บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1116: ตัดสินใจ
ตอนที่ 1116: ตัดสินใจ
………………..
ตอนที่ 1116: ตัดสินใจ
ซูอี้อดครุ่นคิดหนักไม่ได้
เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างผิดปกติ
ศึกที่หุบเขาแสนปีศาจน่าจะถึงหูชิงถัง ทำให้นางตระหนักแล้วว่าเขากลับมาสู่มหาแดนดิน
แต่ชิงถังกลับมิออกเคลื่อนไหวหรือลงมือใด ๆ
ศึกในภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์เมื่อไม่กี่วันก่อนดึงความสนใจจากโลกหล้า กระทั่งผีหมัวก็ยังปลิดปลิว พันธมิตรเสวียนจวินล่มสลาย ทั่วมหาแดนดินฮือฮาหนาหู
ทว่าชิงถังก็ยังไร้ปฏิกิริยา
ปฏิกิริยาของนางและผีหมัวเป็นสุดขั้วตรงข้าม เลี่ยงไม่ได้หากจะมองว่านางสงบเกินไป
แต่ไม่นาน ซูอี้ก็หยุดคิดและตัดสินใจ “ข้าให้ผีหมัวเตรียมตัวสามเดือน ข้าก็จะให้ชิงถังสามเดือนเช่นกัน”
เขาคร้านเกินกว่าจะหยั่งจิตใจชิงถัง และเมื่อเขากลับสู่ถ้ำเสวียนจวิน ความจริงก็จะถูกเผยเอง
“ใช่ขอรับ อาจารย์เคยกล่าวว่าชิงถังน่าจะมาจากส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว และมีตัวตนอื่น บางทีนางอาจจะเตรียมตาข่ายฟ้าดิน รออาจารย์เข้ามาสู่อันตรายแล้วนะขอรับ”
พวกเย่ลั่วเองก็ออกเสียงด้วยรู้สึกว่าการตัดสินใจของซูอี้กระชั้นอันตรายเกินไป
“ข้าไม่อาจทำตัวลำเอียงได้ตลอด”
ซูอี้แย้มยิ้ม “ตามนั้นแหละ”
ฟ้าดินหมุนเปลี่ยน กาลเวลาแปรผัน หมื่นปีนานเกินไป ต้องใช้ประโยชน์ทุกอึดใจให้คุ้มค่า!
สามเดือนคือบรรทัดฐานที่เขาวาดไว้ ไม่ว่าที่มาของชิงถังจะเป็นที่ใด มีสิ่งใดในใจ เขาก็ตัดสินใจแน่วแน่
“ใต้เท้าซู เราจะกลับสำนักแล้วนะ”
ไม่นานจากนั้น เยี่ยนซู่หนีและเยว่ซือฉานก็มาหา
ซูอี้สะดุ้งลุกจากเก้าอี้หวาย ก่อนจะเรียกเยว่ซือฉานออกมาคุยกันตามลำพัง
“ซือฉาน ข้าเห็นว่าช่วงสองสามวันมานี้อารมณ์เจ้าดูขุ่นมัว จงใจหลบหน้าข้า เกิดอันใดขึ้นหรือ?”
สตรีสวมอาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ ผิวพรรณผ่องขาวกระจ่างดุจหยก ท่วงท่ากิริยาดุจนางสวรรค์ งดงามตรึงตามากขึ้นทุกขณะ
ทว่าซูอี้เห็นได้ชัดเจนว่าสตรีผู้นี้มีเรื่องขุ่นข้องในใจ
และเป็นเช่นนี้มานับแต่สิ้นศึกเมื่อสองสามวันก่อน
ยามนั้น ซูอี้ได้เชิญเยี่ยนซู่หนีและเยว่ซือฉานมาดื่มด้วยกันเป็นพิเศษ
แม้เยว่ซือฉานไม่ได้ปฏิเสธ แต่นางก็ดูเงียบมาก และจงใจหลบหน้าหลบตาซูอี้
สิ่งนี้ย่อมดึงความสนใจของซูอี้ และพอจะเดาเหตุผลออกได้บ้าง
“ข้า… ไม่เป็นไรหรอก”
เยว่ซือฉานหลุบตาหลบสายตาซูอี้
แววตาของซูอี้ฉายประกายสงสาร “เจ้าคิดว่าข้าเปลี่ยนไป ไม่อาจเข้าถึงได้แล้วหรือ?”
ร่างบอบบางของเยว่ซือฉานเกร็งนิ่งเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่สบายใจนิดหน่อย
เยว่ซือฉานตะลึงหัวใจสั่นคลอน กล่าวเสียงต่ำ “แต่เจ้าคือปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน ตัวตนยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือจากเหล่าผู้ฝึกตน สูงส่งเหนือใครในโลกหล้า หนึ่งมือปิดนภาเรียกพิรุณ ต่อให้เป็นบรรพชนข้ามาก็ยังต้องให้เกียรติเจ้าสามส่วน ข้า… ไหนเลยจะยังปฏิบัติต่อเจ้าเช่นผู้ที่ข้ารู้จักในกาลก่อนได้?”
เสียงของนางเจืออารมณ์ซับซ้อนละเอียดอ่อน ทั้งตกใจและสิ้นปัญญา
ซูอี้หัวเราะ “ในสายตาข้า ตัวตนของผู้ฝึกตนและเกียรติภูมิในกำมือล้วนแต่เป็นภาพมายา มีเพียงจิตใจและวิถีเต๋าเท่านั้นที่เป็นของจริง หากข้าถือตนยิ่งใหญ่เชิดหน้าเชิดจมูกด้วยชื่อเสียง ไฉนเลยข้าจึงมองเจ้าฉันสหายยามอยู่ในมหาทวีปคังชิง?”
“เจ้าได้เห็นมากับตาแล้วว่าฐานะของคุณหนูแห่งโรงวาดฤทัยพิเศษสูงส่งเพียงไร แต่ในสายตาข้า ท้ายที่สุดนางก็เป็นเพียงหนึ่งศัตรู และสมควรถูกสังหารไม่ว่ายามใด”
ซูอี้กล่าวพลางยกมือตบบ่าเยว่ซือฉานเบา ๆ “จำคำนี้ไว้ ข้าซูอี้ให้ค่าคน ไม่ใช่ด้วยฐานะตัวตน ไม่ว่าจะเป็นเทพเซียนจากสวรรค์หรือปุถุชนนั้นไม่สำคัญ”
เยว่ซือฉานอดผงะไปไม่ได้ ระลอกความอบอุ่นถาโถมขึ้นในใจ
นางอดกล่าวไม่ได้ว่า “นั่น… งั้นข้ายังเรียกเจ้าว่าพี่ซูได้หรือไม่?”
“แน่นอน”
ดวงตาของเยว่ซือฉานทอประกายเจิดจรัส เห็นได้ชัดว่ายินดี
ทว่าทันใดนั้น นางก็อดลังเลไม่ได้ “แต่… แต่ศิษย์เจ้าจะมองข้าเช่นไร และสหายเจ้าจะมองข้าเช่นไร… อีกอย่าง หากข้าให้สำนักทราบเรื่อง เกรงว่าคงคิดว่าข้าตีตัวข้ามขั้นอาวุโส ไม่รู้จักสัมมาคารวะได้”
กล่าวเช่นนั้น ใบหน้างามของหญิงสาวก็มืดหม่น
ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าใส่ใจอันใดกับเรื่องเช่นนี้? ขอเพียงข้าไม่ถือ เจ้ามองไปทั่วมหาแดนดิน ใครเล่าจะกล้าพูดพล่ามชี้นิ้ว?”
ผู้คนเป็นเช่นนี้ ตลอดกาลนานมาในอดีตชาติของเขาจวบจนกลับมายามนี้
ในมหาทวีปคังชิง เขาให้ค่าเยว่ซือฉานสูงมาก ไม่ใช่เพียงความงามตรึงใจของหญิงสาว แต่เป็นเพราะหัวใจวิถีของนางยึดมั่นในดาบ!
เท่านั้นก็เพียงพอ
“ยิ่งกว่านั้น การมัวใส่ใจกฎเกณฑ์และความคิดคน ใช้ชีวิตคงน่าเหนื่อยหน่ายเกินไป”
ซูอี้กล่าว “ผู้ฝึกตนเช่นข้า ทำสิ่งใดตามปรารถนา ยิ่งสนใจเรื่องชื่อเสียงความเห็นล่องลอย สภาพจิตใจของเจ้ายิ่งถูกตรวนพันธนาการ”
เยว่ซือฉานฟังแล้วปั่นป่วนในใจ
ภายใต้แสงสว่างลอดหมู่เมฆา ความเศร้าสร้อยจาง ๆ บนใบหน้าของหญิงสาวพลันเลือนหาย ร่างของนางทอประกายแผ่วบาง ดูยิ่งงดงามดุจนางเซียน
ช่างเป็นที่ภาพเจริญตาจริง ๆ
ซูอี้กล่าว “ในสามเดือน ข้าจะกลับสู่ถ้ำเสวียนจวิน หากไร้อุปสรรคใด ปลดความขุ่นข้องในอดีตได้ยามใด เจ้าก็มาฝึกฝนที่ถ้ำเสวียนจวินได้”
“เอ๋…”
เยว่ซือฉานประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด นางโพล่งออกมา “แต่ข้า…”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “มิต้องห่วง แดนลี้ลับขั้นเก้าไม่กล้ารั้งเจ้าแน่”
เขาก็นำดาบเงากระจ่างออกมาส่งให้เยว่ซือฉานพลางกล่าว “ข้าไม่ใช้ดาบนี้แล้ว เจ้านำมันไปก่อนเถอะ ยามใดที่เจ้าได้ดาบที่ดีกว่า ค่อยคืนดาบนี้ให้ข้า”
การฝึกฝนของเขาก้าวสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ เพียงพอจะปลดปล่อยพลังอันสมบูรณ์ของดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น เขาจึงอดกล่าวเช่นนี้ไม่ได้ และส่งดาบเงากระจ่างแก่เยว่ซือฉาน
เห็นได้ชัดว่าเยว่ซือฉานไม่ได้ต้องการ ทว่าก็ไม่อาจปฏิเสธได้ นางจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนในใจ
ซูอี้กล่าวเร่งยิ้ม ๆ
เยว่ซือฉานเองก็สังเกตเห็นว่าเยี่ยนซู่หนีดูกระวนกระวายเล็กน้อย นางจึงรีบร้อนเก็บดาบเงากระจ่างไปและกระซิบ “พี่ซู ในภายหน้า… ข้าจะตอบแทนเจ้าให้ดี”
วจีรื่นหูของหญิงสาวยังมิสร่าง นางก็หันหลังจากไปแล้ว
“ตอบแทน?”
ซูอี้แย้มยิ้ม ยัยหนูบื้อนี่ยังไม่เข้าใจเจตนาเขาอีก
เขาเหมือนเห็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดีและอยากบรรจงบ่มเพาะเพื่อดูว่าจะก่อให้เกิดผลเช่นไร
ความคาดหวังนี้ไม่ใช่สิ่งใดที่ตอบแทนกันได้
ไม่นานนัก เยี่ยนซู่หนีและเยว่ซือฉานก็ออกเดินทางจากไป
“สัตว์ประหลาดเฒ่าซู เจ้า… คงไม่ใช่มีความคิดเป็นอื่นกับแม่หนูนั่นหรอกใช่หรือไม่?”
จักรพรรดิพิษเทียนฮู่อดถามไม่ได้
จักรพรรดิพิษเทียนฮู่ลูบจมูกพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
จิ่นขุยและพวกเย่ลั่วที่อยู่ไกลออกไปมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างมิกล่าววาจาใจอย่างมีชั้นเชิง แต่พวกเขาต่างรู้สึกประหลาดในใจ
ทันใดนั้น เสียงรำพึงเบา ๆ ก็ดังขึ้น
“ในที่สุดข้าก็ได้เข้าใจแล้ว ว่าหลังจากเจ้าซูเสวียนจวินเวียนวัฏ เจ้าก็เริ่มชอบเด็กน้อยงดงามนุ่มนิ่ม มิน่าเล่า ข้าพาตนเองมาส่งถึงที่ แต่เจ้ากลับปฏิเสธอย่างไร้ปรานีทุกทีไป”
พร้อมกันนั้น จักรพรรดิมารสวรรค์ในอาภรณ์แดงก็ปรากฏกาย
ผิวพรรณขาวผ่อง เสน่ห์ขจรไม่จบสิ้น ทว่าใบหน้าของนางมีร่องรอยการตัดพ้อ
จักรพรรดิพิษเทียนฮู่ลุกขึ้น สีหน้าดูหวาดกลัว “นางมาร ไฉนเจ้าจึงมาที่นี่?”
เขารู้ดีว่าตัวตนระดับบรรพชนจากแดนอสูรปรีดีนางนี้ร้ายกาจเพียงไร
“กลัวอันใด ข้าไม่นึกพิศวาสตาเฒ่าเช่นเจ้าหรอก”
จักรพรรดิมารสวรรค์ยกริมฝีปากแดงสดของนางยิ้มเยาะ
ไกลออกไป พวกจิ่นขุยและเย่ลั่วล้วนเลี่ยงออกจากสถานที่ไป
ซูอี้นั่งกลับไปที่เก้าอี้หวายอย่างแสนคร้าน
จักรพรรดิมารสวรรค์ก้าวเข้ามา มือขาวเนียนดุจหยกถูนวดเบา ๆ บนบ่าของซูอี้จากเบื้องหลัง พลางกล่าวว่า “พี่ซู บอกข้าสิ รูปลักษณ์ของข้ามิงามพอ หรือรูปร่างของข้ามิดีพอกัน? ข้าจึงไม่อาจเป็นที่ชอบพอของเจ้าได้?”
วาจานั้นเย็นชา เจือเสน่ห์ดึงดูดเฉพาะตัว
รูปลักษณ์ของนางงดงามตรึงตาชวนตะลึงอยู่แล้ว เอวคอดกิ่ว เรียวขาตรงดุจชิ้นหยก รูปร่างทะนงสมส่วน ทรงเสน่ห์จนทำให้สรรพชีวิตศิโรราบเพียงยกมือ
บรรยากาศแหววหวานทำให้จักรพรรดิพิษเทียนฮู่แทบโวยวายด้วยจู่ ๆ ก็กลายเป็นก้างขวางคอ และหันหลังจากไปอย่างเฉียบขาดทันที
“เข้าเรื่องเถอะ”
ซูอี้กล่าวอย่างเลื่อนลอย ท่าทีเฉยชา
จักรพรรดิมารสวรรค์เก็บสองมือที่บีบนวดบ่าของซูอี้อยู่ พลางกลอกตาอย่างขุ่นเคือง และกล่าวว่า “เมื่อวานนี้ จ้าวเรือนจำที่หกแห่งหอเก้าสวรรค์ส่งข่าวมา ให้ข้าอย่าได้กระทำการบุ่มบ่ามในชั่วขณะ รอให้เจ้าทำศึกกับศิษย์คนเล็กเสียก่อน แล้วจึงฉวยโอกาสลงมือ”
ซูอี้แปลกใจ “พวกเขาใจเย็นได้เพียงนี้เลยหรือ?”
จักรพรรดิมารสวรรค์กล่าว “เจ้าฆ่าผีหมัว และยังไล่คุณหนูจากโรงวาดฤทัยไปได้ ก่อกวนปั่นป่วนทั่วโลกหล้า คนจากหอเก้าสวรรค์เหล่านั้นไม่ได้โง่ หากไม่มั่นใจเต็มที่ พวกเขาจะไม่ก่อศึกกับเจ้ายามนี้หรอก”
กล่าวจบ สีหน้าของจักรพรรดิมารสวรรค์ก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “พี่ซู ข้าสงสัยว่าจ้าวเรือนจำที่หกจะวางแผนบางอย่างอยู่เช่นกัน หัวใจของข้าไม่มั่นคงนัก หากเป็นไปได้ ข้าอยากให้เจ้าร่วมมือกับข้า ไปลากพวกคนจากหอเก้าสวรรค์มาจัดการเสียยามนี้”
ซูอี้เงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าว “ก็ได้”
จักรพรรดิมารสวรรค์ดูประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่านางตื้นตัน พึมพำว่า “ข้าคิดอยู่ว่าเจ้าจะปฏิเสธ กระทั่งเตรียมสารพัดวาจาเกลี้ยกล่อม ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะตอบตกลงทันที… ข้าจะทำเช่นไรได้…”
กล่าวพลาง นางก็ย่อตัวก้มหัวลงที่ข้างหูซูอี้จากด้านหลัง กระซิบแผ่วเบาด้วยเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน “หรือข้า… ควรตอบแทนด้วยทั้งกายใจเสียยามนี้?”
น้ำเสียงอันเจือแรงดึงดูดทะลวงสู่โสต ชวนลืมหายใจเป็นพิเศษ
ซูอี้ผลักศีรษะของนางออกไปและกล่าวอย่างโกรธเคือง “หากเจ้าทำรุ่มร่ามอีก อย่าโทษข้าว่าไม่ช่วยนะ”
ร่างอรชรของจักรพรรดิมารสวรรค์ชะงักค้าง กัดริมฝีปากแดงสดของนาง ดวงตาคู่งามดูกล้า ๆ กลัว ๆ กล่าวขึ้นอย่างน่าสงสาร “บรรพชนซูโกรธแล้ว ผู้น้อยไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ~”
ซูอี้ลุกจากเก้าอี้หวาย ตบเข้าที่บั้นท้ายของจักรพรรดิมารสวรรค์ “อย่ามัวแสร้งสำออย ไปได้แล้ว!”
เสียงดังฟังชัด
สะท้อนก้องทั่วหุบเขา
จักรพรรดิมารสวรรค์รู้สึกเจ็บแปลบที่ด้านหลัง ร่างอรชรงามสง่าสะท้านเล็กน้อย ใบหน้างามแดงก่ำ อ้าปากค้าง
ไอ้เลวนี่ออมมือบ้างหรือไม่… คิดจะฟาดนางแหลกเป็นเสี่ยงหรือไร!
………………..