บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 111 ดาบคำรามดั่งกระแสน้ำ
ศิลาวิญญาณขั้นที่หนึ่งสามก้อน ซูอี้จ่ายไปสำหรับเช่าห้องในโรงหลอม
เถ้าแก่โรงหลอมเต็มไปด้วยความสับสน โดยปกติแล้วเมื่อมีแขกมา พวกเขาจะขอให้ช่างตีดาบเป็นคนทำให้
แต่ชายหนุ่มผู้นี้แปลกประหลาดยิ่ง เขากลับต้องการตีดาบด้วยตนเอง!
แล้วยังใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อชุดวัสดุเสริมที่แพงที่สุดสำหรับการหลอม
อย่างไรก็ตาม หากแขกเต็มใจใช้จ่ายเงิน เถ้าแก่โรงหลอมก็ไม่คิดปฏิเสธแต่อย่างใด
หวงเฉียนจวินรออยู่ในโถงรับแขกของโรงหลอม
โรงหลอมแห่งนี้โด่งดังมาก แม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืน ทว่ายังคงมีบรรดาแขกหลายคนที่แวะเวียน ซึ่งเกือบทั้งหมดล้วนเป็นผู้บ่มเพาะ
เวลาเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม
ทันใดนั้น หวงเฉียนจวินที่กำลังเบื่อหน่าย พลันเห็นร่างหนึ่งดูคุ้นตา
เป็นชายหนุ่มสวมเครื่องแต่งกายหรูหราสง่างาม มาพร้อมกับกลุ่มองครักษ์อยู่ด้านข้าง
สามารถบอกได้ทันทีว่าเขามีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา
เถ้าแก่โรงหลอมพยักหน้าและคำนับให้ชายหนุ่มในเสื้อคลุมหรูหรา ท่าทางดูประจบสอพลอยิ่ง
“พี่ฉินเฟิง!”
หวงเฉียนจวินดูประหลาดใจ ก่อนก้าวออกไปด้านหน้า
ชายหนุ่มในเสื้อคลุมหรูหราตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นหวงเฉียนจวินเดินมา ถ้อยคำกล่าวออก “เจ้า… หวงเฉียนจวิน?”
“ไม่นึกเลยว่า หลังจากผ่านไปสองปี พี่ชายจะยังจำข้าได้” หวงเฉียนจวินหัวเราะ
ชายหนุ่มในเสื้อคลุมหรูหราตรงหน้านี้ เขามีนามว่าฉินเฟิง บุตรชายของฉินเหวินเยวียน ผู้ว่าการเขตปกครองอวิ๋นเหอ
ป้าของหวงเฉียนจวินเป็นอนุภรรยาของฉินเหวินเยวียน เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์แล้ว ไม่ผิดที่จะเรียกฉินเฟิงว่าลูกพี่ลูกน้อง
ฉินเฟิงเหลือบมองหวงเฉียนจวินตั้งแต่หัวจรดเท้า ถ้อยคำเฉยเมยกล่าวออก “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่มหานครอวิ๋นเหอ?”
คล้ายกับตระหนักถึงความไม่แยแสของฉินเฟิง รอยยิ้มบนใบหน้าหวงเฉียนจวินก็จางหาย กล่าวตอบออกไป “ในอีกไม่กี่วัน ข้าจะเข้าร่วมฝึกฝนที่สำนักดาบชิงเหอ”
ฉินเฟิงพ่นลมหายใจ กล่าวออกอย่างเฉยเมย “เมืองเล็ก ๆ เช่นเมืองกว่างหลิงที่เจ้าอาศัยอยู่เทียบไม่ได้กับมหานครอวิ๋นเหอแม้แต่น้อย ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะพูดตรงไปตรงมา อย่าคิดสร้างปัญหาและอย่ากระทำการในนามของผู้ว่าเขตปกครอง เข้าใจหรือไม่?”
สีหน้าหวงเฉียนจวินพลันน่าเกลียดเล็กน้อย ถ้อยคำกล่าวออก “พี่ชาย ท่านหมายความว่าอย่างไร? ในสายตาของท่าน ข้าเป็นคนเลวขนาดนั้นเลยหรือไร?”
เขาสังเกตเห็นความเย็นชาและเย่อหยิ่งของฉินเฟิง ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ
“ข้าแค่กล่าวเตือน ไม่สนว่าเจ้าจะรับฟังหรือไม่”
เมื่อฉินเฟิงกล่าวออก คล้ายกับจดจำได้ถึงบางสิ่ง จึงกล่าวเสริมว่า “อีกอย่าง อย่าเรียกข้าว่าพี่ชายอีกในภายภาคหน้า ข้าฉินเฟิงไม่สามารถมีลูกพี่ลูกน้องแบบเจ้าได้”
เขาเอามือไพล่หลัง ท่าทีเผยออกดูไม่แยแส เมื่อเผชิญหน้ากับหวงเฉียนจวิน การวางตัวของเขากลับดูแย่มาก
ทุกการเคลื่อนไหว ทุกถ้อยคำและการกระทำ สร้างความอับอายแก่หวงเฉียนจวินอย่างไม่สิ้นสุด
“ช่างเถอะ อย่างกับข้าไม่เคยทำตัวเองอับอาย!” หวงเฉียนจวินพ่นลมหายใจเย็นชาและเดินจากไป
ฉินเฟิงส่ายศีรษะครู่หนึ่ง ถ้อยคำกล่าวออก “ไม่อาจทนต่อการต้อนรับอันเย็นชานี้ได้รึ? อย่างที่คาด ตัวตนจากเมืองกว่างหลิงล้วนน่าผิดหวังยิ่ง!”
“เจ้า…”
หวงเฉียนจวินเดือดดาล ไม่เจอหน้ากันเพียงสองปี ไม่คาดคิดว่าชายเบื้องหน้าจะน่ารังเกียจได้เพียงนี้!
ฉินเฟิงเอ่ยถามด้วยท่าทีเป็นกันเอง “ไม่เห็นด้วย? เช่นนั้นก็โต้แย้งข้ามา ข้าไม่รังเกียจที่จะใช้โอกาสนี้สั่งสอนบทเรียนดี ๆ เพื่อที่เจ้าจะได้เข้าใจวิธีการเป็นคนในมหานครอวิ๋นเหอ จากนั้นเจ้าอาจสร้างความเดือดร้อนน้อยลงในภายภาคหน้า”
นี่ดูคล้ายกับเวลาที่ผู้ใหญ่สั่งสอนลูกหลาน
หวงเฉียนจวินโกรธจนแทบหน้ามืด แต่ท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงกำหมัดแน่น ระงับความโกรธไว้ภายใน
“ใช่แล้ว เรียนรู้การอดทนเข้าไว้ ข้าเข้าใจดีว่าช่องว่างระหว่างเรามันแตกต่างเกินไป”
สิ้นเสียง ดูเหมือนว่าฉินเฟิงจะรู้สึกเบื่อหน่ายมาก ดังนั้นเขาจึงเพิกเฉยหวงเฉียนจวินและหันไปพูดคุยกับเถ้าแก่โรงหลอม
สีหน้าหวงเฉียนจวินมืดหม่น
บริเวณใกล้เคียง ผู้คนมากมายนินทาและชี้มาทางเขา
นี่ยิ่งทำให้เขาอับอายมากขึ้น
“ความแข็งแกร่ง! ตราบใดที่แข็งแกร่งมากพอ ฉินเฟิงแล้วอย่างไร เจ้าเมืองแล้วอย่างไร ใครจะกล้ามาปรามาสข้า?”
หวงเฉียนจวินอดนึกถึงซูอี้ไม่ได้ จะเป็นอย่างไรหากเป็นตัวเขาที่กลายเป็นเขยแต่งเข้าบ้านตระกูลเหวิน? ด้วยความแข็งแกร่งที่มี แม้แต่ปรมาจารย์ก็ยังต้องก้มหัวให้!
เคร้ง!
ทันใดนั้นเกิดเสียงตีดาบดังขึ้น ราวกับเจาะทะลุแผ่นทอง ก้องกังวานไปทั่วโรงหลอมขนาดใหญ่ จนทำให้ผู้คนมากมายต่างตกใจ
“ดาบคำรามดั่งกระแสน้ำ นี่คือสัญญาณการกำเนิดดาบวิญญาณ!”
ช่างฝีมือผู้มากประสบการณ์ร้องอุทานด้วยความตื่นเต้น “รีบไปดูเร็ว ใครกันเป็นคนตีดาบวิญญาณ!”
สำหรับผู้บ่มเพาะ คุณค่าของอาวุธวิญญาณนั้นเหลือคณานับ
นี่ไม่ใช่สิ่งที่วัดได้ด้วยเงินทอง แม้จะใช้เงินก้อนโตก็ไม่สามารถซื้อได้!
“เสียงมาจากห้องหลอมหมายเลขสาม!”
“ไป เราไปดูกัน”
ครู่หนึ่ง ช่างตีดาบและผู้ฝึกงานในโรงหลอมหยุดพักสิ่งที่กำลังทำ ก่อนวิ่งไปยังห้องหลอมหมายเลขสาม
แม้แต่ลูกค้าบางคนก็ตกใจและวิ่งตามไป
ช่างฝีมือผู้สามารถสร้างอาวุธวิญญาณได้ เพียงสิ่งนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้กลุ่มอิทธิพลทั้งหลายปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะแขกผู้มีเกียรติ!
“ห้องหลอมหมายเลขสาม?”
เถ้าแก่โรงหลอมชะงักงัน ทันใดนั้นก็หวนนึกได้ว่า ที่แห่งนั้นมีพ่อหนุ่มชุดคลุมเขียวมาเช่าเมื่อครู่ไม่ใช่หรือ?
หรือว่าพ่อหนุ่มผู้นั้นจะยังอยู่ในห้องหลอม?
เมื่อคิดได้ดังนั้น เถ้าแก่โรงหลอมก็ไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้อีกและรีบวิ่งออกไป
“ตามที่คาดการณ์ พี่ซูสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ทันทีที่หลอมอาวุธ!”
ขณะที่หวงเฉียนจวินนั่งรออยู่นอกห้องหลอมหมายเลขสาม เขาได้ยินอย่างชัดเจนว่าเสียงคำรามของดาบมาจากด้านใน
เขาอดครุ่นคิดไม่ได้ ในโลกนี้ มีสิ่งใดที่พี่ซูทำไม่ได้บ้าง?
ไม่นาน ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ สายตาหลายคู่จับจ้องไปที่ประตูห้องหลอมหมายเลขสามอย่างตื่นเต้น
“เป็นใครกันที่กำลังหลอมอาวุธอยู่ในนั้น?”
“ข้าไม่อาจรู้ได้ แต่ฟังจากเสียงตีดาบแล้ว เขาต้องสร้างดาบวิญญาณที่ไม่ธรรมดา ทั่วทั้งมหานครอวิ๋นเหอ มีช่างตีดาบฝีมือยอดเยี่ยมแบบนี้ไม่กี่คน!”
“แต่ข้าไม่เคยได้ยินเลยว่า ช่างตีดาบคนใดในโรงหลอมแห่งนี้จะสามารถสร้างอาวุธวิญญาณอันยอดเยี่ยมได้”
“เพียงแค่รอดูต่อไปเถอะ”
ขณะที่ผู้คนกำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็น ประตูที่ปิดอยู่ของห้องหลอมหมายเลขสามก็เปิดออกอย่างเชื่องช้าภายใต้สายตาอยากรู้อยากเห็น
ทันใดนั้นชายหนุ่มในชุดคลุมเขียวก้าวเดินออกมา
เขาเป็นชายรูปร่างสูงโปร่ง ในมือถือฝักดาบไม้ไผ่ ใบหน้าเมินเฉยไร้อารมณ์
รับชมเช่นนั้น ทุกคนล้วนตกตะลึง
ตามการคาดเดาของพวกเขา ผู้ที่สามารถสร้างอาวุธวิญญาณกระทั่งก่อเกิดปรากฏการณ์ ‘ดาบคำรามดั่งกระแสน้ำ’ จะต้องเป็นช่างตีดาบอาวุโสมากประสบการณ์อย่างหาที่เทียบเทียมไม่ได้
ใครจะคาดคิด ว่าคนผู้นั้นจะเป็นเพียงชายหนุ่ม!?
“คนหนุ่มเอ๋ย ในห้องหลอมหมายเลขสามนี้มีคนอื่นใดอีกบ้าง?”
ใครคนหนึ่งอดไม่ได้จะถามขึ้น
“มีเพียงข้าเท่านั้น” ซูอี้ตอบอย่างไม่ใส่ใจ
เขาชำเลืองมองฝูงชนแน่นขนัด ภาพนี้จะไม่ชัดเจนได้อย่างไรว่าคนเหล่านี้ถูกเสียงคำรามของดาบดึงดูดเข้ามา?
คนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เป็นเจ้าที่เพิ่งสร้างดาบวิญญาณนั่นหรือ?”
สายตาของผู้คนต่างจับจ้องไปที่ซูอี้ ขณะที่หลายคนถูกฝักดาบไม้ไผ่ในมือเขาดึงดูดความสนใจ
“ฝักดาบไม้ไผ่นี้ทำด้วยไผ่วิญญาณหยกขจี ดูเหมือนว่าเจ้าเสียบดาบเก็บเข้าไปในนี้ใช่หรือไม่?” ชายชราคนหนึ่งกล่าวออกอย่างอดไม่ได้
ทันใดนั้น ทุกคนก็เริ่มหันมองฝักดาบไม้ไผ่ในมือซูอี้
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้ส่ายศีรษะอย่างเหน็ดหน่าย
“พี่ซู ทำสำเร็จไหม?” หวงเฉียนจวินก้าวออกไปด้านหน้า
ซูอี้พยักหน้าก่อนกล่าวออก “ไปกันเถอะ”
สิ้นเสียง เขาเดินตรงไปทางประตูออก
แต่ผ่านไปเพียงครึ่งทาง ชายคนหนึ่งก็หยุดเขาไว้ด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอและกระตือรือร้น “สหายน้อยช้าก่อน ข้าขอเสียมารยาทถาม เจ้าเรียนรู้มาจากอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงคนใดหรือ?”
เป็นเถ้าแก่โรงหลอมนั่นเอง
“เจ้าถามไปเพื่อสิ่งใด หวังให้ข้าทำงานที่นี่งั้นหรือ?” ซูอี้กล่าวตอบอย่างติดตลก
“เอ่อ ข้าเองก็อยากเชิญสหายน้อยมาเข้าร่วมที่นี่อย่างแท้จริง แต่ไม่รู้ว่าสหายน้อยจะสนใจหรือไม่? แน่นอนว่าสหายน้อยสามารถพูดถึงเงื่อนไขที่ต้องการได้!” เถ้าแก่โรงหลอมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ซูอี้กล่าวปฏิเสธ “ข้าไม่สนใจในการหลอมอาวุธ และไม่สนใจจะอยู่ที่นี่ ดังนั้นขอลา”
สิ้นเสียง เขาและหวงเฉียนจวินเดินออกไปจากโรงหลอม
รับชมภาพนี้ เถ้าแก่โรงหลอมก็ถอนหายใจออก
หากได้ช่างตีดาบวิญญาณรุ่นเยาว์เช่นนี้มาเข้าร่วมด้วย โรงหลอมของเขาจะกลายเป็นโรงหลอมชั้นนำของมหานครอวิ๋นเหออย่างไม่ต้องสงสัย
“สหายโปรดรอสักครู่”
ก่อนจะเดินออกจากประตูโรงหลอม ซูอี้ต้องหยุดเดินอีกครั้งโดยไม่คาดคิด
ชายผู้เอ่ยคำนั้นสวมเสื้อคลุมหรูหรา ข้างกายเขาถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มองครักษ์ เขาก็คือฉินเฟิง
“เจ้าต้องการสิ่งใด?” สีหน้าหวงเฉียนจวินหม่นหมองทันที
“ฮ่า ๆ ไม่คาดคิดเลยเจ้าจะยังรั้งอยู่ ที่แท้ก็ติดตามรับใช้ช่างฝีมือหนุ่มนี่เอง”
ฉินเฟิงหัวเราะ “ทว่าข้าไม่ได้มาหาเจ้า”
สิ้นเสียง เขาประสานมือคำนับให้ซูอี้เล็กน้อย ถ้อยคำสุภาพกล่าวออก “สหายผู้นี้สามารถสร้างเสียงคำรามของดาบดั่งกระแสน้ำ เจ้าต้องสำเร็จวิชาหลอมอาวุธระดับสูงเป็นแน่ โดยส่วนตัวแล้วข้าชื่นชมผู้มีความสามารถ ไม่ทราบว่าเราจะไปหาที่สนทนากันตามลำพังได้หรือไม่?”
แลเห็นว่าซูอี้ไม่แม้แต่จะมองอีกฝ่าย ทั้งยังหันไปถามหวงเฉียนจวินว่า “เจ้าถูกรังแกเมื่อครู่นี้หรือ?”
หวงเฉียนจวินตกใจ ถ้อยคำขมขื่นกล่าวออก “ม…ไม่มีอะไร มันจบแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้ว พี่ซู เรารีบกลับบ้านกันเถอะ”
รับชมสิ่งนี้ ซูอี้จึงไม่ได้ไถ่ถามสิ่งใดอีก
อย่างไรก็ตาม ครั้งแลเห็นซูอี้เมินเฉย ฉินเฟิงเลิกคิ้วกล่าวถ้อยคำ “ที่ข้าพูดไปเมื่อครู่ สหายไม่ได้ยินงั้นหรือ?”
สีหน้าหวงเฉียนจวินแปรเปลี่ยนเล็กน้อยพลางกล่าวออก “ฉินเฟิง ข้าแนะนำให้เจ้าออกไปเสียตอนนี้ อย่าคิดสร้างปัญหาให้แก่บิดาของเจ้า! พี่ซูไม่ใช่ตัวตนที่เจ้าจะมายั่วยุได้!”
ฉินเฟิงตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ช่างเป็นวาจาใหญ่โต ข้าอาศัยอยู่ในมหานครอวิ๋นเหอแห่งนี้มาสิบแปดปี ข้าไม่เคยได้ยินว่าช่างตีดาบรุ่นเยาว์คนใดจะคุกคามท่านพ่อของข้าได้”
องครักษ์รอบข้างต่างหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
ซูอี้หยุดนิ่งครู่หนึ่ง หันมองหวงเฉียนจวินและกล่าวถ้อยคำเฉยเมย “เขาเป็นใคร?”
หวงเฉียนจวินตัวแข็งค้าง ตระหนักได้ว่าซูอี้เริ่มรำคาญใจเล็กน้อย
แต่ก่อนจะกล่าวสิ่งใด องครักษ์ด้านข้างฉินเฟิงกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “คนหนุ่มเอ๋ย สายตาของเจ้าคงไม่ดี ในมหานครอวิ๋นเหอแห่งนี้ ใครบ้างจะไม่รู้ว่านายน้อยของข้าเป็นบุตรชายของผู้ว่าเขตปกครอง?”
องครักษ์อีกนายถอนหายใจ “นายน้อยของข้าชื่นชมผู้มีพรสวรรค์ ดังนั้นจึงได้ยินดีพูดคุยกับเจ้าก่อน หากฉลาดพอ จงขอโทษนายน้อยแต่โดยดี แล้วเรื่องคราวนี้ถือว่าหายกัน!”
“บุตรชายของฉินเหวินเยวียน?”
ซูอี้เลิกคิ้ว ก่อนหวนนึกได้ว่าครั้งที่อยู่ในภัตตาคารรวมเซียน ฟู่ซานเคยบอกว่าป้าของหวงเฉียนจวินแต่งงานกับฉินเหวินเยวียน และกลายเป็นอนุภรรยาที่ผู้ว่าเขตปกครองโปรดปรานมากที่สุด
ด้วยการนี้ ฉินเฟิงและหวงเฉียนจวินจึงนับว่าเป็นเครือญาติอยู่บ้าง