศิษย์ใกล้ชิดของหลวงจีนเยี่ยนซิน ‘จี้หยวน’ เคยมาหาศิษย์เป็นการส่วนตัวและให้ยันต์ลับอันสร้างจากใบโพธิ์แก่ศิษย์ เขาบอกว่าหากวันใดที่ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในความทรงจำ ให้ท่องพุทธคาถานี้ในใจขอรับ”
ซูอี้อดสงสัยมิได้ “พุทธคาถาในยันต์ลับนี้ หรือจะมีปริศนาใดซุกซ่อน?”
เสวียนหนิงกล่าว “เรียนอาจารย์ พุทธคาถาในยันต์ลับนี้คือ ‘ธรรมทั้งหลายล้วนเสมือนฟองสบู่ในความฝัน ดุจน้ำค้างสายฟ้า พึงเห็นเช่นนี้’ ขอรับ”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวต่อ “ไม่นานมานี้ เมื่อศิษย์คืนสู่การฝึกฝนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ ขัดเกลาหล่อหลอมพลังวิญญาณ จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และพบว่าประสบการณ์ที่ได้ติดตามหลวงจีนเยี่ยนซินในแดนบูรพาน้อย แม้ดูชัดเจนดี แต่ก็เหมือนมีบางอย่างขาดหายขอรับ”
“ดังนั้น ศิษย์จึงนึกถึงยันต์ลับที่จี้หยวนให้ข้ามา และวาจาที่เขากล่าวไว้ ทว่าศิษย์สังเกตเห็นความแปลกประหลาดจึงไม่กล้าลอง และไม่เคยท่องพุทธคาถานี้ในใจด้วยกลัวอุบัติเหตุขอรับ”
ม่านตาของซูอี้หดตัวเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ด้วยฝีมือของลาเฒ่าหัวล้านเยี่ยนซิน การลบหรือแก้ไขความทรงจำส่วนหนึ่งของเจ้าอย่างลับ ๆ ย่อมทำได้อยู่แล้ว แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง… ก็แปลว่าเจ้าลาเฒ่าหัวล้านนี่ผิดปกติบางอย่าง…”
ทันใดนั้น เขาก็ส่ายหัวกล่าวกับตนเอง “ข้าเข้าใจเจ้าเฒ่าผู้มีปัญญาและความเพียรเป็นเลิศผู้นั้นดี เขาจะไม่ทำเช่นนี้เว้นแต่… จะเกิดบางอย่างขึ้นกับเขา!”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ซูอี้ก็ขมวดคิ้ว “และจี้หยวนผู้นั้นก็ดูจะคาดไว้แล้วว่าความทรงจำของเจ้าจะมีปัญหา เขาจึงให้ยันต์ลับใบโพธิ์นี้มา และกล่าวเตือนไว้… จะว่าไป ยันต์ลับนี้ยังอยู่กับเจ้าหรือไม่?”
ใบโพธิ์นั้นเป็นสมบัติหายากยิ่ง ในมหาแดนดินจะได้เห็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ ‘ต้นโพธิ์’ นี้ได้เพียงแดนบูรพาน้อยเท่านั้น
ยามนั้น ร่างของเขาเองก็ถูกทำลาย เหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณที่ไปถึงมหาทวีปคังชิง
ซูอี้ย่อมรู้เรื่องนี้ ทว่าเมื่อได้ยินว่ายันต์ลับถูกทำลาย เขาก็ยังผิดหวังอยู่ดี
“ธรรมทั้งหลายล้วนเสมือนฟองสบู่ในความฝัน…”
ซูอี้ครุ่นคิด “พุทธคาถานี้ไม่ได้เข้าใจยาก มันเข้าใจง่าย ๆ ได้ว่ากรรมทั้งหลายในโลกล้วนเป็นมายาเยี่ยงนิมิต ไม่อาจเข้าใจเหมือนเช่นหมอกฟองสบู่ แปรเปลี่ยนไร้จีรัง และในขณะเดียวกันก็ผันแปรรวดเร็วดุจสายฟ้า ดังนั้นหากต้องการมองให้ถึงธรรมะอันสูงสุด ต้องมองทะลุความลวง รู้แจ้งถึงความจริงประจักษ์แก่ใจ”
“ดูเหมือนมันจะไม่มีปริศนามากมายนัก ทว่าพุทธคาถานี้น่าจะเป็นกุญแจ หากเจ้าท่องมันในใจ อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันเกินคาดหยั่ง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเสวียนหนิงก็จริงจังขึ้น เหงื่อกาฬเย็นเฉียบไหลไปตามแผ่นหลัง “ดีที่ศิษย์ระวังตัว ไม่ได้ลองสักหน หาไม่…”
ซูอี้ส่ายหัวน้อย ๆ พลางกล่าวว่า “ยากจะกล่าวได้ว่าดีหรือร้าย แต่แน่ใจได้ว่ายามเจ้าอยู่ในแดนบูรพาน้อย น่าจะมีผู้ใดหมายควบคุมร่างของเจ้าอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นลาเฒ่าหัวล้านเยี่ยนซินหรือจี้หยวนก็ตาม”
เสวียนหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “อาจารย์ ศิษย์ควรรับมือเรื่องนี้เช่นไรขอรับ?”
“เจ้านั่งขัดสมาธิบนพื้น ปลดปล่อยวิญญาณ อย่าได้ขัดขืนนะ”
ซูอี้ใช้พลังตรวจสอบวิญญาณ
ทว่าไม่นานนักเขาก็ขมวดคิ้ว เพราะวิญญาณของเสวียนหนิงไร้สิ่งใดผิดปกติ
หลังครุ่นคิดสักพัก ซูอี้ก็ใช้เคล็ดวิชาจิตวิญญาณที่ได้สืบทอดจากโถงหลงลืมอีกครั้ง
ทว่าท้ายที่สุดก็ยังไม่ได้ผลใด
ซูอี้ไม่ได้ยอมแพ้ หลังจากครุ่นคิดสักพัก ในที่สุดก็ตัดสินใจยอมเสี่ยง!
“ธรรมทั้งหลายล้วนเสมือนฟองสบู่ในความฝัน…”
เขาท่องพุทธคาถาในวิญญาณของเสวียนหนิงโดยใช้จิตสัมผัสของตน
เพียงท่องได้ครึ่งบท ‘เคล็ดคันฉ่องสะท้อนวิญญาณ’ ซึ่งซูอี้ใช้สะท้อนวิญญาณก็ปรากฏสัญลักษณ์สีดำแปลกตาขึ้นตัวหนึ่งเหมือนดาบไขว้ แต่ก็ดูเหมือนอักษร ‘乂’ ดูลึกลับยากเข้าใจ ควบแน่นซุกซ่อนลึกลับอยู่ในจุดลึกสุดแห่งวิญญาณ
ทว่า ก่อนที่ซูอี้จะทันได้ตรวจสอบมันชัด ๆ วิญญาณของเสวียนหนิงก็สั่นสะท้านรุนแรง!
แต่ถึงอย่างนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าจิตวิญญาณของเสวียนหนิงถูกกระทบอย่างร้ายแรง ใบหน้าของเขาซีดขาว ใบหน้าโชกเหงื่อ วิญญาณอ่อนแรง
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของซูอี้แทบหยุดเต้น เห็นได้ชัดว่าหากเมื่อครู่เขาท่องพุทธคาถาออกไปหมด ผลที่ตามมาจะเป็นหายนะ!
“อาจารย์ ท่านรู้แล้วหรือไม่ขอรับ?”
เสวียนหนิงปวดเหงื่อถามปนหอบเฮือก
“มีผู้ควบคุมวิญญาณของเจ้าอยู่จริง ๆ”
ใบหน้าของซูอี้ดูหม่นหมองเล็กน้อย “อีกอย่าง วิชาที่คนผู้นั้นใช้ยังแนบเนียนและทรงพลังอย่างยิ่ง และกระทั่งอาจเล็งเล่นงานข้าไว้ด้วยซ้ำ”
เสวียนหนิงตกใจ “ไฉนอาจารย์จึงพูดเช่นนั้นเล่าขอรับ?”
“มีบางคนรู้ว่าเจ้าจะมาหาร่องรอยของข้าในภูมิมืดมิด จึงวางแผนทิ้ง ‘พลังลึกลับ’ ไว้ในวิญญาณเจ้าอย่างลับ ๆ เสียก่อน!”
ซูอี้พูดเบา ๆ ด้วยแววตาลึกล้ำเย็นเยียบ “และยันต์ลับที่จี้หยวนให้เจ้าก็คือกุญแจปลุก ‘พลังลึกลับ’ นี้ ขอเพียงเจ้าท่องพุทธคาถานั่น เจ้าจะดับดิ้นสิ้นใจอย่างไม่อาจคาดเดา”
ซูอี้กล่าวอย่างอบอุ่น “ภายหน้า ข้าจะพาเจ้าไปแดนบูรพาน้อยเอง แล้วจากนั้นก็จะได้เผยความจริงออกมา ก่อนหน้านั้น คงดีกว่าหากเจ้าจะอยู่ในเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง หากเกิดเรื่องใดขึ้น ข้าจะได้ช่วยเจ้าได้ทันที”
เสวียนหนิงกล่าวอย่างจริงจัง “รับคำสั่งอาจารย์ขอรับ”
ไม่นานนัก หวังจัวฝู่และหวังจ้งเยวียนก็มาด้วยกัน
จากวาจาของพวกเขา ผู้อาวุโสสูงสุดหวังเทียนหัง ชายชราผมขาวถูกขังในคุกตระกูลหวัง ต้องรับทัณฑ์ ‘ลมโชยพิรุณกระหน่ำ’ แปดพันปี
ลมโชยพิรุณกระหน่ำที่ว่านั้นคือทัณฑ์อันโหดร้ายของตระกูลหวัง ซึ่งได้ควบแน่นอำนาจของวายุร้ายหยินลึกล้ำและพิรุณเพลิงตะวันคลั่งเป็นแส้ ฟาดฟันวิญญาณทรมานตลอดวันคืน
นอกจากหวังเทียนหัง ผู้เฒ่าคนอื่น ๆ ที่ติดตามหวังเทียนหัง ร่วมมือกับผีหมัวล้วนต้องทัณฑ์ตาม ๆ กันไป
หลังกล่าวจบ หวังจัวฝู่และหวังจ้งเยวียนประหม่าเล็กน้อย กังวลว่าซูอี้จะมิพอใจกับโทษทัณฑ์นี้
“เจ้ารู้สึกเช่นไร?”
ซูอี้หันไปถามหวังเชวี่ย
หวังเชวี่ยกระซิบตอบ “อาจารย์โปรดวางใจ ขอเพียงข้าหวังเชวี่ยยังอยู่ ไอ้แก่พวกนั้นจะไม่อาจได้ออกมาอีกขอรับ หากอาจารย์ไม่พอใจ ศิษย์ผู้นี้เต็มใจออกมาลงโทษไอ้แก่พวกนี้ด้วยตนเองขอรับ!”
เขาใส่ใจเพียงความปลอดภัยของศิษย์เขาหวังเชวี่ย
หวังจัวฝู่และหวังจ้งเยวียนต่างถอนหายใจโล่งอกโดยพร้อมเพรียง ต่างคนต่างคำนับ “ขอบคุณใต้เท้าซูที่เมตตา!”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ “ต่อจากนี้ ข้าจะอาศัยอยู่ในภูเขาศักดิ์สิทธิ์หมื่นประกายอีกสองสามวัน ประการแรกคือเพื่อรอคน และอีกประการคือรอดูว่าผีหมัวจะส่งคนมาที่นี่อีกหรือไม่”
หวังจ้งเยวียนกล่าวทันที “เป็นเกียรติอย่างยิ่งของตระกูลหวังที่ได้ต้อนรับแขกเช่นใต้เท้าซู และคนแซ่หวังผู้นี้จะไปจัดเตรียมที่พักให้ใต้เท้าขอรับ!”
หวังเชวี่ยอดกล่าวมิได้ “ท่านพ่อ ให้ข้าไปเถอะ”
หวังจ้งเยวียนมองซูอี้ เห็นอีกฝ่ายไม่ได้ขัดข้อง ก็พยักหน้ากล่าวขึ้น “ได้”
วันนั้น ซูอี้และคณะพำนักในตระกูลหวัง
สองสามวันต่อมา ข่าวของศึกใหญ่ในหุบเขาแสนปีศาจก็แพร่กระจายทั่วมหาแดนดิน เกิดเป็นเสียงฮือฮาทั่วหล้า
“จักรพรรดิปีศาจลือนามจับกลุ่ม รวมอำนาจกับครุฑและจักรพรรดิปีศาจในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำตั้งค่ายสังหาร แต่ก็ยังหยุดซูอี้ไม่ได้หรือ?!”
“หนนี้ผีหมัวได้ทำพลาดครั้งใหญ่เลย!”
“จากคำลือ จักรพรรดิปีศาจสนแดงและจักรพรรดิปีศาจบรรพตทมิฬกล่าวไว้อย่างแน่ใจว่านั่นคือร่างเวียนวัฏของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน!”
“นอกจากนั้น ก่อนตาย ครุฑนั่นก็ยังเรียกอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ด้วยตนเอง และไป๋อี้ ศิษย์ลำดับที่แปดแห่งถ้ำเสวียนจวินก็กลับใจแปรพักตร์ทันทีเลยด้วย!”
“แล้วไฉนผีหมัวจึงตั้งค่ายสังหารเช่นนั้น? จุดประสงค์คือเพื่อฆ่าอาจารย์ตนเองเนี่ยนะ!? นี่มันหักหลังอาจารย์ทำลายบรรพชนโดยแท้ บ้าไปแล้ว!”
“เวียนวัฏ… พลังอันคล้ายตำนานนี้มีอยู่จริง ๆ ในโลกหรือ?”
…โลกหล้าฮือฮา มหาแดนดินราวระเบิดตูม เดือดพล่านครึกครื้นอย่างมิได้เห็นเสียนาน
หลังจากหายตัวไปห้าร้อยปี ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้เคยลือนามในมหาแดนดิน หนึ่งดาบสยบสวรรค์ได้เวียนวัฏสงสารกลับมา ใครเล่าในโลกหล้าจะไม่ตกตะลึง?
และการกระทำชั่วร้ายของผีหมัวผู้หักหลังสำนักก็กระตุ้นให้เกิดคำติฉินครหามากมาย
มหาแดนดินฮือฮาทั่วหล้าฟ้าดิน
และขุมกำลังต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในพันธมิตรเสวียนจวินมาเนิ่นนานก็ตื่นกลัวลนลาน ยากกินอิ่มนอนหลับ!
………………..