บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1105: รับได้สามดาบ ถือว่าข้าแพ้
ตอนที่ 1105: รับได้สามดาบ ถือว่าข้าแพ้
ก่อนหน้านี้ คนทั้งหลายต่างก็รู้เรื่องที่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินกลับชาติเกิดใหม่กันแล้ว และเข้าใจดีถึงกำลังการต่อสู้อันร้ายกาจของเขาด้วย
แต่ยิ่งกว่านั้น ทุกคนเข้าใจดีว่ายากนักที่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้มีขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำจะเปรียบได้กับอดีตชาติเมื่อตอนรุ่งเรืองที่สุด
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขาต่อสู้แตกหักกับผีหมัว คนบางส่วนไม่อาจนึกภาพออกว่าภายใต้สถานการณ์ที่มีระดับแตกต่างกันถึงสองขอบเขต เขาควรจะต้องรับมือเช่นใด
ทว่าตอนนี้ เมื่อทุกคนได้เห็นความงดงามของดาบเล่มนี้แล้ว พวกเขาต่างก็ตะลึงงัน แม้กระทั่งความรู้ความเข้าใจที่เคยมีก็ยังกลับตาลปัตร!
ทุกคนในเหตุการณ์ส่งเสียงตื่นตระหนก
พวกตัวตนเก่าแก่ที่คอยแอบสังเกตการณ์อย่างเงียบ ๆ เหล่านั้นก็ยังพากันสูดปาก
ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้กลับชาติเกิดใหม่ย่างเข้าสู่หนทางแห่งวิถีดาบที่น่ากลัวยิ่งกว่าเมื่อชาติที่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงแม้เวลานี้ระดับการฝึกตนของเขาจะยังสู้เมื่ออดีตชาติไม่ได้
ทว่ากำลังการต่อสู้นั้นกลับเหนือกว่าเมื่อชาติก่อนตอนที่อยู่ในขอบเขตเดียวกัน!
ทว่า ในเวลานี้ ผีหมัวที่อยู่ห่างออกไปกลับเงยหน้าหัวเราะเสียงดังขึ้นมา “อาจารย์ หากว่าเป็นตอนที่ท่านรุ่งเรืองที่สุด เพียงแค่ตวัดดาบ ก็สามารถฆ่าได้อย่างง่ายดายแล้ว แต่ตอนนี้เป็นเหมือนกับที่คาดไว้ไม่มีผิด หลังจากที่ท่านกลับชาติเกิดใหม่แล้ว อย่างไรเสียระดับการฝึกตนก็ยังคงด้อยไปมาก!”
พอเอ่ยออกมาเช่นนี้ บรรยากาศตื่นตะลึงตระหนกตกใจพลันเงียบหายไปในทันใด
ทุกคนต่างก็มองหน้ากันและพากันนิ่งเงียบ
เพราะที่ผีหมัวกล่าวมานั้นไม่ผิด หากว่าเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินตอนที่รุ่งเรืองที่สุดเมื่อในอดีตชาติ กระทั่งตัวตนขอบเขตจักรพรรดิคนอื่น ๆ ก็ยังสามารถสยบได้โดยง่าย นับประสาอะไรกับตัวตนขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นต้นอย่างผีหมัว?
“ไม่รู้จักละอายบ้างเลย หากว่าเป็นการต่อสู้ในขอบเขตเดียวกัน เจ้าคงจะถูกอาจารย์ของเจ้าฆ่าตายไปนานแล้ว!”
จักรพรรดิพิษเทียนฮู่สบถเสียงเย็นชา
ผีหมัวไม่สนใจ ราวกับไม่ได้ยิน
สายตาของเขาแผดร้อน จับจ้องไปที่ซูอี้ที่ห่างออกไป พูดเสียงดังฟังชัด “อาจารย์ ศิษย์รอคอยวันนี้มานานมาก และหวังอย่างยิ่งว่าจะซัดเทพเซียนในตำนานเช่นท่านให้ร่วงสู่แดนมนุษย์ด้วยมือตัวเอง!!”
ทว่าซูอี้ไม่ตอบคำ เพียงถือดาบเงากระจ่าง เดินหน้ามาก้าวหนึ่ง “ลำดับถัดมา หากว่าเจ้าสามารถรับได้สามดาบ ถือว่าข้าแพ้”
ทุกคนต่างก็นิ่งตะลึง สงสัยว่าตัวเองฟังผิดไป
ผีหมัวรู้สึกหนังตากระตุก สีหน้าสับสนสงสัยยิ่งนัก
เขารู้นิสัยของอาจารย์ตัวเองเป็นอย่างดี ในเมื่อพูดมาเช่นนี้แล้ว แสดงว่าจะต้องมั่นใจเป็นอย่างยิ่งแน่นอน
ทว่า ถึงแม้จะรู้นิสัย แต่เมื่อโดนอาจารย์มองว่าตัวเองไม่อาจรับสามดาบได้ ในใจของผีหมัวยังคงรู้สึกยอมไม่ได้อยู่ดี
เขาพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก “ในเมื่อกล่าวมาเช่นนี้ อาจารย์ ท่านแพ้แน่!”
เขาขับเคลื่อนระดับวิถีในตัวจนถึงขั้นสูงสุด จากนั้นจึงใช้เคล็ดวิชากระตุ้นศักยภาพ ทำให้อานุภาพในตัวปะทุสูงขึ้นในทันใด
ดาบวิถีสวรรค์เปิดทางในมือเขาระเบิดประกายแวววับสะท้านฟ้า จากนั้นลงมือในทันใด
ลงมือก่อนได้เปรียบ!
ผีหมัวไม่เชื่อสักนิดว่าหากตนเองพยายามอย่างเต็มที่สู้จนถึงที่สุดแล้วจะรับสามดาบไม่ได้!
ครืน!
ผีหมัวเริ่มจู่โจมอย่างรุนแรง กวัดแกว่งดาบเข้าปะทะ พลังดาบหนักหน่วงเหลือคณา กดทับอากาศให้แตกร้าวราวกับเศษกระดาษ คมดาบไร้เทียมทานส่องสว่างป่าเขาลำเนาไพร
เทียบกับก่อนหน้านี้ กำลังการต่อสู้ของผีหมัวในเวลานี้แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมไม่รู้เท่าใด!
“ใต้เท้าซูประมาทเกินไปแล้วกระมัง…”
เยี่ยนซู่หนีใจสั่นสะท้านขึ้นมา
ไม่เพียงแต่นางเท่านั้นที่เกิดความคิดเช่นนี้ขึ้น เหล่าตัวตนเก่าแก่ทั้งหลายที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็พลอยปาดเหงื่อแทนซูอี้
เวลาเดียวกันกับขณะที่ผีหมัวลงมือ ดาบเงากระจ่างในมือซูอี้ก็ส่งเสียงดังขึ้นมา
บนตัวดาบที่เลือนรางราวกับเงาปรากฏกลิ่นอายมหาวิถีมืดมิดแห่งความตายขึ้น พลังภาวะดาบอันน่าครั่นคร้ามอัดตัวอยู่ในผืนปฐพีจนเต็มเอียด
กฎเวียนวัฏสงสาร!
กฎเกณฑ์มหาวิถีเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของเคล็ดเวียนวัฏสงสาร
ตอนที่สำเร็จถึงขั้นแรกเริ่ม ซูอี้ก็รู้สึกได้ว่า ไม่จำเป็นต้องใช้กลิ่นอายของดาบเก้าคุมขัง อาศัยเพียงกฎเกณฑ์เช่นนี้ ก็สามารถต้านทานกฎแปรวิญญาณของโรงวาดฤทัย กฎเกณฑ์วอนสวรรค์ของหอเก้าสวรรค์ และกฎวิเวกดาราของลัทธิทางช้างเผือกได้!
ต้องเข้าใจว่า แปรวิญญาณ วอนสวรรค์ และวิเวกดารา กฎเกณฑ์ทั้งสามแบบนี้ต่างก็ถูกมองว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่มีความแข็งแกร่งในจักรวาลพร่างดาว และด้วยพลังเช่นนี้ ทำให้ผู้สืบทอดของสามขุมกำลังยิ่งใหญ่ในจักรวาลพร่างดาวสามารถฆ่าศัตรูข้ามขอบเขตได้ในแผ่นดินมหาแดนดินแห่งนี้
หัวใจสำคัญอยู่ตรงนี้ พลังกฎเกณฑ์ที่พวกเขาควบคุมสามารถบังคับพลังมหาวิถีที่ผู้ฝึกตนในมหาแดนดินถือครอง
และกฎเวียนวัฏสงสารที่สามารถต้านทานพลังเช่นนี้ได้ก็ต้องมีเคล็ดพลังมหาวิถีระดับเดียวกับพลังกฎเกณฑ์เช่นนี้เป็นธรรมดา!
อีกทั้ง หลังจากที่ซูอี้หลอมปราณมารดาฟ้าดินแล้ว เขาสามารถควบคุมกฎเวียนวัฏสงสารได้จนถึงขั้นสมบูรณ์!
“ดาบที่หนึ่ง”
เสียงราบเรียบดังขึ้น ดาบเงากระจ่างในมือซูอี้ที่นำพาแสงมืดสลัวแห่งความตาย ฟันออกไปกลางอากาศ
ชิ้ง!!!
เสียงดังกึกก้องรุนแรงจนแสบแก้วหูดังไปทั่วผืนฟ้าผืนแผ่นดิน จิตวิญญาณของผู้ฝึกตนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้รับความกระทบกระเทือน ดาวสีทองโผล่เต็มหน้า เลือดลมเดือดพล่าน
เห็นซูอี้ฟันดาบลงมา ผีหมัวก็พุ่งตัวเข้าหา ราวกับรับแรงกระแทกของภูเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณ ร่างสูงใหญ่บึกบึนร่างนั้นกระเด็นออกไปในทันที ราวกับว่าวที่เชือกขาด หลังจากกระเด็นออกไปไกลหลายสิบจั้งจึงหยุดลง
ทรวงอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง รู้สึกว่าภาวะดาบที่รุนแรงเช่นนั้นซัดกระแทกตัวราวกับคลื่นลูกใหญ่ในทะเลโหมซัด กระดูกทุกชิ้นทั่วกายราวกับมีรอยปริร้าว เขากระอักเลือดออกมาเพราะไม่อาจทนได้อีก
สีหน้าและแววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงอย่างไม่อยากจะเชื่อ ดาบวิถีสวรรค์เปิดทางในมือสั่นระริกพร้อมกับส่งเสียงครางดังวิ้ว ๆ!
ทุกคนในเหตุการณ์เงียบกริบด้วยความตะลึง!
ก่อนหน้านี้ตอนที่ปะทะกันครั้งแรก ทุกคนต่างก็เข้าใจกันไปว่า ด้วยระดับการฝึกตนขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ สามารถต่อสู้กับผีหมัวที่มีการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นต้นได้ ถือเป็นเรื่องที่สุดยอดมากแล้ว และต่างก็ตกตะลึงในกำลังการต่อสู้ของซูอี้มากด้วย
ทว่าตอนนี้ ทุกคนถึงกับตาค้าง เมื่อเข้าใจแล้วว่าความคาดหมายของตัวเองนั้นผิดพลาดอย่างมหันต์
เมื่อปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินตัดสินใจจะเอาชนะผีหมัว ต่อให้ผีหมัวจะมีอานุภาพที่ร้ายกาจมากแค่ไหน ก็ยังแลดูด้อยกว่ามาก …เพียงดาบเดียวก็ร่วงแล้ว!
“นี่…”
เยี่ยนซู่หนีเบิกตากว้าง
“ข้ารู้อยู่แล้วว่า สัตว์ประหลาดเฒ่าซูไม่มีทางพูดโดยไม่คิด”
จักรพรรดิพิษเทียนฮู่กล่าวเบา ๆ
เมื่อมองดูรอบ ๆ ไม่ว่ามีระดับการฝึกตนสูงส่งหรือต่ำต้อย ล้วนพากันอ้าปากตาค้าง
พวกเขาเคยเห็นอาจารย์ฆ่าฉินเฟิง ผู้เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิทางช้างเผือกด้วยวิธีใดมาแล้ว จึงเข้าใจเป็นธรรมดาว่ากำลังการต่อสู้ของอาจารย์จะไม่อาจใช้ขอบเขตสูงหรือต่ำมาเป็นเครื่องวัดได้อีก!
เมื่อไม่นานมานี้ หวังเชวี่ยได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งมาแล้ว
เขาแสวงวิถีขอบเขตสานพันธะลึกล้ำได้ไม่นาน อาจารย์เคยเรียกเขามาประลองฝีมือ ตอนแรกสุดยังพอเสมอ กำลังเท่าเทียมกัน แต่เมื่ออาจารย์ออกแรงขึ้นมาจริง ๆ กลับจับตัวเขาแน่น ไม่ว่าจะดิ้นรนเช่นใดก็ไม่อาจทำอะไรได้ สุดท้ายจึงได้แต่ยอมแพ้
ตอนนั้น หวังเชวี่ยเคยถามอาจารย์ว่าได้ออกแรงทั้งหมดที่มีหรือไม่
คำตอบของอาจารย์มีเพียงแค่สี่คำเท่านั้น ‘อย่าเทียบกับข้า’
ตอนนั้น หวังเชวี่ยยังรู้สึกสะเทือนใจและจนปัญญา
ทว่าเวลานี้ เมื่อเห็นภาพผีหมัวต้านดาบเดียวไม่ได้เช่นนี้แล้ว หวังเชวี่ยก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา จริงดังคาด ไม่ว่าใครในโลกนี้ ไม่ว่าจะมีขอบเขตสูงหรือต่ำ ล้วนไม่อาจเทียบกับอาจารย์ได้!
“ดูท่าแล้ว เจ้าติดตามโรงวาดฤทัยมานานหลายปีเช่นนี้ แต่ไม่สามารถควบคุมกฎแปรวิญญาณของพวกเขาได้ ช่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก”
ภายใต้ท้องนภา ซูอี้ส่งเสียงพูดราบเรียบ
ห่างออกไปไกล ผีหมัวเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก สูดหายใจลึก ๆ ไปทีหนึ่ง “เพียงแค่ดาบเดียวนั้น อาจารย์คิดว่าตัวเองชนะแล้วหรือ?”
จิตวิถีของเขาหนักแน่น ไม่มีทางล้มไปได้ง่าย ๆ เช่นนี้
ในทางกลับกัน ถึงแม้ดาบเล่มนี้จะซัดเขาอย่างแรง แต่ก็ยังไม่ถึงกับคร่าชีวิต!
“ถึง!”
ผีหมัวร้องตะคอกเสียงดัง จากนั้นจึงใช้เคล็ดวิชาป้องกันตัวมากมาย เพลิงแสงรอบตัวประดุจเกราะคุ้มกันตัว ปรากฏเป็นคลื่นกฎเกณฑ์หนาแน่นออกมา
จากนั้น เขาก็ก้าวขึ้นสู่ท้องฟ้า ดาบสวรรค์เปิดทางในมือส่งเสียงดังชิ้ง ๆ พลังดาบอันหนักหน่วงเหลือคณาพุ่งขึ้นดั่งคลื่นโหมซัด
การปะทะกันในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าป้องกันตัวเป็นหลัก ไม่หวังจู่โจม ขอเพียงผ่านพ้นไปได้!
แววตาของซูอี้ผุดประกายดูแคลนขึ้น
แขนเสื้อของเขาพองลม ดาบเงากระจ่างพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า กฎเวียนวัฏสงสารกลายเป็นกฎเกณฑ์สุดวิถี ฟันออกไปกลางอากาศ
หนึ่งดาบฟาดฟันสรรพสิ่ง นับแต่นี้ความสับสนของผู้คนดับไปสิ้น
เพลิงแสงสาดกระเซ็น ภาวะดาบแข็งแกร่งราวกับไม่มีวันล่มสลาย
มองดูไกล ๆ พอดาบเล่มนี้ฟันลงมา ราวกับว่า ‘หนทางสว่าง’ ที่ดำรงอยู่แต่ในเรื่องเล่าขานของภูมิมืดมิดได้ปรากฏขึ้น ผ่านไปสู่สุดวิถี!
ในคัมภีร์โบราณของดินแดนปรภพ เคยบันทึกไว้ว่า บนหนทางสว่าง เมื่อดอกไม้สุดวิถีบาน ภูตผีเทพเซียนสามารถเกิดใหม่
ไปถึงทุกหนแห่ง ไร้อุปสรรคขัดขวาง!
นี่ก็คือกฎสุดวิถี เป็นส่วนหนึ่งของเคล็ดเวียนวัฏสงสาร!
และเวลานี้ เมื่อดาบเล่มนี้ของซูอี้ฟันลงมา เคล็ดวิชาป้องกันตัวและวิชาวิถีดาบที่ผีหมัวสำแดงฤทธิ์เดชออกมาอย่างเต็มที่เหล่านั้นก็พากันแตกระเบิดในทันที
แม้กระทั่งช่วงเวลาสำคัญ ผีหมัวผู้ตื่นตระหนกอย่างแรงยังคงต้านทานรับอย่างสุดชีวิต ทว่าร่างของเขายังคงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากพลังดาบที่แผดเผาราวกับไฟลวก
ปัง!!
ร่างของเขากระเด็นออกไปอีกครั้ง พลังดาบสุดวิถีที่น่ากลัวคลอกตัวเขาราวกับเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ ผิวของเขาแตก เนื้อตัวแสบร้อน กระดูกกระเดี้ยวหักจนแทบไม่เหลือ
ที่ตั้งของจิตวิญญาณ คล้ายกับถูกคมดาบฟาดฟัน เจ็บจนสมองแทบระเบิด หน้าตาบิดเบี้ยวน่ากลัวขึ้นมา
พอลุกขึ้นยืนมาได้แล้ว เขาก็ทนไม่ไหว หอบหายใจอย่างแรง บนตัวเต็มไปด้วยแผลแตกร้าวเหวอะหวะน่ากลัว ไม่เหลือสภาพคนเดิมอีก!
สภาพที่น่าสมเพชเช่นนั้นทำให้ทุกคนถึงกับตะลึงอีกครั้ง
ผู้อาวุโสบางคนถึงกับสะท้อนใจ ในสายตาของพวกเขา อานุภาพดาบที่สองของซูอี้ได้แฝงกลิ่นอายพลังอันประหลาด น่ากลัวและสยองอย่างที่สุดเอาไว้
“ดาบที่สาม”
ซูอี้ไม่รอช้าอีก แสดงดาบที่สามออกมา
ครั้งนี้ กฎสุดวิถีแปรเปลี่ยนไป กลายเป็นกฎแห่งสังขาร ประกายแสงสลัวจากดาบเงากระจ่างปรากฏขึ้น
สรรพสิ่งอับแสง
ฟันลงมาเพียงดาบเดียว ราวกับกระชากฟ้าดินจมดิ่งลงเหวลึก!
ทุกคนตื่นกลัวขนลุก นี่คือพลังอันใดกัน?
และชั่วขณะนี้ ใบหน้าของผีหมัวพลันเปลี่ยนสีในทันใด ภาวะจิตที่หนักแน่นดุจหินใหญ่สั่นคลอน รู้สึกได้ถึงอันตรายที่คุกคามถึงชีวิต
ความรู้สึกพ่ายแพ้อย่างบอกไม่ถูกบังเกิดขึ้น
เขาไม่อยากจะถอยหนีไปง่าย ๆ เช่นนี้ เพราะเขารู้ดีว่า ขอเพียงตนเองสามารถต้านรับดาบที่สามได้และไม่ตาย ด้วยนิสัยของอาจารย์แล้ว ต้องยอมแพ้แต่โดยดีแน่นอน!
ทว่าพลังของดาบที่สามนี้ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน น่ากลัวจนผีหมัวไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าจะสามารถมีชีวิตรอดได้ในดาบนี้
ครืน!
เมื่อเห็นว่าดาบเล่มนี้ฟันลงมา ฟ้าดินราวกับถล่มทลาย สรรพสิ่งกำลังล่มสลายพังพินาศ
ภายใต้การคุกคามของความตาย ผีหมัวก็ไม่อาจทนได้อีกแล้ว!
เขาไม่กล้าแม้แต่จะลังเล รีบถอยหลบไปในทันใด หลบเข้าไปในค่ายกลต้องห้ามของภูเขาศักดิ์เทวยุทธ์!
………………..