บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1119: ความจริง
ตอนที่ 1119: ความจริง
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ทำให้จ้าวเรือนจำที่หกและยอดฝีมือจากหอเก้าสวรรค์ล้วนไม่ทันตั้งตัวและแทบไม่อยากเชื่อ
ซูอี้สะบัดแขนเสื้อ
ม่านปราณที่ล้อมร่างของเขาอยู่เลือนหายไป
“หากเจ้ารอดออกจากค่ายกลนี้ได้ ข้าก็ไม่คิดมากหากจะช่วยส่งเจ้าสู่โลกหน้า”
ซูอี้เหลือบมองจ้าวเรือนจำที่หก และเมื่อขยับเท้า ลวดลายวิถีมารอันลึกลับเกินเข้าใจก็ปรากฏขึ้นบนแท่นสะบั้นตน
จากนั้น ร่างของซูอี้ก็หายวับไปจากค่ายกล
อึดใจต่อมา เขาก็อยู่นอกค่ายกลแล้ว
เข้าออกไร้อุปสรรคดุจเดินเล่นผ่อนคลาย
เมื่อเห็นเช่นนี้ จ้าวเรือนจำที่หกก็ตระหนักชัดเจนว่าตนถูกหลอก!
ซูเสวียนจวินผู้นี้ร่วมมือกับจักรพรรดิมารสวรรค์มาแต่แรก!
“ใต้เท้าซู ก่อนหน้านี้ล่วงเกินท่านไว้มาก หวังว่าท่านจะให้อภัยข้าด้วย”
โม่อวี๋ผู้ควบคุมค่ายกลรีบร้อนกุมกำปั้นเอ่ยขึ้น
“ก่อนหน้านี้ ไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าการเล่นกับบรรพชนของเจ้า แต่ยามนี้ ขึ้นกับความสามารถของเจ้าเองแล้ว”
ซูอี้กล่าวเฉยชา
โม่อวี๋ฉีกยิ้มกล่าว “ข้าจะทุ่มสุดฝีมือเพื่อรับใช้จ้าวเรือนจำแห่งหอเก้าสวรรค์ผู้นี้เป็นอย่างดีขอรับ!”
กล่าวจบ เขาก็หันไปตะโกนกับเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าจากแดนอสูรปรีดี “ทุกท่าน ลงมือเต็มที่ อย่าให้ใต้เท้าซูผิดหวัง!”
“ได้!”
พลพรรคตอบกลับด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ทันใดนั้น ค่ายกลพลันคำรามลั่น อำนาจฆ่าฟันทำลายล้างมหาศาลระเบิดเข้าใส่จ้าวเรือนจำที่หก
เทียบกับกาลก่อน มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าก่อนหน้านี้พวกโม่อวี๋มิได้ลงมือเต็มที่
จ้าวเรือนจำที่หกเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน สีหน้าซึ่งเย็นชาดุจศิลาอดแสดงความหม่นหมองออกมาไม่ได้
ยิ่งกว่านั้น เขายังพบด้วยว่ายันต์กลไกในมือของเขาเสื่อมสภาพ ไม่อาจใช้ได้อีกต่อไป!
สิ่งนี้ทำให้จ้าวเรือนจำที่หกรู้สึกโกรธเคือง กรุ่นจิตสังหารในใจโดยไม่อาจระงับยั้ง
ครืน!
อำนาจค่ายกลประดังเข้ามา เพลิงทิพย์ร้ายกาจโหมกระพือ แสงอสนีบาตพันเกี่ยว
จ้าวเรือนจำที่หกไม่ได้อยู่เฉย เขาระเบิดปราณแข็งแกร่งร้ายกาจออกจากร่างและลงมือโจมตีสะท้านสะเทือนทั่วค่ายกลในทันที
ขณะเดียวกัน จ้าวเรือนจำที่หกก็กล่าวอย่างเย็นชา “มารสวรรค์ ชีวิตคนในแดนอสูรปรีดีของเจ้าทั้งหมดอยู่ในมือข้า หากทำเช่นนี้ ไม่ห่วงสำนักล่มสลายหรือไร?!”
นางดูแสนภาคภูมิ ดวงตาคู่งามหยีดุจจันทร์เสี้ยวทอประกาย
“เป็นไปไม่ได้! อำนาจของ ‘ตราคำสาปลับต้องห้าม’ ของข้าควบคุมได้เพียงผู้มีอำนาจระดับจ้าวเรือนจำของสำนักข้าเท่านั้น กระทั่งในจักรวาลพร่างดาวยังไร้ผู้ใดทำลายได้!”
หนึ่งในเหล่าผู้ลงทัณฑ์ร้องอย่างเดือดดาล
พวกพ้องของเขาเองต่างปั่นป่วน สีหน้าดูมืดหมอง เห็นได้ชัดว่าไม่อาจรับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้ชั่วขณะ
จักรพรรดิมารสวรรค์เหลือบมองพวกเขาพลางกล่าวว่า “เชื่อหรือไม่ ไม่สำคัญ เรื่องสำคัญคือ… ไม่คิดหรือว่าเจ้าในยามนี้ขวางหูขวางตา?”
วาจาเลื่อนลอยทำให้ผู้ลงทัณฑ์ทั้งสามและห้าพัศดีตัวแข็งทื่อ สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างสมบูรณ์
ยามนี้ จ้าวเรือนจำที่หกถูกกักอยู่ในค่ายกลล้างสรวงพินาศภพ และด้วยความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้ลำพัง ต่อให้บรรลุกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ พวกเขาหรือจะเป็นคู่มือให้ตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิเช่นนี้?
“เจ้ารู้ผลที่ตามมาของมันหรือไม่?”
หนึ่งในผู้ลงทัณฑ์ขู่เสียงแข็ง
จักรพรรดิมารสวรรค์ยกมุมปากแดงสดของนางกล่าวอย่างเฉยชา “รู้สิ เจ้ามาจากหอเก้าสวรรค์ และยังรู้ด้วยว่าหอเก้าสวรรค์ของพวกเจ้าเรืองอำนาจนักในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว นอกจากคำขู่เหล่านี้ ยังมีสิ่งใดอีกหรือไม่?”
ยอดฝีมือจากหอเก้าสวรรค์ล้วนจนวาจา
“ในเมื่อไร้วาจา ก็ไปตายเสีย”
วาจาของจักรพรรดิมารสวรรค์ยังไม่ทันจางหาย นางก็โจมตีโดยไร้ลังเล
เปรี้ยง!
แสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่อง อสนีบาตแปลบปลาบเช่นคมมีดกวาดออกไป
ก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิมารสวรรค์กักโทสะไว้เต็มท้อง ทันทีที่นางลงมือ นางก็ทุ่มสุดกำลังทันที อำนาจร้ายกาจสำแดงปกฟ้าคลุมตะวัน ถาโถมใส่ร่างคนจากหอเก้าสวรรค์เหล่านั้นไว้
สามผู้ลงทัณฑ์และห้าพัศดีเหล่านี้ต่างเป็นยอดฝีมือจากหอเก้าสวรรค์ทั้งสิ้น ต่างคนต่างไร้เทียมทานในขอบเขตของตนในมหาแดนดิน
โดยเฉพาะสามผู้ลงทัณฑ์ พวกเขาล้วนแต่อยู่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ และพวกเขาต่างสำเร็จกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ซึ่งพอจะรับมือตัวตนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นต้นได้
น่าเสียดายที่คู่ต่อสู้ ณ ยามนี้ของพวกเขาคือบรรพชนแห่งแดนอสูรปรีดี ปรมาจารย์แห่งวิถีมารซึ่งเป็นที่ยอมรับจากขุมกำลังมารทั่วโลกหล้า และตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิแห่งมหาแดนดิน!
เพียงพริบตา เสียงกรีดร้องของพวกเขาก็ดังระงม โลหิตสาดกระเซ็นสู่ฟ้า และยอดฝีมือทั้งหลายจากหอเก้าสวรรค์ต่างสิ้นชีพราบคาบ!
หลังกระทำเรื่องทั้งหมดนี้ จักรพรรดิมารสวรรค์ก็เหมือนจะได้ระบายอารมณ์ จา่กนั้นนางกก็กล่าวกับตนเอง “หากพวกเจ้ามาจากจักรวาลพร่างดาว จะมาทำกร่างในแดนอสูรปรีดีของข้าได้จริง ๆ หรือ? นายหญิงผู้นี้ทนกิริยาพวกเจ้ามานานแล้ว!”
ขณะที่กล่าวเช่นนั้น เมื่อเห็นซูอี้เดินมาหา จักรพรรดิมารสวรรค์พลันแย้มยิ้มทรงเสน่ห์ชวนหลงใหลทักทายเขา “พี่ซู เจ้าก็ได้เห็นแล้วว่าด้วยแผนของข้า เราก็สามารถขังจ้าวเรือนจำที่หกได้โดยไม่ต้องออกแรงมาก และมิต้องต่อสู้กับพวกเขาเลย”
ซูอี้นำเก้าอี้หวายออกมานั่ง มองศึกที่เกิดในค่ายกลห่างออกไป และกล่าวอย่างเฉยชา “การแสดงบนเวทียังมิเลิศล้ำเท่าฝีมือการแสดงของเข้า และก่อนหน้านี้ ข้าแทบบอกไม่ถูกว่าเจ้าอยู่ฝ่ายใดแน่”
จักรพรรดิมารสวรรค์ยืนข้างซูอี้ แย้มยิ้มหวาน “ข้าน่ะ ชั่วชีวิตนี้อยู่ข้างพี่ซูอยู่แล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงชั่วกาล”
ซูอี้หัวเราะกล่าว “แต่จากแผนก่อนหน้านี้ของเจ้า มันไม่ใช่เช่นนั้นนี่”
ก่อนหน้านี้ ขณะเดินทางสู่แดนอสูรปรีดี จักรพรรดิมารสวรรค์ได้สรุปเนื้อหาปฏิบัติการไว้แล้ว
แต่เมื่อเริ่มแผนสังหารจริง ๆ ซูอี้กลับพบว่ารายละเอียดแผนการมีจุดแตกต่างไปจากเดิม โดยเฉพาะการที่นางมารผู้นี้ใช้เขาเป็นเหยื่อล่อ ขังไว้บนแท่นสะบั้นตน!
จักรพรรดิมารสวรรค์เสสรวล “พี่ซู หากเราไม่ลิ้นสองแฉกเข้าไว้ จะลวงตัวตนเช่นเจ้าได้หรือ?”
กล่าวจบ นางก็อธิบายอย่างอดทน ด้วยคิดว่าหาไม่ คงยากจะทำให้จ้าวเรือนจำที่หกหลงกล
ยิ่งกว่านั้น เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดมหาสงครามอันกระเทือนถึงศิษย์แดนอสูรปรีดีคนอื่น ๆ พวกนางจึงต้องเลือกลงมือที่แท่นสะบั้นตน
และหากต้องการให้จ้าวเรือนจำที่หกเข้าไปในค่ายกลสังหาร จับเต่าในไหอย่างว่าง่าย ก็ทำได้เพียงต้องใช้ซูอี้เป็นเหยื่อล่อ
“นอกจากนั้น เหตุที่ข้าไม่ได้บอกเจ้าก่อนนั้น เป็นเพราะข้าไม่คาดว่าจ้าวเรือนจำที่หกจะขี้ระแวงยิ่ง เมื่อเขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เขาก็สงสัยว่าข้าจะหลอกเขาไปเชือด ดังนั้นด้วยสิ้นหวัง ข้าจึงต้องเปลี่ยนยุทธวิธีเล็กน้อย”
จักรพรรดิมารสวรรค์กล่าวและอดหัวเราะออกมาอีกครั้งมิได้ “โชคดีที่แผนก็ยังสำเร็จอย่างงดงาม ต่อจากนี้เราก็แค่ชมการแสดงที่นี่ก็พอ”
ซูอี้หาใส่ใจไม่
เขาเข้าใจสันดานของนางมารผู้นี้ ต่อให้นางมีนิสัยกลับกลอกร้อยเล่ห์กล แต่เทียบกับตัวตนจากหอเก้าสวรรค์เหล่านั้นแล้ว เขาก็เชื่อใจนางมารผู้นี้มากกว่า
ยามนี้ จักรพรรดิมารสวรรค์แย้มยิ้มพลางกล่าวเบา ๆ ว่า “พี่ซู ครานี้ข้าเปิดใจกับเจ้าแล้วนะ ชีวิตของคนทุกผู้ในแดนอสูรปรีดีอยู่ในมือเจ้าแล้ว หากกระทั่งเจ้ายังช่วยพวกเขาลบ ‘ตราคำสาปลับต้องห้าม’ ของหอเก้าสวรรค์ไม่ได้ แดนอสูรปรีดีของข้าคงจบสิ้นแท้จริง”
“วางใจเถอะ ในสองปี ปัญหานี้จะถูกแก้”
ซูอี้กล่าวเรียบ ๆ
นับแต่ยามที่เขาอยู่ในภูมิมืดมิด ยมบาลก็บอกแล้วว่านางจะออกจากเมืองมรณะได้ในสองปี และจะมาหาเขาที่มหาแดนดิน
และเมื่อนานมาแล้ว ยมบาลคือจ้าวเรือนจำลำดับที่เจ็ดแห่งหอเก้าสวรรค์!
ตราคำสาปลับต้องห้ามอาจสามารถทำให้ผู้อื่นสิ้นหวังได้ แต่สำหรับยมบาล มันย่อมไม่ยากเย็น
ในขณะที่ทั้งสองเสวนา ไกลออกไป จ้าวเรือนจำที่หกกำลังต่อสู้อย่างห้าวหาญ
ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ร้ายกาจจริงแท้ มีการฝึกฝนเพียงขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นกลาง ทว่ากลับสำแดงอำนาจต่อสู้ร้ายกาจท้าทายสวรรค์!
อำนาจของค่ายกลล้างสรวงพินาศภพนั้นแข็งแกร่งเสียจนกักขังตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิได้ ทว่าจวบจนยามนี้ มันกลับไม่อาจปราบจ้าวเรือนจำที่หกได้อยู่หมัด
“คนผู้นี้น่ากลัวกว่าที่ข้าคาดไว้นิดหน่อย”
จักรพรรดิมารสวรรค์กระซิบ คิ้วขมวดเล็กน้อย
ทั้งวิถีเต๋าและเคล็ดวิชาที่จ้าวเรือนจำลำดับที่หกสำแดงนั้นแข็งแกร่งเหนือคาดคิด
แม้ตัวเขาในยามนี้จะถูกถล่มโจมตีจนทุลักทุเลเอาการ และร่างของเขาบาดเจ็บโชกเลือด แต่อันที่จริงเขานั้นห้าวหาญขึ้นทุกขณะ จิตวิญญาณแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ดุจขุนเขาโบราณ ไม่อาจถูกสั่นคลอนได้!
ซูอี้ก้มหัวลงเล็กน้อย “คนผู้นี้มีการฝึกฝนในขอบเขตเดียวกับคุณหนูจากโรงวาดฤทัย และกระทั่งอำนาจต่อสู้ยังไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเท่าไร แข็งแกร่งมากจริง ๆ”
“นอกเหนือจากเรื่องเหล่านี้ เขายังมีไพ่ตายอันทรงพลังมากมาย และยังไม่ได้ใช้ดาบวิถีเถ้าวิญญาณที่ข้ากลัวที่สุดออกมาเลย”
จักรพรรดิมารสวรรค์กล่าวด้วยแววตาวูบไหว “นี่แหละสาเหตุที่ข้าเลือกใช้ลูกไม้ เพราะข้าไม่อาจต่อสู้เผชิญหน้ากับคนผู้นี้ได้”
“แต่ในความคิดข้านะ เพียงค่ายกลล้างสรวงพินาศภพนี้ เกรงว่าคงยากหากต้องการกักขังสังหารคนเช่นเขา”
ซูอี้โอดครวญ
จริงดังว่า หลังผ่านไปเพียงครึ่งเสี้ยวชั่วยาม สถานการณ์ก็เริ่มชัดเจนว่าหากเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงเขาจะไม่อาจทลายวงล้อม แต่ยังเสียพลังกายมากมายด้วย จ้าวเรือนจำที่หกจึงใช้ไพ่ตายทันที
เปรี้ยง!
หนึ่งวจีดาบคำรามหนักชวนลืมหายใจ
ในมือจ้าวเรือนจำที่หกมีดาบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น
ดาบวิถีเล่มนั้นยาวสี่ฉื่อ กว้างราวสี่ชุ่น เป็นสีดำสนิทด้ามจรดคม คมดาบทื่อและเรียบง่าย ที่ด้ามจับสลักอักขระสีทองลึกลับเหมือนดวงตา
“ดาบนั่นแหละ!”
ม่านตาของจักรพรรดิมารสวรรค์พลันหดตัว นางบอกซูอี้ไปก่อนแล้วว่าดาบในมือจ้าวเรือนจำที่หกทำให้นางรู้สึกขนลุกขนพอง และสัมผัสได้ถึงอันตรายถึงชีวิต!
ยามนี้ ดาบเล่มนี้ถูกชักออก!
ดวงตาของซูอี้หรี่ลงเล็กน้อย
ทว่า ก่อนที่เขาจะได้พินิจจริงจัง จ้าวเรือนจำที่หกก็กระโดดขึ้น ฟาดดาบลงมาอย่างดุดัน
ยามนั้นดุจมีรุ้งทองเจิดจรัสพาดผ่านนภากว้าง พร่างพราวแสงจรดเก้าสวรรค์ ส่องสว่างทศทิศแรงกล้า
ครืน!!!
ยามดาบนี้ฟันลง ค่ายกลล้างสรวงพินาศภพพลันคำรามพลางสั่นสะเทือน ลวดลายวิถีนับไม่ถ้วนในค่ายกลแหลกสลาย เกิดรอยร้าวอันน่าตกใจขึ้นจากดาบนี้!
เกิดเสียงอุทาน โม่อวี๋และสัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่น ๆ ที่ควบคุมค่ายกลอยู่ต่างหน้าถอดสี พวกเขาถูกผลกระทบรุนแรง ร่างซวนเซถอยหลัง ดูไม่จืดไปพอตัว
ท่ามกลางฝุ่นควัน ร่างผอมสูงเปี่ยมปราณร้ายกาจเดินออกมาจากรอยร้าวใหญ่โต
ดาบวิถีในมือของเขากู่คำรามสะเทือนทั่วเก้าชั้นฟ้า รัศมีสีทองเจิดจ้าสาดออกจากคมดาบราวพิรุณแสงพร่างพราย
เขาคือจ้าวเรือนจำที่หก!
………………..