บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1117 ทำตามอำเภอใจ
ตอนที่ 1117 ทำตามอำเภอใจ
………………..
ตอนที่ 1117 ทำตามอำเภอใจ
วันถัดมา
แดนอสูรปรีดี
ในฐานะแดนบรรพชนของขุมกำลังมารอันดับหนึ่งในมหาแดนดิน แดนบรรพชนของแดนอสูรปรีดีจึงตั้งอยู่ในโลกเร้นลับซึ่งมีขุนเขาเรียงราย เมฆหมอกสัญจร ปราณวิญญาณหนาแน่นน่าอัศจรรย์
จักรพรรดิมารสวรรค์พาซูอี้กลับสำนักอย่างเงียบงัน ตรงดิ่งมายังสถานที่ต้องห้ามของสำนัก
แท่นสะบั้นตน!
ที่แห่งนี้ตั้งบนยอดเขาเดียวดายแห่งหนึ่ง มีขนาดร้อยจั้ง ดูเหมือนสนามเต๋าโบราณ
ลือกันว่าแท่นสะบั้นตนนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยมือบรรพชนแห่งแดนอสูรปรีดี และบรรจุลวดลายลับวิถีมารอันเก่าแก่โบราณที่สุด
การฝึกฝนบนแท่นนี้สามารถชำระจิตจากความคิดโสมมชั่วร้าย สะบั้นหกกิเลสหลอกหลอน เหมาะสมต่อการขัดเกลาหัวใจวิถีที่สุด
ดังนั้นจึงมีนามว่า ‘สะบั้นตน’
จักรพรรดิมารสวรรค์กล่าวยิ้ม ๆ
“ข้าคิดว่าเราควรลงมือตรง ๆ ไม่จำเป็นต้องเล่นลูกไม้ใด ๆ เลย”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้”
จักรพรรดิมารสวรรค์ยิ้มลึกลับก่อนจะหันหลังจากไป
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ ไม่กล่าวอันใดอีก
ทุกคนล้วนมีแนวทางการกระทำของตน
ยามเขาแก้ปัญหา มักใช้หนึ่งดาบฟาดฟัน มิชอบใช้กลเม็ดซุกซ่อนใด ๆ
ซูอี้เดินไปนั่งทำสมาธิที่แท่นสะบั้นตน
ในอดีตชาติ เขาเคยมาที่นี่และได้สัมผัสกับเก้าบัญญัติแห่งแดนอสูรปรีดีในแท่นสะบั้นตนนี้ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นผลประโยชน์มหาศาล
ไม่นานนัก กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็ทะยานมาจากไกล ๆ
พวกเขามีกันหลายสิบ ต่างคนต่างเป็นยอดฝีมือในขอบเขตจักรพรรดิ ผู้แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ!
“ตาเฒ่าผู้น้อยโม่อวี๋ คารวะใต้เท้าซู”
ชายชราชุดดำร่างผอมสูงซึ่งนำหน้าพวกเขาก้าวเข้ามาคารวะอย่างนอบน้อม
โม่อวี๋
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักแดนอสูรปรีดี ผู้ฝึกตนในขอบเขตสารพันธะลึกล้ำขั้นปลาย มีฐานะสูงส่งเหนือผู้ใด
ทว่าต่อหน้าซูอี้ เขากลับพินอบพิเทาอย่างยิ่ง
ซูอี้เหลือบมองโม่อวี๋ “พวกเจ้ามาทำอันใดที่นี่?”
โม่อวี๋กุมกำปั้นก้มหัว “เราทำตามคำสั่งบรรพชน อารักขาบริเวณแท่นสะบั้นตน พร้อมเดิน ‘ค่ายกลล้างสรวงพินาศภพ’ ทุกเมื่อขอรับ”
ซูอี้รำพัน “บรรพชนเจ้าขี้ระแวงมากไปแท้ ๆ”
ทั่วพิภพในมหาแดนดิน ค่ายกลนี้ยังถูกจัดเป็นค่ายกลสังหารสูงสุดเกินใดเทียบ แม้ยามโคจรพลังเต็มที่จะไม่อาจสังหารตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิได้ แต่มันจะขังอีกฝ่ายไว้ด้านในได้แน่นอน!
จากสิ่งนี้ก็เห็นได้ถึงความน่ากลัวของค่ายกลนี้
โม่อวี๋เงียบไป เขาไม่กล้ากล่าววิจารณ์บรรพชนตน
ซูอี้โบกมือ “ไปทำงานของเจ้าต่อเถอะ”
“ขอรับ”
โม่อวี๋รับคำสั่ง พาสัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งหลายจากแดนอสูรปรีดีไปซุ่มซ่อนตามสถานที่ต่าง ๆ ใกล้แท่นสะบั้นตน
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
ซูอี้ยืนเดียวดายอยู่บนแท่นสะบั้นตน แต่ก็อดรู้สึกประหลาดไม่ได้
หรือจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับฝั่งจักรพรรดิมารสวรรค์?
หาไม่ ไฉนเนิ่นนานจึงไม่กลับมา?
มีกลุ่มคนปรากฏขึ้นจากโพ้นสายตา นำมาโดยจักรพรรดิมารสวรรค์
ยอดฝีมือที่มากับนางมีทั้งชายหญิง รวมแล้วเก้าคน
แค่สังเกตจากปราณ ซูอี้ก็เห็นถึงตัวตนของอีกฝ่าย คนจากหอเก้าสวรรค์!
โดยเฉพาะชายร่างผอมซึ่งนำอยู่ด้านหน้า ปราณของเขาร้ายกาจยิ่งนัก
คนผู้นี้สวมชุดผ้าลินินหยาบ ๆ ใบหน้าเย็นชาแข็งกร้าวดุจศิลา ทุกการเคลื่อนไหวให้เสน่ห์เยือกเย็นไม่อาจสั่นคลอน
ซูอี้ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าคนผู้นี้ต้องเป็นจ้าวเรือนจำที่หกแน่แท้
จักรพรรดิมารสวรรค์เคยกล่าวเจาะจงเกี่ยวกับคนผู้นี้ บอกว่าต้องเป็นตัวตนไม่ธรรมดา มีฝีมือสูงส่ง พื้นฐานการฝึกตนแข็งแกร่งเกินใคร ฝึกฝนมาเพียงแปดพันปี แต่กลับอยู่ในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นกลางแล้ว!
นอกจากนั้น คนผู้นี้ยังถือสมบัติลับและไพ่ตายติดตัวไว้มากมาย
ในหมู่พวกมันที่ทำให้จักรพรรดิมารสวรรค์กลัวเป็นพิเศษคือดาบวิถีนาม ‘เถ้าวิญญาณ’ ซึ่งมีภาวะดาบร้ายกาจสูงส่งยิ่ง!
เมื่อเผชิญหน้าดาบลับนี้ จักรพรรดิมารสวรรค์และตัวตนอื่น ๆ ในขอบเขตมหาจักรพรรดิล้วนขนลุกขนพอง สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามหมายชีวิต!
ทว่าคิ้วของซูอี้ขมวดเข้าหากัน สัมผัสได้ว่าบางอย่างไม่ชอบมาพากล
จากนิสัยของจักรพรรดิมารสวรรค์ นางหรือจะพาศัตรูมาได้ตรง ๆ? นี่ต่างอันใดกับศึกเผชิญหน้า?
ในขณะที่ซูอี้กำลังครุ่นคิด จักรพรรดิมารสวรรค์ก็มาถึงยอดเขาพร้อมคนจากหอเก้าสวรรค์แล้ว
“นี่คือสหายเต๋าซู ซูเสวียนจวินสินะ สมคำร่ำลือจริงแท้ หนึ่งบุคคลยืนดุจเทพเซียน โดดเด่นล้ำเหนือผู้ใด”
จ้าวเรือนจำที่หกไพล่มือไว้เบื้องหลัง ขณะกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย
เขาและพรรคพวกยืนห่างออกไปจากแท่นสะบั้นตนร้อยจั้ง ดวงตาเย็นชาคมปลาบดุจสายฟ้า จ้องมองซูอี้จากไกล ๆ ให้บรรยากาศสงบนิ่ง
ซูอี้เมินเขา และมองไปยังจักรพรรดิมารสวรรค์
ยามนี้ จักรพรรดิมารสวรรค์มีท่าทีเย็นชาโดดเดี่ยว ใบหน้าดุจหญิงสาวงดงามตรึงตาเปี่ยมความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม
เมื่อสังเกตเห็นสายตาของซูอี้ ใบหน้าของจักรพรรดิมารสวรรค์ก็แฝงความจนใจ รำพึงขึ้นมากะทันหัน “พี่ซู อย่าโทษข้าที่ไร้ใจเลย เมื่อไม่กี่วันก่อน เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นที่ทำให้ข้าต้องลวงเจ้ามาที่นี่”
ม่านตาของซูอี้หดตัวเล็กน้อย “จริงหรือ?”
ซูอี้ถูคิ้วของเขา “เหตุผลคืออันใด ไม่กล้ากระทั่งจะพูดถึงมันหรือ?”
“ให้ข้าพูดเถอะ”
ครานี้ จ้าวเรือนจำที่หกกล่าวอย่างเยือกเย็น “ไม่นานนี้ ข้าใช้วิชาไม่น่าดูชมบางอย่างถือความเป็นตามตายของเหล่าศิษย์แดนอสูรปรีดีไว้ในกำมือ ดังนั้นแดนอสูรปรีดีจึงต้องร่วมมือกับข้า นาง ในฐานะบรรพชนแห่งแดนอสูรปรีดีจึงไม่อาจอยู่เฉยมองสำนักล่มสลาย จึงทำได้เพียงต้องคล้อยตามข้า”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
วาจาน่ารังเกียจไร้ยางอายถูกคนผู้นี้กล่าวขึ้นอย่างเฉยเมยเลื่อนลอยราวเรื่องธรรมดา เกินคาดของซูอี้จริงแท้
“พี่ซู ข้าขออภัยด้วย…”
จักรพรรดิมารสวรรค์ถอนใจอีกครั้ง น้ำเสียงเจือความเย็นชาและจนใจ
ซูอี้เงียบไปชั่วขณะ
ทันใดนั้น เขาก็ชี้ไปทางเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าจากแดนอสูรปรีดีซึ่งซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล “แปลว่าแดนอสูรปรีดีคิดใช้ค่ายกลประจำสำนักมาจัดการกับข้าหรือ?”
บรรยากาศหดหู่กดดัน
“สหายเต๋าซู หากต้องการ เราทำข้อแลกเปลี่ยนกันได้นะ”
จ้าวเรือนจำที่หกกล่าวขึ้นอีกครั้ง สีหน้าเยือกเย็น วาจาสุขุม ร่างแผ่บรรยากาศหนักแน่นดุจขุนเขา ไม่อาจสั่นคลอน
“แลกเปลี่ยนสิ่งใด?”
ซูอี้ถามเนิบ ๆ
“ส่งเคล็ดเวียนวัฏสงสารและเคล็ดวิชาปลดผนึกสมบัติลับฟ้าดินมา แล้วข้าจะเป็นตัวแทนหอเก้าสวรรค์ แปรจากศัตรูเป็นมิตรกับสหายเต๋า”
จ้าวเรือนจำที่หกกล่าว “ข้าได้ยินว่าเจ้าปฏิเสธคำเชิญชวนของคุณหนูแห่งโรงวาดฤทัย และข้ารู้ว่าการเกลี้ยกล่อมเจ้านั้นยากนัก”
“ทว่า เจ้าเองก็ได้เห็นแล้วว่าหากเริ่มสงครามยามนี้ ต่อให้เจ้ามีวิธีการต่อต้าน มันก็จะเป็นการทำร้ายชีวิตของเหล่ายอดฝีมือในแดนอสูรปรีดีอย่างไม่อาจเลี่ยง ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับสหายเต๋ามารสวรรค์ย่อมไม่อาจซ่อมแซมได้”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมเฉยชายิ่งกว่าก่อน “ที่สำคัญกว่านั้น ในความเห็นข้า หากเกิดสงครามขึ้นจริง ผู้ที่จะสูญเสีย ท้ายที่สุดก็คือสหายเต๋า เพราะถึงอย่างไร เจ้าไม่ได้เผชิญหน้าเพียงคนจากหอเก้าสวรรค์ แต่ยังมีสหายเต๋ามารสวรรค์และแดนอสูรปรีดีทั้งสำนักด้วย”
บรรยากาศตึงเครียดมากขึ้นทุกขณะ ทำให้ผู้คนยากหายใจ
“พี่ซู ถึงสิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ออกจะน่ารังเกียจไร้ยางอายไปบ้าง แต่หากเป็นไปได้ ข้าก็ไม่อยากทำศึกกับเจ้าจริง ๆ นะ”
จักรพรรดิมารสวรรค์ดูไร้ทางเลือก ขณะเงยหน้ามองชายหนุ่มด้วยสีหน้ามืดหมองจนปัญญา “เจ้า… ช่วย… ลดราวาศอกยอมทน… สักครั้งได้หรือไม่? ข้าเองก็ไม่คิดเลยว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้”
เสียงของนางแผ่วลงเรื่อย ๆ ร่างบอบบางสั่นเครือเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากำลังควบคุมอารมณ์ในใจ
“ข้าไม่อาจโทษเจ้าที่ทำเช่นนี้เพื่อชีวิตคนทั้งสำนักได้ แต่หากเกลี้ยกล่อมข้าเช่นนี้ รังแต่จะทำให้ข้าดูเย็นชาเสียเปล่านะ”
น้ำเสียงของซูอี้ยังคงเฉยเมยเช่นก่อน ดวงตาลึกล้ำเย็นชา “เจ้าควรรู้ว่าข้าซูอี้ไม่เคยกลัวคำขู่เช่นนี้ อย่าว่าแต่ก้มหัวให้ผู้ใด แต่เจ้า… ยังมากล่อมข้าเช่นนี้ กล่าวตามตรง ข้าผิดหวังนัก”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว ใบหน้างามของจักรพรรดิมารสวรรค์พลันซีดขาว กัดริมฝีปากแดงของนางอย่างรุนแรง ดวงตามืดหม่นลง
จ้าวเรือนจำที่หกเห็นสถานการณ์ทั้งหมดแล้วก็อดส่ายหน้าน้อย ๆ ไม่ได้ “เช่นนั้นก็ทำได้เพียงศึก สหายเต๋ามารสวรรค์ เชิญ!”
เขากล่าวกับจักรพรรดิมารสวรรค์
นางสูดหายใจลึก ๆ เนิ่นนาน ก่อนจะหันมองจ้าวเรือนจำที่หกด้วยแววตาเย็นชา กล่าวชัดถ้อยชัดคำ “จำคำสัญญาเจ้าไว้ด้วย หาไม่ ข้าจะสู้ตราบสำนักสลาย บดขยี้ศพเจ้าเป็นหมื่น ๆ ชิ้น!”
จ้าวเรือนจำที่หกไร้สะท้านสะเทือน กล่าวด้วยสีหน้าสุขุม “ข้าสาบานด้วยหัวใจวิถีว่าจะมิตระบัดสัตย์ในเรื่องนี้”
จักรพรรดิมารสวรรค์หันไปเผชิญหน้ากับซูอี้ ใบหน้าหยกงดงามของนางเปี่ยมความตั้งมั่น
นางกล่าวเบา ๆ “พี่ซู ไม่ว่าผลศึกวันนี้เป็นเช่นไร ไม่ว่าเจ้าจะผิดหวังในตัวข้าเพียงไร วันนี้ข้าจะทำทุกสิ่งเพื่อรักษาชีวิตเจ้า!”
ชิ้ง!
ในมือซูอี้ ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ปรากฏขึ้น วจีดาบเคลื่อนสวรรค์สะท้านทั่วทศทิศ
“ไม่ต้องพูดพล่าม ลงมือเถอะ”
อาภรณ์ของซูอี้พลิ้วไสว ภาวะดาบคมกริบแผ่ออกมาจากร่างสูงของเขาอย่างเงียบงัน ขณะทะยานตรงสู่นภา ก่อกวนวายุหมู่เมฆา
ทั่วบริเวณปั่นป่วน
จ้าวเรือนจำที่หกและยอดฝีมือจากหอเก้าสวรรค์เบื้องหลังเขาอดหรี่ตาลงไม่ได้
เป็นภาวะดาบที่แข็งแกร่งเสียนี่กระไร!
และเห็นเช่นนี้ จักรพรรดิมารสวรรค์ก็เม้มปาก และสุดท้ายก็ถอนใจ “พี่ซู ล่วงเกินแล้ว”
นางยกมือขึ้นโบกเบา ๆ
เปรี้ยง!
ทันใดนั้น โลกหล้าก็กู่คำราม
ในบริเวณอันมีแท่นสะบั้นตนเป็นศูนย์กลาง ค่ายกลร้ายกาจพลันกระเพื่อมระเบิดอำนาจ เพลิงแสงเจิดจ้าดุจอัคคีทิพย์ปกคลุมท้องนภา
ค่ายกลประจำแดนอสูรปรีดี ณ ยามนี้ถูกเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าซึ่งนำโดยผู้อาวุโสสูงสุดโม่อวี๋เปิดขึ้นโดยสมบูรณ์!