บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1099: หากชีวิตจะมีสุข ก็ควรเริ่มเสียยามนี้
ตอนที่ 1099: หากชีวิตจะมีสุข ก็ควรเริ่มเสียยามนี้
ชิงถังใช้ปลายนิ้วไล้เก้าอี้หวายเบา ๆ พลางกล่าวอย่างใจลอย “บอกที อาจารย์ข้าให้เจ้ามาบอกอันใด”
เมิ่งเทียนอิ่นสงบใจลงทวนคำที่ซูอี้กล่าวในกาลก่อน ไม่ตกหล่นเปลี่ยนแปรแม้เพียงคำ
หลังชิงถังฟังจบ นางก็อดยิ้มไม่ได้ ริมฝีปากสีชมพูพึมพำเบา ๆ “ดูเหมือนอาจารย์จะสังเกตเห็นแล้วว่าที่มาของข้าประหลาด”
กล่าวจบ นางก็เหลือบตามองเมิ่งเทียนอิ่น “เจ้ารอดกลับมาได้เช่นนี้ เกรงว่าคงแพร่งพรายข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับข้ามาหรือไม่?”
หัวใจของเมิ่งเทียนอิ่นบีบตัว สันหลังหนาวเยือก
สายตาของสตรีผู้นี้ร้ายกาจ!
หลังสงบใจลง เมิ่งเทียนอิ่นก็กล่าว “สิ่งที่ข้ารู้มีจำกัด ยิ่งกว่านั้น สหายเต๋ายังมิเคยบอกห้ามผู้ใดพูดเกี่ยวกับเจ้านี่”
ชิงถังกล่าวยิ้ม ๆ “ไม่ต้องประหม่าไป ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้แล้ว จะว่าไป ซ่างเทียนฉีกล่าวเช่นไร?”
เมิ่งเทียนอิ่นกล่าว “ใต้เท้ากล่าวว่า ซูเสวียนจวินจะต้องตาย!”
เมิ่งเทียนอิ่นส่ายหน้า
ชิงถังกล่าววิเคราะห์ “หรือพวกเจ้าจะไม่เริ่มจนกว่าอวตารชาวประมงกลับมาจากภูมิมืดมิด?”
ชาวประมง!
เมื่อได้ยินชิงถังเอ่ยนามของเจ้าลัทธิอีกครั้ง สีหน้าของเมิ่งเทียนอิ่นก็เปลี่ยนแปรชั่วขณะ และคิดถึงสิ่งที่ซูอี้เคยกล่าวไว้ไม่ได้
“เจ้าซ่อนบางอย่างจากข้า อาจารย์ข้าพูดอันใดอีก?”
ทันใดนั้น เสียงของชิงถังก็สะท้านทั่ววิญญาณของเมิ่งเทียนอิ่นราวอสนีบาตทัณฑ์สวรรค์คำรามเกรี้ยวกราด ทำให้เมิ่งเทียนอิ่นสะท้านไหวทั่วกาย ดวงตาเลื่อนลอย
เขาเผลอกล่าวออกมาว่า “เขาพูดว่าอวตารเจ้าลัทธิฆ่าตัวตายไปแล้ว…”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เมิ่งเทียนอิ่นพลันได้สติ กล่าวเสียงแข็งอย่างเดือดดาล “เจ้ากล้าดีเช่นไรลวงข้าด้วยเคล็ดวิชาจิตวิญญาณ!!”
ชิงถังเมินเขาไป
ทว่าเวลาถัดมานางก็ต้องผงะด้วยความตะลึงงัน
เห็นได้ชัดว่าเมิ่งเทียนอิ่นดูกระวนกระวายเล็กน้อย กัดฟันกล่าวว่า “บอกไว้ ว่าร่างอวตารเจ้าสำนักข้าจะไม่มีทางเสียหาย! ไม่มีทาง!”
ชิงถังเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยเตือน “เจ้าไม่ต้องเตือนข้าเสียงดังขนาดนั้นก็ได้”
สีหน้าของเมิ่งเทียนอิ่นถมึงทึง ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่ปริปาก
ชิงถังทอดร่างนอนบนเก้าอี้หวายอยู่นาน แล้วรอยยิ้มอันเกินควบคุมก็ปรากฏบนใบหน้างาม และยามนั้น ท้องนภาสดใสก็ดูหม่นรัศมี
“ร่างอวตารของชาวประมงฆ่าตัวตาย… ดูเหมือนว่าพลังของดาบแห่งโลกา… จะถูกปลุกตื่นแล้ว…”
ชิงถังยกไหสุรากระดกดื่มรวดเดียวหมด
บางทีอาจเพราะฤทธิ์เมรัย ใบหน้างามของนางจึงเรื่อสีชมพู บนใบหน้านวลจิ้มลิ้ม ดวงตาลึกล้ำเปี่ยมจิตวิญญาณของนางทอประกายเจิดจ้า แววตาซุกซ่อนอารมณ์อันหลากหลาย
หากชีวิตจะมีสุข ก็ควรเริ่มเสียยามนี้!
“อาจารย์ ข้ารอวันที่เราจะได้พบกันอยู่นะเจ้าคะ…”
…
“บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิทางช้างเผือกตายแล้วหรือ!?”
ในห้องโถง เมื่อผีหมัวทราบข่าว เขาก็ตะลึงไปอย่างช่วยไม่ได้
เขานั่งอยู่เพียงลำพัง และบนใบหน้าเรียบเฉยตามนิสัยของเขาดูยากหยั่งถึงไปชั่วขณะ คลื่นพายุโหมกระหน่ำในหัวใจ
เนิ่นนานจากนั้น เขาก็ถอนใจกล่าวเบา ๆ “อาจารย์ นับแต่ท่านเวียนวัฏมา ศิษย์ก็ไม่เคยได้ยินข่าวดีเลย…”
ใบหน้าของผีหมัวเผยความเหนื่อยล้า
ในอดีต เฝิงจี๋และเฟยอวิ๋น สองยอดฝีมือจากโรงวาดฤทัยต่างปลิดปลิวตามกันในหอตำราเทียนเสวียน
จากนั้น สำนักลานดาบทะยานก็ถูกเหยียบย่ำ จักรพรรดิทั้งหมดรวมถึงเจ้าสำนักต่างถูกสังหาร
ต่อมาติด ๆ กัน ศึกในหุบเขาแสนปีศาจอันนำโดยอินเหวินแห่งโรงวาดฤทัย แผนล้อมสังหารอันร้ายกาจจัดตั้งโดยครุฑ ไป๋อี้และจักรพรรดิปีศาจอื่น ๆ ก็พ่ายแพ้ไม่เป็นท่า!
แล้วคางคกทองสามตา ผู้ส่งสาส์นแห่งโรงวาดฤทัยเองก็ตกตาย ณ ตระกูลหวังแห่งแคว้นจง!
การพ่ายแพ้ติด ๆ กันนี้ทำให้มหาแดนดินเกิดเสียงเซ็งแซ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และย่อมนำมาซึ่งความเสียหายร้ายแรงถึงอิทธิพลของผีหมัวและพันธมิตรเสวียนจวิน
ผู้ฝึกตนทั่วโลกหล้าถือเขาเป็นคนทรยศอาจารย์ทำลายสำนัก
กระทั่งขุมกำลังมากมายซึ่งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรเสวียนจวินยังพากันตัดสัมพันธ์เด็ดขาด เหลือเพียงสำนักหกมหาวิถีเท่านั้นที่ยังคงอยู่
ทว่ายามนี้ เมื่อผีหมัวอยากยืมมีดฆ่าคน ใครเล่าจะคิดว่ากระทั่งฉินเฟิง บุตรศักดิ์สิทธิ์จากลัทธิทางช้างเผือกยังตายอนาถที่หน้าตระกูลหวังแห่งแคว้นจง!
หัวใจอันหนักแน่นดุจขุนเขาของผีหมัวถูกกดดันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะเขาตระหนักได้ถึงสถานการณ์ในปัจจุบันที่กำลังย่ำแย่อย่างชัดกเจน
“ก่อนหน้านี้ จากคำกล่าวของซงไฉ หากฉินเฟิงลงมือเต็มที่ กระทั่งฆ่าข้ายังทำได้ ทว่ายามนี้ คนผู้นี้กลับตายด้วยมือร่างเวียนวัฏอาจารย์ข้า… หรือนี่จะหมายความว่าหากข้าและอาจารย์ประมือกัน ข้าก็…”
ผีหมัวตัวสั่น ไม่กล้าคิดถึงมันอีก
เขาไม่เคยดูแคลนอำนาจอาจารย์เขา แต่เมื่อรู้ว่าการฝึกฝนของผู้เป็นอาจารย์อยู่เพียงในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ ในใจเขากลับมีความรู้สึกเหนือกว่าอยู่
เขามีการฝึกฝนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ จึงไม่ต้องกลัวการเผชิญหน้ากับอาจารย์เลยแม้แต่น้อย
ทว่ายามนี้ ผีหมัวตระหนักแล้วว่าตนคิดผิดเต็มประตู!
ที่มุมม้วนภาพ ถ้ำยังคงปิดผนึกอยู่
ผีหมัวมองมันและกล่าวอย่างจริงจัง “คุณหนู ไม่ใช่เพราะข้าเร่งเร้าแต่อย่างใด แต่สถานการณ์มาถึงจุดฉุกเฉินแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็โปรดออกมาเถอะ!”
ถ้ำเงียบสนิท ไร้วาจาใด
สิ่งนี้ทำให้ผีหมัวร้อนใจอย่างมิอาจบรรยาย จึงอดพูดไม่ได้ว่า “ผู้ส่งสาสน์สิ้นแล้ว บุตรศักดิ์สิทธิ์ฉินเฟิงแห่งลัทธิทางช้างเผือกก็ถูกฆ่า ยอดฝีมือจากหอเก้าสวรรค์ดูจะสังเกตเห็นความย่ำแย่ของสถานการณ์ จึงไม่ได้ลงมือใด ๆ กับอาจารย์ข้าจวบจนยามนี้…”
ก่อนเขาจะทันพูดจบ เสียงรำพึงหนึ่งพลันดังออกมาจากในถ้ำ
“ผีหมัว อารมณ์ของเจ้าไม่คงที่นะ”
เสียงนั้นแว่วหวานแต่เย็นชา สะท้อนไปทั่วบริเวณ
ร่างของผีหมัวสั่นเทา สีหน้าตื่นเต้นปรากฏขึ้น พึมพำอย่างเสียกิริยาเล็กน้อย “คุณหนู ในที่สุดเจ้าก็หันมาสนใจข้าเสียที…”
เสียงเย็นชาดังขึ้นอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ข้าเก็บตัวอยู่ หากทำให้บอบช้ำน้ำใจ ข้าขออภัยด้วย”
ผีหมัวสูดหายใจลึก ๆ ส่ายหน้าและกล่าวขึ้น “คุณหนู ไฉนต้องขอโทษข้าด้วย? ข้าก็แค่ถูกกระทบจิตใจจากการกลับมาของอาจารย์เท่านั้น จึงควบคุมอารมณ์ผิดพลาดไปบ้าง หากจะมีผู้ใดต้องขอโทษ ก็คงเป็นข้านี่แหละ”
ร่างสะโอดสะองร่างหนึ่งก้าวออกมา นางมีรูปลักษณ์งามสง่า สวมอาภรณ์เรียบ ๆ สีขาว ขมวดผมเป็นมวยสูง ผิวกระจ่างเนียนใส บรรยากาศรอบกายเงียบงันเย็นชาราวดอกกล้วยไม้กลางหุบเขา
ร่างของผีหมัวตะลึงค้าง ดวงตาเต็มไปด้วยความตะลึงงันจมในห้วงภวังค์ เขาก้มหัวลงทันที ด้วยกลัวว่าหากเงยหน้าขึ้นอีก เขาจะคุมสติไว้ไม่อยู่
สตรีผู้นี้คือคุณหนูแห่งโรงวาดฤทัย ตัวตนสูงส่งอันมีที่มาพิเศษลึกลับ!
นางยืนที่หน้าถ้ำและกล่าวเสียงเย็น “ข้ารู้เรื่องที่เจ้าพูดเมื่อก่อนแล้ว ต้องพูดว่าความแข็งแกร่งของซูเสวียนจวินนั้นเหนือความคาดหมายของข้าไปจริง ๆ แต่อย่าห่วงไป เรื่องนี้ยังไม่ร้ายแรงเพียงนั้น”
“ไม่ร้ายแรงหรือ?”
ผีหมัวกล่าวกับตนเอง
สตรีผู้นั้นพยักหน้าน้อย ๆ และกล่าวว่า “ดูสิ”
นางยกมือขึ้น
ตู้ม!
ทันใดนั้น ภาพแผนที่แดนมารนิจนิรันดร์ซึ่งลอยค้างบนอากาศก็สั่นสะท้านรุนแรง ภาพวาดนองเลือดดุจแดนมารปรากฏปราณอันน่าหวาดหวั่นผุดขึ้นสายแล้วสายเล่า ราวเทพมารโบราณกำลังถูกปลุกขึ้นทีละตน
ผีหมัวสูดหายใจเฮือก หัวใจสั่นสะท้าน
เพราะเขาเห็นถนัดตาว่าปราณร้ายกาจแต่ละสายล้วนแผ่ออกมาจากตัวตนทรงพลังอันไม่อาจหยั่งอำนาจ!
“ภาพแผนที่แดนมารนิจนิรันดร์นี้คือสมบัติโรงวาดฤทัยของข้า มันสะกดมารไว้โดยแท้จริง ตัวตนร้ายกาจเหล่านี้ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่บรรพชนของเราสะกดไว้ มีทั้งมารไร้ใดเทียบผู้อาละวาดทั่วทิศ และยังมีผู้ลือนามที่สะท้านทั่วห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวอยู่ในนี้ด้วย”
สตรีผู้นั้นกล่าวเบา ๆ “หากปลดผนึกม้วนภาพนี้โดยสมบูรณ์ ปล่อยตัวตนร้ายกาจสู่โลกหล้า ก็สามารถบดขยี้มหาแดนดินสู่พายุนองเลือดได้”
นางกล่าวพลางโบกมือน้อย ๆ
ภาพแผนที่แดนมารนิจนิรันดร์ซึ่งสั่นไหวรุนแรงพลันกลับไปสงบนิ่งเช่นกาลก่อน
“เอาล่ะ เจ้าคิดว่ายังต้องกลัวซูเสวียนจวินอยู่อีกหรือไม่?”
สตรีผู้นั้นเอ่ยถาม
ผีหมัวส่ายหน้า หัวใจกลับมาสงบ สีหน้ามืดหมองถูกชะทิ้ง กล่าวทอดถอนใจ “ที่แท้คุณหนูก็วางแผนไว้ ข้าโล่งใจแล้ว”
“อาจารย์เจ้าเคยบอกว่า ไม่ว่าเรื่องใหญ่เพียงใดก็ควรรักษาความเยือกเย็น ข้าหวังว่าในภายหน้า เจ้าจะมิจิตใจปั่นป่วนอีก”
ประตูถ้ำปิดลง เสียงเย็นชาของนางสะท้อนก้อง
ผีหมัวโล่งใจ หลังยืดตรงขึ้นช้า ๆ ริมฝีปากพลันยิ้มเย็นชา พึมพำในใจ “หากข้าไม่แสดงท่าทีปั่นป่วนเช่นนี้ เจ้าหรือจะยอมออกมาหาข้า…”
…
ตระกูลหวังแห่งแคว้นจง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์หมื่นประกาย
วันที่สามนับแต่สังหารฉินเฟิง จักรพรรดิมารสวรรค์ก็กลับมา
“พี่ซู ให้เจ้ารอเสียนานเลย”
ทันทีที่นางเห็นซูอี้ จักรพรรดิมารสวรรค์ก็เอ่ยทักทายยิ้ม ๆ ดวงตาพร่างดาวเต็มไปด้วยความรักใคร่ น้ำเสียงนุ่มนวลดุจสายน้ำ
“อย่ามัวเวิ่นเว้อ ข้าไม่มีกะใจมารอเจ้าตลอดนะ”
ซูอี้กล่าวอย่างสุขุม
จักรพรรดิมารสวรรค์มุ่ยหน้าใส่ซูอี้ จากนั้นก็กล่าวยิ้มๆ “พี่ซู ดูสินี่อะไร”
จี้หยกนั้นสะอาดเปล่งประกาย ตราประทับทองเหลืองเรียบง่ายเก่าแก่ ทั้งสองต่างมีบรรยากาศแห่งกาลเวลาหนักอึ้ง ทว่านอกจากนั้นก็ไร้สิ่งใดพิเศษ
และเมื่อเห็นสมบัติทั้งสอง ซูอี้ก็อดแปลกใจมิได้ “นี่คือสมบัติลับฟ้าดินที่เจ้าพบเองหรือ?”
“หากข้าแยกแยะสมบัติลับฟ้าดินเองได้ ก็คงไม่ถูกพวกคนจากหอเก้าสวรรค์หลอกเอาหรอก”
จักรพรรดิมารสวรรค์ถอนใจเบา ๆ ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อย และกล่าวอย่างผู้กุมชัย “ทว่ายามนี้ ข้าหลอกล้วงสมบัติสองชิ้นนี้มาจากจ้าวเรือนจำที่หก!”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย “จ้าวเรือนจำที่หกสงสัยบ้างหรือไม่?”