บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1118: ไอ้โง่
ตอนที่ 1118: ไอ้โง่
ค่ายกลกู่คำราม เพลิงแสงเจิดจรัสแผดกล้าปกคลุมผืนฟ้า ปกปิดคลุมแท่นสะบั้นตนไว้เสียมิด
อำนาจจองจำที่แผ่ออกจากค่ายกลนี้ทำให้เกิดอสนีบาตสีเลือดเจิดจ้านับไม่ถ้วน ปราณทำลายล้างชวนตะลึง
นอกจากนั้น ยังมีเสียงคำรามเทพมารสะเทือนเลือนลั่น มีนิมิตตะวันจันทราแหลกลาญ หมู่ดาวสลายหาย ราวนิมิตวันสิ้นโลก
ค่ายกลล้างสรวงพินาศภพ!
ค่ายกลประจำสำนักแดนอสูรปรีดี เป็นที่รู้จักกันในฐานะค่ายกลสังหารสูงสุดในมหาแดนดิน มากพอจะกักขังตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิได้!
ยามนี้ เมื่อค่ายกลถูกโคจรพลังเต็มที่ ซูอี้ซึ่งอยู่บนแท่นสะบั้นตนก็ถูกกักในนั้นเช่นกัน
เปรี้ยง!
ฟ้าดินสะท้านสั่น อสนีบาตเคลื่อนฟาด
เพลิงทิพย์สีเลือดกระหวัดเกี่ยวราวหมายหลอมทั่วฟ้าดินสิ้นเค้า
จ้าวเรือนจำที่หกม่านตาหดตัว ดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“มันทรงพลังจริง ๆ ข้าไม่คาดว่าในภูมิดาราฟ้าดินซึ่งเหลือเพียงปิตุภูมิเวิ้งดาราจะยังมีค่ายกลสังหารเลิศล้ำเช่นนี้ให้ได้เห็นอยู่”
ผู้ลงทัณฑ์ผู้หนึ่งจากหอเก้าสวรรค์ดูสะเทือนใจ
เขาและผู้ลงทัณฑ์กับพัศดีคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกว่าหากเปลี่ยนเป็นตนที่ถูกขังในค่ายกลนี้ คงอยู่รอดไม่นาน!
แต่ไม่นานนัก ทุกคนก็ตระหนักว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง
ซูอี้ผู้ถูกกักในค่ายกลดูตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง ทว่ากลับสามารถเลี่ยงการโจมตีถึงตายได้ทุกครั้ง!
“คนผู้นี้แข็งแกร่งเกินไปหรือ?”
พัศดีบางคนอ้าปากค้าง
ในสายตาของพวกเขา อำนาจค่ายกลนี้ร้ายกาจยิ่งดุจกรงขังในนรกภูมิ เมื่อถูกจองจำล้วนสิ้นทางหนี มีเพียงถูกสังหารในหนเดียวเท่านั้น
ทว่าซูอี้กลับสำแดงฝีมือน่าอัศจรรย์ยิ่ง ดูเหมือนเขาจะมองทะลุการกระหน่ำโจมตีถึงตายเหล่านี้ได้ก่อนทุกคราไป เขาจึงหลบพ้นเสียแต่เนิ่น ๆ!
กระทั่งยามไม่อาจหลบ เขาก็เหวี่ยงดาบทำลายมันลงได้โดยฉิวเฉียด!
“อย่าลืมนะว่าเขาคือซูเสวียนจวิน ไม่นานนี้ เขาก้าวสู่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์เพียงลำพัง ล้างพันธมิตรเสวียนจวินลงได้ กระทั่งขับไล่ขุมกำลังโรงวาดฤทัย ตัวตนเช่นนี้ฆ่าได้ไม่ง่ายแน่”
หนึ่งในผู้ลงทัณฑ์กล่าวเสียงลุ่มลึก
แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ตัวเขาก็ดูตะลึงยากสงบใจ
มหาค่ายกลนี้กักร่างตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิได้ แต่กลับไม่อาจหยุดซูเสวียนจวินผู้เพิ่งก้าวสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้ในยามนี้ ใครเล่าจะไม่ตกใจ?
“สหายเต๋ามารสวรรค์ เจ้าอธิบายได้หรือไม่ว่าไฉนซูเสวียนจวินจึงล่วงรู้ความลับของค่ายกลนี้?”
จู่ ๆ นัยน์ตาเย็นชาคมปลาบดุจสายฟ้าของจ้าวเรือนจำที่หกก็หันมองจักรพรรดิมารสวรรค์ข้างกายเขา สีหน้าเย็นชาแข็งทื่อดุจศิลา
ใบหน้าหยกงดงามเลิศล้ำของจักรพรรดิมารสวรรค์แปรเปลี่ยน รำพึงว่า “ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าในอดีตชาติของเขา ซูเสวียนจวินเคยบุกเดี่ยวเข้ามาในแดนอสูรปรีดีของข้า”
“เขายังเป็นยอดฝีมือผู้เดียวตลอดมาที่รอดชีวิตออกมาจากค่ายกลล้างสรวงพินาศภพได้ และเรื่องนี้ก็ก่อให้เกิดเสียงเซ็งแซ่เป็นที่ล่วงรู้ทั่วโลกา”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย สายตาของจักรพรรดิมารสวรรค์ก็จ้องจ้าวเรือนจำที่หกและกล่าวอย่างเย็นชา “ยิ่งกว่านั้น ก่อนข้าจะเริ่มลงมือ ข้าก็เตือนเจ้าแล้วว่าค่ายกลนี้อย่างมากก็ทำได้เพียงกักขังซูเสวียนจวิน หากอยากใช้มันฆ่าเขาก็ไม่ต่างกับฝันลม ๆ แล้ง ๆ”
เขาไม่อาจคัดค้านได้ เพราะจริงดั่งที่จักรพรรดิมารสวรรค์ว่า อีกฝ่ายเคยเตือนเขาเรื่องเหล่านี้แล้วจริง ๆ
“พอเพียงกักร่างเขาไว้ได้ เมื่อกาลผันผ่าน การฝึกฝนของเขาย่อมถูกกัดกร่อนจนหมดพลังไปเอง”
ดวงตาของจ้าวเรือนจำที่หกวูบไหว “ถึงยามนั้น จับตัวเขาซูเสวียนจวินก็ทำได้ไม่ยาก!”
เพิ่งสิ้นคำ…
ตู้ม!
ไกลออกไปพลันเกิดเสียงคำรามลั่น พิรุณแสงโปรยปรายคลุ้มคลั่ง
ทุกคนล้วนแปลกใจที่เห็นว่าร่างของซูอี้ฝ่าฟันผ่านนานาอุปสรรค พยายามทะลวงค่ายกลนี้ออกมา
ยามนี้ ก่อนจ้าวเรือนจำที่หกจะทันได้พูด จักรพรรดิมารสวรรค์ก็แปรสีหน้า เสียงแผ่สะท้อนได้ยินถ้วนทั่ว “โม่อวี๋ ลงมือสุดตัว เจ้าห้ามหมกเม็ดใด ๆ อีก!”
“ขอรับ!”
ทันใดนั้น อำนาจของมหาค่ายกลพลันพุ่งทะยานสูง
ในมหาค่ายกล การบุกทะลวงของซูอี้ถูกกั้นขวาง บีบคั้นเสียจนเขาต้องถอยกลับเข้าสู่สภาวะถูกจองจำ
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในหอเก้าสวรรค์ลอบถอนใจโล่งอก
“อำนาจค่ายกลนี้แข็งแกร่งจริงแท้ แม้จะไม่อาจเทียบค่ายกลสังหารระดับราชันย์แห่งภูมิในห้วงลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวได้ แต่มันก็นับได้ว่าเป็นยอดค่ายกลแล้ว”
บางคนรำพึง
“ครานี้ เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากใต้เท้ามารสวรรค์และสหายเต๋าทั้งหลายจากแดนอสูรปรีดี ไฉนเราต้องกังวลด้วยว่าจะจัดการกับซูเสวียนจวินผู้นี้ไม่ได้?”
บางคนดูตื่นเต้น กล่าวพลางมองจักรพรรดิมารสวรรค์อย่างให้การยอมรับ
กระทั่งจ้าวเรือนจำที่หกยังผ่อนคลายลงมาก และกล่าวว่า “เมื่อเรื่องทั้งหมดนี้จบลง ข้าจะปลด ‘ตราคำสาปลับต้องห้าม’ ของทุกคนในแดนอสูรปรีดีออกทันที และตามสัญญา ข้าจะให้เคล็ดฝึกฝนวิถีสู่สวรรค์กับสหายเต๋าด้วย”
หลังจากชะงักไปเล็กน้อย เขาก็จ้องใบหน้างดงามชวนตะลึงโลกหล้าของจักรพรรดิมารสวรรค์และกล่าวอย่างจริงจัง “นอกจากนั้น ยามเรากลับสู่ห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว หากสหายเต๋าต้องการ ข้าสามารถแนะนำและกรุยทางให้สหายเต๋าเข้าฝึกฝนในหอเก้าสวรรค์ได้ ข้าเชื่อว่าด้วยฝีมือและวิชาที่สหายเต๋ามี สามผู้บวงสรวงสวรรค์จะตีค่าเจ้าไว้สูง และคงไม่นานก่อนที่เจ้าจะได้เป็นจ้าวเรือนจำเฉกเช่นข้า!”
จ้าวเรือนจำในหอเก้าสวรรค์นั้นถือได้ว่าเป็นผู้ทรงอำนาจอันดับหนึ่งในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว!
ทว่า จักรพรรดิมารสวรรค์กลับดูเยือกเย็น ขณะกล่าวเสียงต่ำ “หากทำได้ ข้าหวังเพียงว่าท้ายที่สุด สหายเต๋าจะยังไว้ชีวิตซูเสวียนจวิน”
คิ้วของจ้าวเรือนจำที่หกขมวด
ทว่าท้ายที่สุด เขาก็พยักหน้ากล่าว “ขอเพียงข้าได้ในสิ่งที่ต้องการ ข้าก็จะเติมเต็มคำขอของสหายเต๋า”
ทว่ายามนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกประการขึ้นในค่ายกล
ปราณดาบถักทอสายแล้วสายเล่า ซูอี้โบกมือต่อเนื่อง สร้างปราณดาบปกคลุมแท่นสะบั้นตนเป็นม่านกว้าง และแม้อำนาจค่ายกลจะถล่มเข้าใส่ ทว่าก็ไม่อาจสั่นคลอนม่านปราณดาบนี้ได้
และซูอี้ซึ่งอยู่ภายในนั้นก็เป็นดั่งโขดหินริมทะเล ปล่อยให้คลื่นคลั่งระห่ำอิสระ ทว่ากลับไม่สะทกสะท้านถึงตนแม้แต่น้อย!
“นี่…”
ยอดฝีมือทั้งหลายจากหอเก้าสวรรค์ตะลึงงัน
“เขา… เขาขโมยพลังเก้าบัญญัติในแท่นสะบั้นตนมาตั้งค่ายรับการกระหน่ำโจมตีของค่ายกลล้างสรวงพินาศภพหรือ”
“สหายเต๋าก็รู้ว่าแท่นสะบั้นตนนี้ เดิมทีบรรพชนของข้าสร้างขึ้น มันบรรจุลวดลายวิถีมารอันเก่าแก่โบราณที่สุด และด้วยอำนาจของค่ายกลล้างสรวงพินาศภพก็ไม่มีทางทำลายแท่นสะบั้นตนไปด้วยแน่ ดังนั้นยามนี้ มันจึงทำอันใดซูเสวียนจวินมิได้เช่นกัน…”
จักรพรรดิมารสวรรค์กล่าวเสียงต่ำ ใบหน้าหยกแปรเปลี่ยน
จ้าวเรือนจำที่หกอดแค่นเสียงอย่างเย็นชาไม่ได้ แววตาเย็นชาไม่แยแสจับจ้องไปที่จักรพรรดิมารสวรรค์ “หากเช่นนั้น ก็ขอให้สหายเต๋าลงมือปราบซูเสวียนจวินด้วยตัวเองเลยแล้วกัน!”
ร่างของจักรพรรดิมารสวรรค์ชะงักค้าง แววตาพร่างดาวเปี่ยมด้วยโทสะ “การร่วมมือกับหอเก้าสวรรค์ของพวกเจ้าขังซูเสวียนจวินไว้ที่นี่ก็ทำข้าย่ำแย่พอแล้ว แล้วยามนี้เจ้ายังอยากให้ข้าไปฆ่าซูเสวียนจวินอีก ไม่ลวงโลกไปหน่อยหรือไร!”
จ้าวเรือนจำที่หกกล่าวอย่างเยือกเย็น “เพื่อชีวิตของทุกคนในแดนอสูรปรีดีของเจ้า อย่าได้ปฏิเสธเลย”
วาจาเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยคำข่มขู่!
จักรพรรดิมารสวรรค์โกรธเกรี้ยวเสียจนหน้าแดงก่ำ กัดฟันแทบแหลกสลาย สีหน้าเจือความบ้าคลั่ง
กิริยาเปี่ยมโทสะบ้าคลั่งนี้ทำให้ยอดฝีมือจากหอเก้าสวรรค์ลอบใจสั่น
จักรพรรดิมารสวรรค์กล่าวชัดถ้อย “หากกดดันข้ามากนัก ข้าจะเมินเฉยได้แม้แดนอสูรปรีดีพังทลาย อยากลองจริง ๆ หรือ?”
อาภรณ์แดงสดกระเพื่อมพัด ใบหน้างดงามตะลึงหล้าเย็นชา
ยอดฝีมือจากหอเก้าสวรรค์ล้วนเปลี่ยนสีหน้า
หากตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิผู้หนึ่งถูกต้อนจนมุมเสียจนต่อสู้แลกชีวิต ผลลัพธ์ที่เกิดจะไม่อาจรับได้โดยผู้ใด
ชั่วขณะนั้น ทุกสายตาต่างมองไปยังจ้าวเรือนจำที่หก
คนถูกจับจ้องเงียบไปชั่วครู่ และสุดท้ายก็กล่าวขึ้นว่า “ก็ได้ ในเมื่อสหายเต๋าไม่เต็มใจ ข้าก็จะไม่เร่งรัด ข้าจะลงมือเอง!”
เขาเองก็กังวลว่าหากฝืนทวนกระแสธารโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ผลลัพธ์อาจไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเห็น
“ส่งยันต์กลไกของค่ายกลนี้ให้ข้าชิ้นหนึ่ง และข้าจะไปเผชิญหน้ากับซูเสวียนจวินเอง”
จ้าวเรือนจำที่หกตัดสินใจ
จักรพรรดิมารสวรรค์สูดหายใจลึก ๆ จิตสังหารล่าถอยไปเงียบ ๆ และโยนยันต์กลไกชิ้นหนึ่งให้จ้าวเรือนจำที่หกโดยไม่พูดจา ราวกับยังคงเดือดดาล
จ้าวเรือนจำที่หกหาได้ใส่ใจเรื่องนี้ไม่ หลังได้รับยันต์กลไก เขาก็ก้าวไปยังค่ายกลทันที
“ใต้เท้า นี่ไม่เสี่ยงไปหรือ?”
ผู้ลงทัณฑ์คนหนึ่งอดพูดไม่ได้
จ้าวเรือนจำที่หกตอบโดยไม่หันมอง “ข้าเชื่อว่าสหายเต๋ามารสวรรค์จะไม่ล้อเล่นกับชีวิตของคนทั้งสำนัก พวกเจ้ารอที่นี่แหละ”
เสียงยังไม่ทันสร่าง เขาก็พุ่งเข้าไปในค่ายกล
ครืน!
อำนาจค่ายกลแข็งแกร่งน่าหวาดหวั่น ทว่าจ้าวเรือนจำที่หกถือยันต์กลไกจึงไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ และเมื่อเขาเข้ามาในมหาค่ายกล เขาก็ร่อนลงบนแท่นสะบั้นตนและพุ่งไปหาซูเสวียนจวินทันที
“ซูเสวียนจวิน เจ้าว่าหากข้าทำลายม่านปราณดาบนี่ เจ้าจะใช้วิถีเต๋าของเจ้ารักษาตัวได้นานเพียงไรเชียว?”
จ้าวเรือนจำที่หกกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา ดวงตาเฉยเมยกดดัน
ซูอี้ที่อยู่ในม่านปราณดาบมองจ้าวเรือนจำที่หกเข้ามาใกล้ ทว่าใบหน้ากลับแสดงเค้าความสงสาร “แม้ข้าจะไม่ชอบการเล่นละครสมคบคิด แต่ยามเห็นว่าเจ้าถูกนางมารนั่นหลอกให้โง่โยนตัวเองเข้ามาในกับดักแล้ว… ข้าก็อดอยากขำไม่ได้จริง ๆ…”
ท้ายที่สุด มุมปากของเขาก็กระตุก อดหัวเราะไม่ได้
หลอก!?
เขาหันไปมองที่นอกค่ายกล…
และเห็นจักรพรรดิมารสวรรค์ยืนโบกมือให้เขาด้วยรอยยิ้ม และเปล่งวจีบุปผา “ไอ้โง่เอ๊ย”
ก่อนหน้านี้ นางยังมีสภาพน่าเวทนา อ้อยอิ่งทอดถอนใจแสนนาน กระทั่งเดือดดาลบ้าคลั่งเพราะไม่ต้องการลงมือกับซูอี้เสียจนพร้อมเป็นหยกแตกดีกว่ากระเบื้องสมบูรณ์
ทว่ายามนี้ นางกลับแย้มยิ้มดุจบุปผางาม แววตาพร่างดาวบนใบหน้างดงามดุจหญิงสาวพร่างประกาย มุมปากยกยิ้มภาคภูมิ
การแปรเปลี่ยนท่าทีกะทันหันนี้ทำให้จ้าวเรือนจำที่หกแทบไม่อาจเชื่อสายตาตน และสีหน้าที่เดิมเย็นชาเฉยเมยก็แปรเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย
และเมื่อได้เห็นเช่นนี้ สามผู้ลงทัณฑ์และห้าพัศดีล้วนตะลึงราวถูกสายฟ้าฟาด พลันตระหนักว่ามีสิ่งมิชอบมาพากล แปรสีหน้าไปอย่างมหันต์
ก่อนหน้านี้ นางมารชั่วนี่เล่นละครมาโดยตลอดหรือ!?