บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1103: สำคัญตัวเองเกินไป
………………..
ตอนที่ 1103: สำคัญตัวเองเกินไป
เยี่ยนซู่หนีรู้สึกแย่ในใจ
นางชื่นชมและให้ความสำคัญกับเยว่ซือฉานเป็นอย่างมาก เพราะอยากจะรับเป็นศิษย์ของตัวเองตั้งนานแล้ว
ทว่าตอนนี้ ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินกลับพูดออกมาเช่นนั้นต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย เช่นนี้เท่ากับเป็นการเตือนนางว่าอย่าคิดว่าจะรับเยว่ซือฉานเป็นศิษย์อีก!
เยี่ยนซู่หนีที่ทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงได้กล่าว “ใต้เท้าซู ในตอนนั้นท่านเคยบอกเองว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่รับศิษย์อีก แต่ตอนนี้เหตุใดจึงมาแย่งศิษย์กับผู้ด้อยอาวุโสอย่างข้าเล่า?”
ทุกคนในเหตุการณ์เกิดความระส่ำระสาย เพราะจำเยี่ยนซู่หนีนางเซียนผู้เลอเลิศคนนี้ได้
“ข้าไม่ได้บอกว่าจะรับเป็นศิษย์ เพียงแค่ชี้แนะแม่นางซือฉานในการฝึกตนเท่านั้น” ซูอี้หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
จากนั้นเขาก็ก้าวเดินไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์โดยไม่รอช้า
สายตามากมายนับไม่ถ้วนมองตามร่างที่เคลื่อนไหวของเขา
เวลานี้ เมื่อเห็นผู้เปรียบดั่งเทพเซียนท่านนั้นแสดงระดับการฝึกตนขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำออกมา จึงไม่มีผู้ใดรู้สึกประหลาดใจ
และไม่มีใครกล้าดูแคลนอีกด้วย!
ไม่ต้องพูดถึงอานุภาพที่ผ่านมาของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินว่าน่ากลัวเพียงใด เพียงแค่ศึกใหญ่ในหุบเขาแสนปีศาจที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นแล้ว
…ว่าถึงแม้ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้กลับชาติเกิดใหม่อีกครั้ง จะมีระดับการฝึกตนเพียงแค่ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ ทว่ากำลังการต่อสู้นั้นเกินกว่าขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำมาก!
ส่วนกำลังการต่อสู้ของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินในตอนนี้ ที่แท้แล้วถึงขั้นไม่คาดคิดเพียงไหน ไม่มีใครคาดเดาได้ถูก
“ผู้อาวุโสซู ผู้น้อยรับบัญชาจากอาจารย์มาทักทายท่าน”
ซูอี้ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์ ทันใด หลวงจีนวัยกลางคนสวมจีวรสีขาวนวลพนมมือ แจ้งสมญา แสดงความคารวะต่อซูอี้จากระยะไกล
นักบวชจากแดนบูรพาน้อย จี้หยวน!
เสวียนหนิงที่ติดตามอยู่ข้างหลังซูอี้หรี่ตาลง นึกถึงเรื่องที่อาจารย์พบ ‘พลังลึกลับ’ ในจิตวิญญาณของตัวเองเมื่อก่อนหน้านี้ขึ้นมา!
เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก
นับตั้งแต่ที่พบ ‘พลังลึกลับ’ ในจิตวิญญาณของเสวียนหนิง เขาก็รู้สึกได้ถึงปัญหาหนึ่ง…
หากไม่ใช่เพราะเกิดความเปลี่ยนแปลงบางประการในตัวหลวงจีนเยี่ยนซิน ถ้าเช่นนั้นฐานะของจี้หยวนคนนี้จะต้องมีปัญหาแน่!
วันข้างหน้า เขาจะไปแดนบูรพาน้อยด้วยตนเองสักครั้ง เพื่อสืบหาความจริง
จนกระทั่งซูอี้ใกล้จะไปถึงภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์ เสียงหนักแน่นประดุจเหล็กพลันดังก้องขึ้นมาจากฟากฟ้า
“อาจารย์ ศิษย์รออยู่ตรงนี้นานมากแล้ว!”
แต่ละคำหนักแน่นประดุจเสียงฟ้าผ่า ดังกึกก้องไปทั่วสิบทิศ ฟ้าดินถึงกับเปลี่ยนสี
ทุกคนเงียบกริบ ทุกสิ่งไร้เสียง
สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่ยอดภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์อย่างพร้อมเพรียงกัน พลันเห็นร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่กลางอากาศ ชุดสีดำโบกสะบัดท่ามกลางสายลม
รูปหน้าของเขาแข็งกระด้าง ผมเผ้ายาวสยาย หนักแน่นประดุจภูเขาใหญ่ ให้ความรู้สึกสูงส่งไม่อาจเอื้อม
เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น บรรยากาศในผืนปฐพีเกิดความกดดันขึ้นมาในทันใด แรงพิฆาตราวกับกระแสน้ำที่เย็นยะเยือกไหลอาบทุกพื้นผิวของอากาศ
สีหน้าของพวกจิ่นขุย หวังเชวี่ย เย่ลั่ว เสวียนหนิง กับไป๋อี้หมองคล้ำลง ทั้งโกรธแค้น ทั้งเป็นปฏิปักษ์ ยิ่งกว่านั้นคือความไม่เข้าใจ
จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังคิดไม่ออกว่าเพราะเหตุใดผีหมัวผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ถึงทรยศได้!
หลังจากห้าร้อยปีผ่านไป เมื่อเห็นศิษย์เอกของตัวเองอีกครั้ง สายตาของซูอี้ก็ยังคงผุดประกายความรู้สึกสับสนขึ้นมาจาง ๆ
“ผีหมัว ในช่วงเวลาที่ผ่าน อาจารย์เคยทำผิดอันใดต่อเจ้า เหตุใดเจ้าจึงทรยศต่ออาจารย์!?”
ไป๋อี้ทนไม่ไหว ร้องตะโกนออกมาเป็นคนแรก
ความโกรธแค้นของเขาเดือดพล่าน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา
“ศิษย์น้องแปด คนเราล้วนเดินขึ้นสู่ที่สูง ส่วนน้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ เจ้าไม่ใช่ข้า ต่อให้ข้าบอกเหตุผลกับเจ้า เจ้าก็ไม่อาจเข้าใจข้าได้อย่างแท้จริง เหตุใดต้องอธิบายด้วย?”
ผีหมัวส่ายหน้าน้อย ๆ เขาเบนสายตามองไปที่ซูอี้ ก่อนกล่าว “อาจารย์ ก่อนที่จะเปิดศึก ในฐานะที่เคยเป็นศิษย์เอกของท่าน ข้าขอเตือนท่านสักคำ”
ซูอี้เลิกหัวคิ้วขึ้น
ผีหมัวยังคงกล่าวต่อไป “ท่านที่เก็บความลับวัฏสงสารไว้กับตัว ได้ถูกขุมกำลังใหญ่ของส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวจับตามองมานานแล้ว หากว่าข้าเป็นท่าน หนีไปได้ไกลแค่ไหนก็ต้องหนี ไม่มีทางสร้างเรื่องให้ใครต่อใครในใต้หล้ารู้กันไปทั่ว เพราะการทำเช่นนี้… ช่างโง่เขลาจริง ๆ!”
คำกล่าวนี้ กล่าวอย่างมีเหตุผล ดูเหมือนเป็นการเตือนสติ ทว่าแท้จริงแล้วได้แฝงเจตนาร้ายเอาไว้
เพราะอย่างไรเสียก็ดี ในฐานะที่เป็นศิษย์เอก สามารถดุกล่าวอาจารย์ว่าโง่เขลา ทั้งยังดุกล่าวภายใต้สายตาผู้คนเช่นนี้ เป็นการผิดคุณธรรมอย่างร้ายแรง
พวกจิ่นขุยกับเย่ลั่วต่างก็รู้สึกโกรธ สายตาเย็นยะเยือก กิริยาวาจาของผีหมัว ทำให้พวกเขาต่างก็รู้สึกหนาววาบถึงหัวใจ คาดไม่ถึงเลยว่าเหตุใดศิษย์พี่ใหญ่ในตอนนั้นจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้!
สีหน้าของซูอี้สงบราบเรียบเหมือนดังเคย มีแต่ในใจเท่านั้นที่คล้ายกับถูกคมมีดแหลมทิ่มแทง รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ซูอี้กล่าว “ยังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
“แน่นอน!”
ผีหมัวตอบไม่ต้องคิดนาน “ท่านเคยเจอกับขุมกำลังยิ่งใหญ่ในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวอย่างโรงวาดฤทัย หอเก้าสวรรค์ กับลัทธิทางช้างเผือกมาก่อนหน้าแล้ว ควรจะรู้ดีว่า แต่ละคำที่ศิษย์พูดมานั้นออกมาจากใจ ไม่ใช่คำดูแคลน บางทีในสายตาของท่าน ศิษย์หลอกลวงอาจารย์ล้างผลาญบรรพชน ไร้ซึ่งคุณธรรม แต่ศิษย์ยังอยากจะเตือนท่านอีกประโยคหนึ่ง”
พูดถึงตรงนี้ เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ สายตาคมเฉียบประดุจสายฟ้าแลบ จับจ้องไปที่ซูอี้ กล่าวขึ้นมาทีละคำช้า ๆ “อย่าได้สำคัญตัวเองมากเกินไป!!!”
คนทั้งหลายในเหตุการณ์ต่างก็ตื่นตะลึง
ศิษย์อาจารย์พบกัน กลับเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรู เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าอนาถใจอย่างที่สุดอยู่แล้ว
ทว่าเวลานี้ ผีหมัวกลับแลดูผยองจนผิดปกติ ต่อว่าอาจารย์ของเขาอย่างไม่ไว้หน้า ไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย
ผิดจากความคาดหมายของคนอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง
พวกของจิ่นขุยกับเย่ลั่วโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
สีหน้าของซูอี้สงบราบเรียบยิ่งกว่าเดิม ขณะกล่าวขึ้นมา “สำคัญตัวเองมากไป? ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่า ในใจของเจ้า จะมองข้าว่าเป็นคนเช่นนี้”
ผีหมัวหัวเราะเย็นชาขึ้นมาทีหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าว “ไม่ใช่ข้ามองอาจารย์เช่นนี้ แต่ความจริงมันเป็นเช่นนี้!”
“จริงอยู่ ในมหาแดนดิน ท่านเคยยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ร้ายกาจไร้เทียมทาน แต่อย่างไรเสียท่านก็มีระดับการฝึกตนแค่ขอบเขตจักรพรรดิเท่านั้น ไม่ได้รู้เลยว่า สูงขึ้นไปยังมีขอบเขตราชันย์แห่งภูมิ! และในส่วนลึกของจักรวาลพร่างดาวแห่งนั้น มันก็ยังมีตัวตนน่ากลัวแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ท่านคาดคิด!”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา ทุกคนก็พากันตะลึง แม้กระทั่งสัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นก็ยังสีหน้าเปลี่ยน
ขอบเขตราชันย์แห่งภูมิ!
เสียงของผีหมัวดังขึ้นอีกครั้ง “เมื่อก่อน ข้าโง่เขลาเบาปัญญา มองท่านประดุจสวรรค์ แต่นับจากที่ข้าเข้าใจเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับห้วงลึกของจักรวาลพร่างดาวแล้ว ข้าจึงพบว่า ต่อให้ท่านแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่กบที่แข็งแกร่งที่สุดในกะลาตัวหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่มองเห็นก็เป็นเพียงแค่ท้องฟ้าขนาดเท่ากับปากกะลา!”
เสียงของเขาหนักหน่วงราวกับเสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องดังครืน ๆ ไปทั่วผืนแผ่นดิน ทุกคนถึงกับสีหน้าเปลี่ยน
สีหน้าของสัตว์ประหลาดเฒ่าหมองคล้ำลงยิ่งกว่าเดิม ผีหมัวกล่าวเช่นนี้เท่ากับมองแผ่นดินมหาแดนดินเป็นเพียงกะลาใบหนึ่งเท่านั้น ส่วนผู้ฝึกตนอย่างพวกเขาก็คือกบในกะลา!
ใครบ้างจะไม่โกรธ?
มีแต่ซูอี้เพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีสีหน้าสงบราบเรียบ เขากล่าวโดยปราศจากความรู้สึก “มองออกได้ว่า หลังจากที่มีโรงวาดฤทัยคอยหนุนหลังแล้ว เจ้าเปลี่ยนไปจริง ๆ”
ผีหมัวทนไม่ไหวจนหัวเราะขึ้นมา ส่ายหน้าพลางกล่าว “อาจารย์ อย่าพูดด้วยอารมณ์เช่นนี้อีกเลย ศิษย์เพียงแค่มองเห็นท้องฟ้ายิ่งใหญ่ที่อยู่สูงยิ่งกว่าเท่านั้น เพราะหวังดีจึงได้เตือนท่าน ท่านอย่าได้มั่นใจตัวเองให้มากเกินไปเหมือนเมื่อก่อนอีก”
“เตือน? คำกล่าวทั้งหมดที่เจ้ากล่าวมา ต่างอะไรจากคำดูแคลน?”
สายตาของไป๋อี้ผุดประกายโกรธแค้น
สายตาของพวกจิ่นขุยกับเย่ลั่วเย็นยะเยือก รู้สึกผิดหวังในตัวผีหมัวอย่างแรง ไม่คาดหวังสิ่งใดต่อไปอีก
เมื่อเห็นท่าทีของซูอี้สงบราบเรียบเช่นนี้แล้ว ผีหมัวก็หรี่ตาลงเล็กน้อย และกล่าวเสียงเครียดทันใด “ท่านอย่ามองว่าคำพูดที่ศิษย์พูดไปเมื่อสักครู่เป็นการท้าทายและลบหลู่อย่างเด็ดขาด! หากว่าอาจารย์ฟังคำเตือนของศิษย์ และจากไปในตอนนี้ ศิษย์รับรองได้ว่าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสลายบุญคุณความแค้นระหว่างท่านกับโรงวาดฤทัย!”
พูดจบ ในที่สุดซูอี้ก็หัวเราะขึ้นมา “ดูท่าแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงระยะนี้ มีผลกระทบต่อเจ้ารุนแรงมากเช่นกัน ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยของเจ้า หากว่าโอกาสชนะมีสูง คงจะไม่พูดพล่ามมากมายเพียงนี้ตอนก่อนจะเปิดศึก”
สีหน้าของผีหมัวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตากลอกกลิ้งไม่หยุด
ซูอี้หุบยิ้ม แล้วกล่าวขึ้น “ในสายตาของเจ้า ขุมกำลังยิ่งใหญ่ในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวเหล่านั้น ทำให้เจ้าได้มองเห็นท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่า แต่ข้าอยากจะถามเจ้านัก ในเมื่อขุมกำลังยิ่งใหญ่ของจักรวาลพร่างดาวเหล่านั้นแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดจึงยังต้องมามหาแดนดินอีก?”
ผีหมัวขมวดหัวคิดขึ้น
ซูอี้กล่าว “หากว่าพวกเขาเป็นดั่งที่เจ้าว่าจริง สามารถมองเห็นว่ามหาแดนดินเปรียบได้กับกะลา มองข้าซูเสวียนจวินเปรียบดังกบในกะลา เหตุใดพวกเขาจึงคิดจะแย่งความลับแห่งวัฏสงสารที่ข้าควบคุมอยู่? พวกเขา… กระจอกถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
ทุกคนส่งเสียงระงม แอบร้องเฮให้กับคำกล่าวนี้ของซูอี้
ก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกตนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนถูกทำร้ายจิตใจและสะเทือนใจด้วยคำกล่าวของผีหมัว จึงรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจอยู่ก่อนหน้าแล้ว
จริงดังว่า ต่อให้ขุมกำลังยิ่งใหญ่ของห้วงลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ แล้วเหตุใดจึงต้องมามหาแดนดินด้วย? เหตุใดจึงคิดจะแย่งความลับแห่งวัฏสงสาร?
หัวคิ้วของผีหมัวขมวดกันแน่น คล้ายกับเขากำลังจะพูดอะไรออกมา
ทว่าซูอี้กลับเอ่ยขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ในสายตาของเจ้า ข้าไม่คู่ควรจะเป็นอาจารย์ของเจ้าอีกต่อไป แต่ถึงแม้ข้าจะแย่สักเพียงไหน ก็ฆ่าผู้แข็งแกร่งของโรงวาดฤทัยไปหลายคนและกำจัดบุตรสวรรค์ของลัทธิทางช้างเผือกไปแล้ว ผู้แข็งแกร่งของหอเก้าสวรรค์ก็ยังไม่กล้าโผล่หน้ามาต่อสู้กับข้า! ยังคิดจะเอาขุมกำลังยิ่งใหญ่เหล่านั้นมาเตือนข้า เจ้า… คู่ควรเช่นนั้นหรือ?”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา ทุกคนก็ยิ่งส่งเสียงระงม ผู้อาวุโสเหล่านั้นถึงกับปรบมือร้องชมเชย
ความจริงชนะทุกสิ่ง
ผีหมัววาดภาพขุมกำลังแข็งแกร่งในจักรวาลพร่างดาวไว้เสียสูงส่ง ทว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา ขุมกำลังเหล่านั้นเคยพ่ายแพ้ให้แก่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินมาแล้ว!
ความเป็นจริงใคร ๆ ต่างก็รู้ ผีหมัวไม่จำเป็นต้องพูดแก้ต่าง!
ห่างออกไป ผีหมัวนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นได้แต่ส่ายหน้า กล่าว “อาจารย์ หากท่านคิดว่าตัวตนที่ท่านฆ่าเหล่านั้น สามารถเป็นตัวแทนของขุมกำลังยิ่งใหญ่ในจักรวาลพร่างดาวได้ คิดผิดมหันต์แล้ว”
ซูอี้หมดความสนใจ ไม่ต้องการจะพูดต่อไปอีก
ตอนที่อยู่ภูมิมืดมิดเขาควบคุมดาบเก้าคุมขังฆ่าผู้แข็งแกร่งของหอเก้าสวรรค์ไม่รู้เท่าใดต่อเท่าใด และยังเคยเดินทางร่วมกับยมบาล เขาจะไม่รู้เรื่องของส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวได้อย่างไร?
หนึ่งในอดีตชาติของเขาก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เป็นถึงทัศนาจารย์ที่ไม่เคยมองเจ้าลัทธิทางช้างเผือกอยู่ในสายตา!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ต่อหน้าเขาผีหมัวกลับมาพูดว่าขุมกำลังของจักรวาลพร่างดาวนั้นร้ายกาจเพียงใด จะไม่ให้ซูอี้รู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลวไหลจนน่าขันได้เช่นใด?
เขาหยิบน้ำเต้าออกมา จิบดื่มไปคำหนึ่ง ก่อนจกล่าว “ข้าได้ให้เวลาเจ้าเตรียมตัวสามเดือนแล้ว ตอนนี้ ให้ข้าดูหน่อยสิว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เจ้าเรียนรู้จากโรงวาดฤทัยมามากน้อยเพียงใดแล้ว!”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา ทุกคนพากันตะลึง เข้าใจแล้วว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินไม่ต้องการจะพูดมากไปกว่านี้อีกแล้ว ลงมือเลยดีกว่า!
………………..