บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1106: ดุจเทพยืนตระหง่าน ณ ใจกลางฟ้าดิน
ตอนที่ 1106: ดุจเทพยืนตระหง่าน ณ ใจกลางฟ้าดิน
………………..
ตอนที่ 1106: ดุจเทพยืนตระหง่าน ณ ใจกลางฟ้าดิน
ปราณดาบพุ่งกระจาย ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์พลันคำรามลั่น
ปราณดาบไร้ใดเทียบฟาดเข้าใส่ค่ายกลซึ่งปกคลุมรอบภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์จนสั่นสะท้านรุนแรง แสงสว่างวาบผ่าน ปรากฏเค้าลางจาง ๆ ว่ามิอาจคงอยู่ได้ต่อ
จักรพรรดิทั้งหลายจากห้าขุมกำลังซึ่งอยู่ในค่ายกลล้วนถูกกระทบถ้วนทั่ว เลือดลมปั่นป่วน สีหน้าแปลกพิกล
เป็นดาบที่ร้ายกาจอันใดเช่นนี้!
ควรทราบว่าค่ายกลซึ่งปกคลุมรอบภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์นั้นมากพอจะล้อมสังหารตัวตนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำได้ แต่ยามนี้หนึ่งดาบกลับเกือบสะบั้นมันสิ้น!
โดยไม่ต้องคิดมาก พวกเขาล้วนทุ่มสุดตัวขับเคลื่อนค่ายกล สลายอำนาจทำลายล้างของดาบนี้ทีละน้อย
ผีหมัวซึ่งถูกโจมตีอย่างรุนแรงเหงื่อแตกพลั่ก หัวใจเต้นรุนแรง
เขาไม่ต้องคิดก็รู้ ว่าแม้จะพยายามสุดตัวเพื่อขวางดาบนี้ เขาก็ย่อมไร้โอกาสรอดชีวิต!
ฝีมือที่ซูอี้แสดงออกมาทำให้ทุกคนประทับใจและกล่าวสรรเสริญ
และความคิดยั่วยุดูถูกที่ผีหมัวผรุสวาทต่ออาจารย์ของเขาก่อนหน้านี้ก็ช่างดูน่าขันเมื่อเทียบกับสภาพของเขายามนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ก็แค่คนชั่วน่ารังเกียจ”
จักรพรรดิพิษเทียนฮู่ยิ้มเยาะอย่างแสนดูแคลน
แม้ว่าตัวตนบรรพกาลทั้งหลายในยามนี้จะไม่ได้เอ่ยวาจา ทว่าเมื่อเห็นภาพนี้ หัวใจของพวกเขาล้วนปั่นป่วน มิอาจสงบใจได้แสนนาน
สามดาบที่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินฟาดฟันนี้ สามารถสังหารตัวตนขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นต้นใด ๆ ได้ ช่างน่ากลัวนัก!
และต้องทราบว่าพลังต่อสู้ของผีหมัวนั้นเลิศล้ำเหนือคนขอบเขตเดียวกันส่วนใหญ่ในมหาแดนดินแสนไกล!
“แม้จะมีการบ่มเพาะขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นสมบูรณ์แบบ แต่กลับสามารถเอาชนะตัวตนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำได้ วิถีดาบที่ใต้เท้าซูค้นหายามเวียนวัฏต้องแข็งแกร่งเหลือเชื่อเพียงไรกัน…”
เยี่ยนซู่หนีชะงักค้าง
นางเองก็เป็นนักดาบ และถือได้ว่าเป็นเทพีดาบแห่งมหาแดนดิน ตำแหน่งสูงล้ำไร้ใดเปรียบ
ทว่ายามนี้ นางพลันรู้สึกราว ‘ยามอยู่เบื้องหน้าขุนเขาใหญ่ ทิวทัศน์ล้วนหยุดนิ่ง’
ส่วนจิ่นขุยกับเย่ลั่วนั้นล้วนรู้สึกยินดียิ่ง
ผีหมัวเมื่อก่อนเย่อหยิ่งสามหาวเพียงไร และสภาพยามนี้พ่ายแพ้เละเทะเพียงไร!
“ยามนี้ เจ้าคิดว่าข้ามีคุณสมบัติให้เจ้าลงมือเต็มที่แล้วหรือยัง?”
เสียงของซูอี้ผู้อยู่ใต้ผืนนภาเรียบเฉยสั้นห้วน ดวงตามองจ้องผีหมัวจากไกล ๆ ไร้การผันผวนของอารมณ์ในแววตา
“อาจารย์ ท่านดีใจไวเกินไป”
ผีหมัวซึ่งอยู่ในค่ายกลบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์สูดหายใจลึก ๆ แววตากลับมามั่นคงอีกครั้ง “ศึกวันนี้เพิ่งเริ่มเท่านั้น!”
อาภรณ์ของเขาแหว่งวิ่นเปรอะเลือด ทว่าเขากลับดูไม่ยี่หระ กล่าวขึ้นด้วยเสียงดังก้อง “ศิษย์กล่าวแล้วว่าจะส่งอาจารย์ด้วยตนเอง และจะไม่ผิดคำพูด!”
เขากล่าวพลางโบกมือใหญ่ของตน “เริ่มค่ายกล!”
ตู้ม!
สิ่งที่น่าตกใจขึ้น ทั่วภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์ดูจะลุกไหม้ ปราณจิตวิญญาณระเบิดออกมาราวสายนทีเชี่ยวกราก หลอมรวมเข้าไปในค่ายกลอย่างหมดจด
อำนาจของค่ายกลเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ!
“ผีหมัวร้ายกาจนัก เขากระทั่งนำชีพจรต้นกำเนิดของ ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์’ มาใช้เป็นแหล่งกำเนิดค่ายกล!”
สัตว์ประหลาดเฒ่าผู้หนึ่งหน้าถอดสี
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์คือแดนศักดิ์สิทธิ์เขาลือนามระดับสูงสุดในมหาแดนดิน และชีพจรต้นกำเนิดปราณของมันยิ่งใหญ่เพียงพอที่จะเลี้ยงขุมกำลังระดับสูงสุดได้
ยามนี้ เพื่อระเบิดพลังของค่ายกลถึงจุดสูงสุด ผีหมัวก็ไม่ลังเลทำลายภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์ทั้งลูกลง ใครเล่าจะไม่ตกใจ?
เหล่าผู้ชมที่อยู่ในระยะไกล ต่างตกตะลึงในการทำการใหญ่ของผีหมัว
แดนดินแห่งนั้นดูจะถูกแผดเผาโหมกระหน่ำ แสงเพลิงปะทุลามเลียค่ายกลกระเพื่อมไหว ส่องสว่างทั่วทศทิศราวสำแดงภาพวันสิ้นโลก
กระทั่งตัวตนบรรพกาลอย่างจักรพรรดิพิษเทียนฮู่ยังเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย และเมื่อค่ายกลถูกใช้เต็มที่ อำนาจของมันก็แข็งแกร่งจนทำให้เขารู้สึกผวา!
ทว่าเมื่อซูอี้เห็นเช่นนี้ เขากลับส่ายหน้าน้อย ๆ
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์คือรังของพันธมิตรเสวียนจวิน ทว่ายามนี้ กระทั่งภูเขานี้ยังถูกผีหมัวใช้เป็นไพ่ตาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่เหลือลูกเล่นมากนัก
ซูอี้เหินทะยานสู่นภาโดยไม่ชักช้าอีกต่อไป และฟาดฟันดาบออกไป
“ฆ่า!”
เสียงของผีหมัวตะโกนลั่นออกมาจากในค่ายกล สะเทือนทั่วนภาสั่นไหว
“ฆ่า!”
มหาค่ายกลกู่คำราม สารพัดยันต์ถูกสะบัดออกไป กระแสน้ำคลั่งพลันแปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่างเพลิงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้ากวาดออกไป ส่งผลให้ทั่วบริเวณปั่นป่วนไม่เหลือดี
และมันยังทะลักท่วมร่างของซูอี้ท่ามกลางอำนาจค่ายกลด้วย!
ภาพนี้ทำให้คนมากมายอดหลั่งเหงื่อให้ซูอี้ไม่ได้
เมื่อผู้อื่นเผชิญค่ายกลต้องห้ามอันร้ายกาจเพียงนี้ เกรงว่าจะซ่อนคงทำไม่ได้ ทว่าซูอี้ต่างออกไป เขาดูไร้ความกลัวและโจมตีออกไปทันที!
“อาจารย์หนอ อาจารย์ ท่านยังเหมือนเดิมไม่ผิด ไม่ว่ามีอุปสรรคใดก็จะใช้หนึ่งดาบเข้ารับเสมอ…”
เขาคาดเรื่องทั้งหมดนี้ไว้แล้ว เขาทบทวนอุปนิสัยของอาจารย์ไว้อย่างถี่ถ้วน ว่าเมื่อเผชิญหน้าค่ายกลต้องห้ามนี้ อีกฝ่ายจะไม่สะท้านสะเทือนเช่นผู้อื่นเป็นแน่
“ทุกท่าน ใช้อำนาจสูงสุดออกมาเลย ให้อาจารย์ข้าได้สัมผัสพลังของค่ายกลกวาดสวรรค์ล้างแดนดินหน่อย!”
ผีหมัวออกคำสั่งโดยไร้ลังเล
ตู้ม!
แสงอสนีบาตในค่ายกลปะทุ สารพัดนิมิตอัศจรรย์ปรากฏวูบไหว พุ่งเข้าไปสังหารซูอี้
ในขณะเดียวกัน ผีหมัวทำเพียงมองอย่างเย็นชา ขณะกลืนโอสถฟื้นฟูตน
ค่ายกลกวาดสวรรค์ล้างแดนดินนี้สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำเจ็ดสิบสองคน รู้แจ้งลึกล้ำยี่สิบสี่คนและยอดฝีมือในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำสามคนลงมือทุ่มสุดตัว และยังมีกฎแปรวิญญาณเป็นรากฐานค่ายกล กับชีพจรปราณของภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์ก็เป็นแหล่งพลังของค่ายกล!
ในความคิดของผีหมัว เว้นแต่จะเป็นยอดฝีมือในขอบเขตมหาจักรพรรดิ ผู้ใดที่ถูกขังในค่ายกลนี้ย่อมถูกหลอมร่างไม่เหลือหลอ!
เหล่าผู้ชมที่อยู่ไกลออกไปต่างประหม่าแตกตื่นอย่างไม่เคยเป็น หัวใจจุกอยู่ในลำคอ
“ดี น่าสนใจ ทว่าสุดท้าย… ก็อย่าทำให้ข้าผิดหวังนักเล่า”
ในค่ายกล แววตาลึกล้ำของซูอี้มีจิตต่อสู้พลุ่งพล่านอยู่เงียบ ๆ
ร่างของเขายืดเส้นสาย อำนาจที่บ่มเพาะไว้ทั่วกายอันดุจดั่งมหาสมุทรไพศาลถูกกระตุ้นเต็มที่ ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด
ร่างของเขาอาบไล่ด้วยแสงวิถีเจิดจรัส และเทียบกับเมื่อครู่ พลังมหาวิถีของเขาก็เกินเข้าใจได้
เคร้ง!!!
ดาบเงากระจ่างขับขจี ดุจโหยหาภัตตาโลหิต
เหนือคมดาบมีพลังจากกฎแห่งการจมกระเพื่อมบางเบา ราวกับเหนือคมดาบนี้ปรากฏหุบเหวไร้ก้นบึ้งขึ้น แล้วซูอี้ก็ฟาดฟันดาบออกไป
ตู้ม!
ปราณดาบรางเลือนพาดยาวพันจั้ง ถล่มลงดุจมหาอบายกลืนสรวง
ค่ายกลจากทั่วทิศระเบิดดุจฟองอากาศ ดูราวดอกไม้ไฟอันเสื่อมสลายภายใต้การกวาดล้างของปราณดาบพันจั้งนี้!
ทุกคนในค่ายต่างถูกกระทบรุนแรง
เหล่าจักรพรรดิซึ่งเดินค่ายกลนี้ต่างตะลึง หนังหัวชายิบ
พวกเขาจินตนาการไว้แล้วว่าร่างเวียนวัฏของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินฆ่าได้ไม่ง่าย จึงใช้อำนาจสูงสุดของค่ายกลนี้ยามลงมือ
ทว่าใครเล่าจะคิด ว่าพวกเขายังคงดูถูกความน่ากลัวของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินอยู่ดี
เพียงหนึ่งดาบของเขาสามารถทะลวงผ่านอำนาจฆ่าฟันของค่ายกลทั่วทิศได้!
น่ากลัวอย่างไร้กังขา
ม่านตาของผีหมัวหดตัว หัวใจสั่นสะท้าน ตะโกนออกทันที “อย่าวอกแวก! หากอาจารย์จับข้อบกพร่องได้ ค่ายกลนี้พังแน่!”
อันที่จริง คำเตือนของเขาไม่จำเป็นแม้แต่น้อย ยามสัมผัสอำนาจร้ายกาจท้าทายสวรรค์ของซูอี้ได้ จักรพรรดิผู้ใดเล่าที่ยังกล้าเฉไฉ?
โจมตีสุดตัว ห้ามหมกเม็ด!
มหาสงครามบังเกิด
ทั่วฟ้าดินสั่นสะเทือนเลือนลั่น วจีวิถีสนั่นนภา เพลิงศักดิ์สิทธิ์แผดเผากระหน่ำโหม
เพียงปลายคลื่นพลังของศึกนี้ก็ทำให้พื้นที่โดยรอบราบเรียบเป็นหน้ากลอง สรรพสิ่งสลายเป็นเถ้า
ผู้คนที่มองศึกนี้จากระยะไกลล้วนหวาดผวา และลอบดีใจที่พวกตนลี้หนีมาเสียไกลก่อนเริ่มศึก หาไม่ ผลที่ตามมาคงยากหยั่งถึง!
และในค่ายกล ซูอี้โลดโผนกวัดแกว่งดาบ ส่งปราณดาบสายแล้วสายเล่า แต่ละสายล้วนสำแดงอำนาจทำลายล้างบดขยี้ค่ายกล ดูมิอาจหาใดเทียบ ไม่อาจสยบปราบได้เลย
ในทางกลับกัน จากการโจมตีของเขา ค่ายกลก็ถูกทำให้เสียหายครั้งแล้วครั้งเล่า!
สีหน้าของเหล่าจักรพรรดิจริงจังอย่างไม่เคยเป็น หัวใจทั้งตะลึงและโกรธ
ไม่มีผู้ใดคาดว่าค่ายกลต้องห้ามอันไร้ใดเทียบ ซึ่งกลืนพลังสุดตัวของจักรพรรดิเก้าสิบเก้าคนอย่างสุดขั้ว ซ้ำยังต้องแผดเผาภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์เพื่อใช้ …กลับยังไม่อาจหยุดซูอี้คนเดียวได้แต่ต้นจนจบ!!
ในทางกลับกัน ค่ายกลนี้กลับยังต้องทนรับการโจมตีต่อเนื่องอีก!
ผีหมัวซึ่งดูจากไกล ๆ อดกำมือเงียบ ๆ ไม่ได้ สีหน้าหนักแน่นของเขาเปลี่ยนแปร เห็นได้ชัดว่าการรักษาความเยือกเย็นต่อไปนั้นยากสำหรับเขา
ทันใดนั้น เสียงเฉยเมยเจือความเสียดายของซูอี้ก็ดังขึ้นในค่ายกล
“ช่างน่าเสียดายภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์นี้จริง ๆ”
ดูราวเหล็กไหลในมือเทพเจ้า ฟาดลงจากสรวงสู่เก้าขุมนรก
หนึ่งดาบฟาดฟันลง ภาวะดาบถูกปลดปล่อยแผ่ออกทั่วสารทิศในค่ายกล
ตู้ม!!!
เกิดเสียงระเบิดลั่นแดนดิน
ค่ายกลกวาดสวรรค์ล้างแดนดินซึ่งถูกผีหมัวถือเป็นไพ่ตายพลันปรากฏรอยร้าวมหึมา
ดุจดั่งรอยร้าวแตกบนกระเบื้อง
รอยร้าวเหล่านั้นล้วนเป็นรอยดาบที่ซูอี้ฟาดปราณดาบใส่ค่ายกลในหนก่อน ๆ
ยามนี้ เมื่อภาวะดาบของซูอี้แผ่ออก รอยร้าวเหล่านี้ซึ่งปกคลุมอยู่บนค่ายกลอย่างหนาแน่นมิอาจคงสภาพได้อีก จากนั้นก็ระเบิดออก!
ในสายตาคนทุกคนที่อยู่ไกลออกไป พวกเขาก็ได้เห็นภาพอันน่าตะลึงจนลืมหายใจ…
ค่ายกลกวาดสวรรค์ล้างแดนดินซึ่งแข็งแกร่งค้ำฟ้าและสามารถทลายแดนดินพลันระเบิดแหลกเป็นชิ้น ๆ อย่างรุนแรง
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์ที่มีความสูงหมื่นจั้งบัดนี้ได้พังทลายลงแล้ว
เหล่าจักรพรรดิซึ่งเดิมนั่งอยู่ในค่ายกลล้วนกระเด็นไปราวถูกพายุกวาด
และใจกลางค่ายกล ท่ามกลางหมอกควัน ร่างของซูอี้ยืนบนอากาศ ถือดาบเงากระจ่าง อาภรณ์พลิ้วไหว บริสุทธิ์ไร้มลทิน ปกคลุมด้วยรัศมีเจิดจรัส
ดุจเทพยืนตระหง่าน ณ ใจกลางฟ้าดิน
………………..