บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1101: เกิดพายุ!
ตอนที่ 1101: เกิดพายุ!
หนึ่งเดือนให้หลัง
บนฟากฟ้าของภูเขาศักดิ์สิทธิ์หมื่นประกาย เมฆภัยพิบัติคึกคะนอง ฟ้าดินมืดครึ้ม
ทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้เฒ่าในตระกูลหวังต่างก็มารวมตัวอยู่ด้วยกัน พวกเขาจ้องมองไปยังท้องฟ้าด้วยความตื่นกลัว
จิ่นขุย เย่ลั่ว ไป๋อี้ กับเสวียนหนิงอยู่ข้างกายซูอี้
ห่างไปไม่ไกลนัก จักรพรรดิมารสวรรค์ในชุดกระโปรงสีแดงทั้งตัวนั่งสบายอยู่บนเมฆสีขาว
ภายใต้เมฆภัยพิบัติบนฟากฟ้าแห่งนั้น หวังเชวี่ยยืนอยู่กลางอากาศ สีหน้าของเขาราบเรียบ ภายในสายตาคู่นั้นแฝงไว้ซึ่งการรอคอย
วันนี้ เป็นวันที่เขาพิสูจน์เต๋าขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ!
“ไม่นึกเลยว่า ในบรรดาพวกเราศิษย์น้องห้าจะได้ผ่านพิบัติใหญ่แห่งขอบเขตสานพันธะลึกล้ำก่อน”
จิ่นขุยรำพึง
หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘ขอบเขตมหาจักรพรรดิ’ ขอเพียงแค่บรรลุไปถึงขอบเขตนี้ ก็เท่ากับย่างก้าวสู่จุดสูงสุดของหนทางแห่งวิถีลึกล้ำ!
ในบรรดาลูกศิษย์สายตรงทั้งเก้าของถ้ำเสวียนจวิน คนแรกสุดที่ย่างก้าวสู่ขอบเขตนี้คือผีหมัว คนต่อมาก็คือชิงถัง
และตอนนี้ หวังเชวี่ยกำลังจะก้าวสู่ขอบเขตนี้!
“ร่างเบญจคุณไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ”
เย่ลั่วก็ส่งเสียงชื่นชมไม่ขาดเช่นกัน
ไป๋อี้กลับร้องฮึ พลางกล่าว “ขอบเขตสูงต่ำวัดอะไรไม่เห็นจะได้ เหมือนดังอาจารย์ ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำก็สามารถกวาดล้างตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้ กำลังการต่อสู้เช่นนี้ล้ำหน้าเกินกว่าขอบเขตการฝึกตนของตัวเอง ความสูงต่ำของการฝึกตนไม่อาจจะตัดสินกันได้”
ทุกคนที่ฟังออกถึงความไม่ยอมแพ้ของไป๋อี้ ต่างก็หัวเราะขึ้นมา
เสวียนหนิงคนซื่อตรงพูดแก้ไขอย่างจริงจัง “แต่ในโลกนี้ มีใครบ้างที่จะสามารถเทียบกับอาจารย์ได้? ศิษย์น้อง เจ้ายกตัวอย่างเช่นนี้ไม่เหมาะสมเลย และอีกอย่าง หรือว่าเจ้าสามารถเอาตัวเองมาเปรียบกับอาจารย์ได้เช่นนั้นหรือ?”
ไป๋อี้ “…”
พูดเช่นนี้ทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้ว!!
ภัยพิบัติใหญ่ก็มาถึงอย่างรวดเร็ว ปรากฏการณ์ทำลายล้างอันน่าตื่นตะลึงก็เริ่มเปิดฉาก ป่าเขาลำเนาไพรรอบด้านล้วนตกอยู่ในกลิ่นอายเคราะห์พิบัติที่สวรรค์ปลดปล่อยลงมา
คนทั้งหลายหยุดพูดคุย กลั้นหายใจรวบรวมสมาธิ จ้องมองดูเหตุการณ์ที่อยู่ห่างไกลออกไป
ซูอี้มองดูเพียงชั่วครู่ก็เก็บสายตากลับมา กล่าวกับจิ่นขุย “เมื่อศิษย์น้องห้าของเจ้าผ่านภัยพิบัติได้สำเร็จ เจ้าจงไปแสดงความยินดีต่อเขาแทนข้า”
จิ่นขุยพยักหน้าติดต่อกัน
ส่วนซูอี้กลับเดินตรงไปยังที่พำนักของตัวเอง
เห็นเช่นนี้แล้ว จักรพรรดิมารสวรรค์ลุกขึ้นเงียบ ๆ แล้วไล่ตามไป “ศิษย์ของเจ้ากำลังผ่านภัยพิบัติใหญ่ เผชิญกับความเป็นความตาย เจ้าไม่เป็นห่วงเลยหรือ? ข้าดูออก ภัยพิบัติใหญ่ครั้งนี้ไม่ธรรมดาเลย เกินกว่าภัยพิบัติใหญ่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำที่คนอื่น ๆ เคยเจอมา”
ซูอี้เอ่ยขึ้น “กายาของเขา นับได้ว่าเป็นดั่งบุตรแห่งสวรรค์ อีกทั้งรากฐานของหวังเชวี่ยยังลึกล้ำ วิถีเต๋าสมบูรณ์พร้อม ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลว่าจะเกิดอันตรายขึ้นระหว่างที่ผ่านภัยพิบัติ”
จักรพรรดิมารสวรรค์ร้องอ้อขึ้นมาทีหนึ่ง จากนั้นกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะถาม “แล้วเจ้าเล่า เมื่อไรจะผ่านภัยพิบัติ?”
“เจ้าคิดว่า ข้าไปผ่านภัยพิบัติบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์ดีหรือไม่?”
ซูอี้กล่าวขึ้นมาลอย ๆ
จักรพรรดิมารสวรรค์ร้องอุทานด้วยความตกใจ “เจ้าทำเช่นนี้จะบ้าระห่ำเกินไปแล้ว ผีหมัวอาจจะไม่น่ากลัวพอ แต่เจ้าไม่กังวลหรือว่าคนของโรงวาดฤทัยจะเข้ามาทำร้ายเวลาที่ผ่านภัยพิบัติ?”
ซูอี้ตอบ “ข้าหวังเหลือเกินว่าพวกเขาจะกล้าทำเช่นนั้น”
จักรพรรดิมารสวรรค์ “…”
นางไม่เข้าใจความคิดของซูอี้เลย
คิดสักครู่ จักรพรรดิมารสวรรค์ก็ถามขึ้น “ถ้าเช่นนั้นตอนที่เจ้าไปภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์ ต้องให้ใครไปด้วยหรือไม่?”
“เหตุใดต้องไปด้วย ข้าไปคนเดียวก็พอแล้ว”
ซูอี้ตอบ
จักรพรรดิมารสวรรค์เบิกตากว้าง ชี้จมูกของตัวเอง “ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากข้าอย่างนั้นรึ!?”
ซูอี้ส่ายหน้าพลางกล่าว “ข้าเคยบอกแล้ว ฆ่าศิษย์ทรยศผีหมัว เป็นเรื่องของข้า ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นสอดมือเข้ายุ่ง”
จักรพรรดิมารสวรรค์นิ่งตะลึง ผู้ชายคนนี้ยังคงทำตามความคิดของตัวเองเหมือนเดิมทุกประการ และไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใคร
เมื่อเห็นว่าซูอี้กำลังจะเดินเข้าไปในตำหนักพำนัก จักรพรรดิมารสวรรค์ก็รีบกล่าว “ถึงแม้ไม่ให้ข้าช่วย ถึงเวลาข้าก็จะตามไปดูอยู่ดี! หากว่าเกิดอันตรายอันใดขึ้น อย่างน้อยข้าก็ยังสามารถช่วยเจ้าได้อีกแรง!”
ซูอี้เพียงแค่ร้องอ้อ จากนั้นเดินเข้าไปในที่พำนัก
ท่าทางใจลอยเช่นนั้น จักรพรรดิมารสวรรค์ได้แต่กัดฟัน ข้าเสนอตัวให้เจ้ายังไม่ดูดาย ช่างน่าตี… เสียจริง ๆ เลย!!
‘อุ๊ย มองไปมองมาก็ถูก หากว่าถึงเวลานั้นข้าเสนอตัวออกไปช่วย จ้าวเรือนจำที่หกคงจะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเขาเป็นแน่ หากเป็นเช่นนี้ หากคิดจะโกหกจ้าวเรือนจำที่หกอีก คงจะยากแล้ว…’
จักรพรรดิมารสวรรค์คิด
ขณะที่ครุ่นคิด นางก็เดินตรงติดตามซูอี้ไป
ในระยะเวลาหนึ่งเดือนมานี้ นางหลอมปราณมารดาฟ้าดินในหยกชิ้นนั้นไปมากกว่าครึ่งแล้ว รู้สึกได้อย่างเห็นได้ชัดว่าวิถีเต๋าของตนเองที่หยุดชะงักมานานแสนนานนั้นดูเหมือนจะได้รับการฝึกฝนและเพิ่มระดับอย่างบอกไม่ถูก ทำให้นางมองเห็นหนทางแห่งการบรรลุขึ้นมาราง ๆ แล้วเช่นกัน!
เช่นนี้จึงทำให้นางมั่นใจว่าที่ซูอี้กล่าวมานั้นไม่ผิด ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องได้รับ ‘คำชี้แนะ’ จากหอเก้าสวรรค์เลย ขอเพียงหลอมปราณมารดาฟ้าดินให้มากยิ่งขึ้น สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว นางก็สามารถพัฒนาหนทางไปยังวิถีสู่สวรรค์ได้!
ไม่ผิดความคาดหมายของซูอี้ หลังจากผ่านไปเพียงแค่หนึ่งจอกน้ำชาเท่านั้น หวังเชวี่ยก็ผ่านภัยพิบัติได้สำเร็จ ก้าวเข้าสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ!
พวกจิ่นขุยกับเย่ลั่วก็ยินดีเช่นกัน
ในวันเดียวกัน ตระกูลหวังก็จัดงานเลี้ยงฉลองให้แก่หวังเชวี่ย สิ่งเดียวที่ทำให้ทุกคนรู้สึกผิดหวังก็คือปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้เป็นอาจารย์ของหวังเชวี่ยไม่ได้มาร่วมงานด้วย
บรรดาผู้ด้อยอาวุโสของตระกูลหวังที่อยากจะพบหน้าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินสักครั้งพากันผิดหวังไปตาม ๆ กัน
ช่วยไม่ได้ ถึงแม้จะรู้มานานแล้วว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินอยู่ฝึกตนในตระกูลหวังของพวกเขา ทว่าผู้นำตระกูลได้ออกคำสั่งไว้ก่อนแล้วไม่ว่าใครก็ตามไม่อาจไปกราบคารวะซูเสวียนจวินได้ มิเช่นนั้น จะถูกลงโทษด้วยกฎอันเฉียบขาดของตระกูล
…
วันเวลาผ่านไปรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ไม่นานนักระยะเวลาสองเดือนก็ผ่านพ้นไป
ณ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์
ภูเขาลูกนี้ตั้งอยู่ในเขตแดนของแคว้นแห่งหนึ่ง และก็ได้รับการขนานนามให้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งของแคว้น
พันธมิตรเสวียนจวินปักหลักเป็นเจ้าถิ่นอยู่บนภูเขาลูกนี้
เมื่อหลายวันก่อน มีผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนจากมหาแดนดินแห่กันมา
นอกจากนี้ ยังมีผู้ฝึกตนผู้เดินทางมาไกลจากสามสิบสามดาวแห่งมหาแดนดิน
เมื่อมองออกไป โดยมีภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์เป็นจุดศูนย์กลาง บริเวณรอบด้านทั้งสี่ทิศ เต็มไปด้วยร่างคนจำนวนมากมาย ราวกับมหาสมุทรแห่งผู้ฝึกตน ซึ่งดูอลังการยิ่งนัก
“อาจารย์ นี่ก็คือความยิ่งใหญ่ของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเช่นนั้นหรือ? ศึกใหญ่ยังไม่เริ่ม บริเวณใกล้ ๆ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์แห่งนี้ก็ถูกโอบล้อมจนแน่นขนัดแล้ว”
หนุ่มน้อยคนหนึ่งกล่าวด้วยความตื่นตะลึง พอมองออกไป ทั่วทั้งผืนพสุธาก็มีแต่ผู้ฝึกตนเต็มภูเขาเต็มป่าไปหมด
ตามที่เขารู้มา ตั้งแต่ตอนที่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินประกาศข่าวสู่ภายนอก ก็มีคนเริ่มออกเดินทางกันแล้ว ออกเดินทางล่วงหน้าก่อนหลายเดือน เพื่อรีบมายึดตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับดูการต่อสู้บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์แห่งนี้!
“อาจารย์ เหตุใดท่านจึงนิ่งเงียบไป?”
หนุ่มน้อยเงยหน้ามองดูอาจารย์ กลับตกตะลึงเมื่อพบว่า อาจารย์ที่ปกติจะดูน่าเกรงขามยิ่งนัก บัดนี้กลับมีเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก สีหน้าตื่นตระหนกน้อย ๆ
“เด็กน้อย ข้าว่าพวกเราหลบไปให้ห่างสักหน่อยจะดีกว่า”
อาจารย์ของหนุ่มน้อยคือชายวัยกลางคนสวมชุดเต๋า เวลานี้เอาแต่เช็ดเหงื่อด้วยแขนเสื้อ ท่าทางตกใจจนเกินไป
หนุ่มน้อยไม่เข้าใจ
ต้องเข้าใจว่าอาจารย์ของเขาเป็นยอดฝีมือเชื้อสายผู้ฝึกปีศาจอยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ ในแผ่นดินมหาแดนดินถือเป็นจักรพรรดิปิศาจผู้เกรียงไกรมากคนหนึ่งเช่นกัน
ทว่าเวลานี้ อาจารย์กลับแลดู… หวาดกลัวมาก!
ทั้งหมดนี้เกินกว่าที่หนุ่มน้อยคาดหมายเอาไว้
ผู้ชายวัยกลางคนผู้สวมชุดเต๋าคนนั้นกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก “เด็กน้อย ที่นี่มีคนเก่งกาจอยู่ด้วยมาก ถึงแม้อาจารย์จะถือเป็นคนคนหนึ่งในหนทางวิถีปีศาจ แต่ตอนนี้ หิ้วเอาตาเฒ่าคนใดคนหนึ่งขึ้นมาก็สามารถบดขยี้ข้าได้อย่างง่ายดาย”
เหตุผลนั้นไม่ยากเลย ในฐานะที่เป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ จิตสัมผัสกับการรับรู้ของเขาจึงแข็งแกร่งและฉับไวมาก ทั้งยังสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าบริเวณรอบ ๆ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์แห่งนี้ มีตัวตนเก่าแก่น่ากลัวพลังล้นฟ้าอยู่มากมายเพียงใด!
อย่าว่าแต่ผู้เป็นจักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำเลย แม้กระทั่งตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำก็มีจำนวนไม่น้อย ขุมกำลังที่แข็งแกร่งจนไม่อาจมองเห็นตื้นลึกหนาบางได้อย่างชัดเจนก็มีอยู่เต็มไปหมด!
ดังนั้นจะไม่ให้ผู้ชายวัยกลางคนที่สวมชุดเต๋าคนนี้ไม่ตื่นตระหนกได้อย่างไรกัน?
“ไปหาที่สงบ ๆ อยู่กัน!”
ผู้ชายวัยกลางคนในชุดเต๋าคว้ามือของหนุ่มน้อยแล้ววิ่งไปไกล
“อ้าว! ปล่อยให้ ‘กระเรียนปีกเพลิง’ นั่นหนีไปจนได้…“
บนภูเขาลูกหนึ่ง เยี่ยนซู่หนีแห่งแดนลี้ลับขั้นเก้าชายตามองไปยังทิศทางที่ผู้ชายวัยกลางคนในชุดเต๋าหนีไปแล้ว จึงอดร้อนใจขึ้นมาไม่ได้ “กระเรียนปีกเพลิงโลหิตบริสุทธิ์เลยเชียว อีกทั้งยังมีระดับการฝึกตนขอบเขตจักรพรรดิด้วย หากว่าสามารถจับกลับไปเลี้ยงที่แดนลี้ลับได้ คนอื่น ๆ ต้องชื่นชมเป็นอย่างมากแน่นอน”
“ผู้อาวุโสเยี่ยน เก็บอาการด้วย!”
ผู้อาวุโสใหญ่แห่งแดนลี้ลับขั้นเก้าถึงกับตาขวาง “มีผู้อาวุโสมากมายไม่รู้เท่าใดกระจัดกระจายอยู่ในผืนแผ่นดินแถบนี้ ไม่เห็นหรือว่าขุมกำลังใหญ่ที่ไม่ถูกกันราวน้ำกับไฟเหล่านั้นล้วนเลือกที่จะอยู่อย่างสงบ ไม่ต่อสู้กันในที่แห่งนี้? หากว่าเวลานี้เจ้ากระทำการใดโดยพลการ ต้องเกิดเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน”
เยี่ยนซู่หนีถอนใจเบา ๆ กล่าวหมดแรง “ข้าเข้าใจ”
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์ในตอนนี้ มีมารเฒ่าผู้ยิ่งใหญ่ มีราชาปีศาจผู้เกรียงไกร มีสัตว์ประหลาดเฒ่าของวิถีพุทธ…
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ตัวตนน่ากลัวที่รู้สึกได้จากภายนอกเท่านั้น ที่มองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้ยังไม่รู้ว่ามีอีกมากมายเท่าใด
แม้กระทั่งผู้อาวุโสจากขุมกำลังอันดับหนึ่งของมหาแดนดินอย่างเยี่ยนซู่หนีก็ยังจำเป็นต้องสำรวมตน ทำการใด ๆ อย่างระมัดระวัง
“ซือฉาน เห็นแล้วหรือยัง ในวันนี้แทบทุกขุมกำลังระดับสุดยอดในแผ่นดินมหาแดนดินล้วนรวมตัวกันในสถานที่แห่งนี้ พวกผู้เฒ่าที่ปกติไม่เคยได้พบเจอก็พากันมาอยู่ที่นี่ด้วย”
เยี่ยนซู่หนีเบนสายตามองไปยังเยว่ซือฉาน เอ่ยพูดช้า ๆ “และนี่ก็คืออานุภาพของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน! ถึงแม้เขาจะหายตัวไปจากโลกห้าร้อยปีเต็ม ๆ แต่เมื่อรู้ว่าเขากลับสู่มหาแดนดินอีกครั้ง ยังคงเป็นที่สนใจของคนในใต้หล้า เกิดเป็นคลื่นกระแสอันยิ่งใหญ่อยู่ดี!”
พูดถึงท้ายสุด นางรำพึงขึ้นมา “ในโลกนี้ มีแต่เพียงปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเท่านั้นจึงมีอิทธิพลได้มากมายถึงเพียงนี้ หากว่าเป็น ‘บรรพชนเฒ่า’ ของพวกเราท่านนั้นต้องด้อยกว่าแน่!”
ได้ฟังความ ผู้อาวุโสใหญ่แห่งแดนลี้ลับขั้นเก้าหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ มีที่ไหนยกเอาปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินมาพูดทับ ‘บรรพชนวิถี’ ของตัวเองกัน?
ทว่าผู้อาวุโสใหญ่กลับไม่อาจโต้เถียงได้ เพราะที่เยี่ยนซูนีพูดนั้นเป็นความจริง
ส่วนเยว่ซือฉานที่ยืนอยู่อีกด้าน ตกตะลึงจนเหม่อลอยยืนทื่ออยู่ตรงนั้นไปนานแล้ว
………………..