บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 112 ความขุ่นเคืองของซูอี้
เมื่อเห็นซูอี้กำลังไตร่ตรอง ฉินเฟิงยิ้มออกมาพลางกล่าวถ้อยคำ “สหายผู้นี้ เจ้าไม่รู้ ถือว่าไม่มีความผิด ตอนนี้ข้าไม่คิดใส่ใจเรื่องราวเล็กน้อยแล้ว”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยด้วยความเย่อหยิ่ง “อย่างไรก็ตาม ในเมื่อรู้ตัวตนของข้าแล้ว เจ้าน่าจะเห็นว่าข้าประทับใจในความสามารถของเจ้าอย่างแท้จริง และหวังว่าจะไม่เมินเฉยต่อไมตรีของข้า”
รับชมสิ่งนี้ หวงเฉียนจวินกล่าวถ้อยคำเคืองโกรธ “ฉินเฟิง หากท่านลุงรู้ว่าเจ้าอวดดีเช่นนั้น เขาต้องโกรธเจ้าแน่!”
“อวดดี?”
ใบหน้าฉินเฟิงหมองหม่นเล็กน้อย “เพราะไว้หน้าเจ้า ข้าจึงเกียจคร้านเกินกว่าจะจัดการ นี่เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าสั่งสอนเจ้าให้หลาบจำจริงหรือ?”
“ข้าจะให้โอกาส ไปให้พ้นจากสายตาข้าเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้น อย่าโทษที่ข้าทำเจ้าอับอายต่อหน้าผู้คน!”
ถ้อยคำธรรมดาแต่แฝงไปด้วยความเหยียดหยาม
“เจ้า…”
ใบหน้าหวงเฉียนจวินถอดสี
“ไปซะ!” ฉินเฟิงกล่าวถ้อยคำเบา
องครักษ์สองนายออกมายืนตระหง่านด้านหน้า จ้องมองด้วยสายตาโหดเหี้ยม ราวกับว่าหากหวงเฉียนจวินกล้าพูดสิ่งใดอีก พวกเขาจะจัดการอีกฝ่ายทันที
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหลือบมองหวงเฉียนจวิน น้ำเสียงเจือปนความไม่พอใจกล่าวออก “เจ้าอยู่กับข้ามานาน เหตุใดถึงต้องอดทน เป็นเพราะความสัมพันธ์เครือญาติรึ? หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่อาจแก้ปัญหาที่จะตามมาได้?”
หวงเฉียนจวินแข็งค้าง สีหน้าแปรเปลี่ยนกะทันหัน
ฉินเฟิงประหลาดใจ สีหน้าดูหม่นหมองเล็กน้อย “จากที่รับฟังแล้ว …นี่เจ้าไม่ได้สนใจข้าเลยรึ?”
“เจ้ามันโง่เขลา! ด้วยพลังอำนาจของบิดา เจ้าคิดว่าตนเองสามารถก่อปัญหาไปทั่วได้งั้นรึ? เจ้ามันก็แค่หมูที่โง่เขลา!” หวงเฉียนจวินโพล่งออกมา ไร้ซึ่งความยับยั้งต่อไป
เขาอดกลั้นมานาน และที่สำคัญเขาตระหนักได้ว่าท่าทีของตนเองทำให้ซูอี้ไม่พอใจ!
ใบหน้าฉินเฟิงกลายเป็นเย็นชา
“รนหาที่ตาย!”
องครักษ์ทั้งสองกระโจนออกมาด้วยความเดือดดาลและโจมตีในทันใด
คนหนึ่งตบหน้าหวงเฉียนจวินด้วยฝ่ามือ อีกคนกระโจนออกไปเพื่อป้องกันไม่ให้ฉวยโอกาสหนี
ทั้งสองติดตามฉินเฟิงบุตรชายของผู้ว่าเขตปกครองในฐานะผู้คุ้มกัน ซึ่งพวกเขาเป็นตัวตนทรงพลังในขอบเขตที่สองของวิถียุทธ์ ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่ง
ทันทีที่เริ่มโจมตี พวกเขาร่วมมือกันอย่างสอดประสาน
อย่างไรก็ตาม หวงเฉียนจวินซึ่งตัดสินใจไม่ยับยั้งอารมณ์อีกแล้ว จะยอมถอยกลับง่ายดายได้อย่างไร?
ด้วยเสียงคำรามดัง หมัดชกออกไปด้านหน้า
ตูม!
แม้จะปัดป้องฝ่ามือที่หมายจะตบหน้าของตนเองได้ แต่ความต่างชั้นระดับการบ่มเพาะยังมากเกินไป หวงเฉียนจวินจึงถูกแรงปะทะทำให้เซไถล ทั้งยังเกือบกระอักเลือดออกมา
และก่อนที่จะทันได้โต้ตอบ เข่าของเขาถูกเตะอย่างแรง กระทั่งล้มลงกองกับพื้น
ครั้งพยายามดิ้นรนเพื่อลุกขึ้น องครักษ์ร่างล่ำสันในชุดดำเอื้อมมือกดศีรษะของเขา ถ้อยคำเย็นชากล่าวออก “หากสู้ต่อ ข้าจะหักคอเจ้า!”
ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัด
ผู้คนมากมายในโรงหลอมต่างตื่นตะหนก รับชมฉากนี้จากระยะไกล พวกเขาอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ
สร้างความขุ่นเคืองแก่บุตรชายผู้ว่าเขตปกครอง นี่ไม่ต่างจากการรนหาที่ตายหรอกหรือ?
ดวงตาฉินเฟิงเผยความเหยียดหยาม ถ้อยคำปรามาสกล่าวออก “มีดีแค่นี้หรือ?”
แม้ว่าจะถูกกดลงด้วยกำลังที่เหนือกว่า หวงเฉียนจวินก็ปฏิเสธที่จะยอมจำนน ดวงตาเผยประกายโทสะพร้อมตะคอกดัง “หากมีปัญญาก็ฆ่าข้าซะ มิฉะนั้นชีวิตในภายภาคหน้าของเจ้าจะเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย!”
ถ้อยคำโหดเหี้ยมเหล่านี้ ทำให้สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
ฉินเฟิงกล่าวถ้อยคำเย็นชา “ตบปาก!”
องครักษ์ชุดดำเผยรอยยิ้มชั่วร้าย มือข้างหนึ่งกดลงบนหัวหวงเฉียนจวิน ขณะยกมืออีกข้างกระแทกลงไปที่หน้าของอีกฝ่าย
แต่ก่อนที่ฝ่ามือจะตกลงกระทบแก้ม ราวกับแลเห็นบุปผาเบ่งบานอยู่เบื้องหน้า ก่อนที่แก้มของเขาเองจะเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากการถูกตบ
เพียะ!
ด้วยการตบอย่างรุนแรง ร่างขององครักษ์ชุดดำถอยเซออกไป แลเห็นแก้มตัวเองแดงก่ำและมีเลือดออก ทั้งยังปูดโปนออกมา
“ใคร!” องครักษ์ชุดดำเดือดดาลอย่างยิ่ง
สายตาทุกคู่หันไปจับจ้องที่คนคนเดียว
ซูอี้ในชุดคลุมเขียว!
ฉินเฟิงและคนอื่นต่างตกตะลึง ราวกับไม่อยากเชื่อว่าชายหนุ่มที่รับชมจากด้านข้างจะกล้าลงมือในเวลานี้
ผู้คนในโรงหลอมเฝ้ามองจากระยะไกลล้วนตกตะลึง เจ้าหนุ่มนี้ไม่กลัวตายหรือไร ถึงกล้าทุบตีองครักษ์ผู้ว่าเขตปกครอง?
“พี่ซู ข้าเป็นคนทำให้ท่านต้องอับอายในครั้งนี้”
หวงเฉียนจวินตกตะลึง ใบหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ
“จงกล้าหาญหลังรับรู้ความอัปยศ เจ้าติดตามข้ามานาน แต่มันราบรื่นเกินไปและขาดการขัดเกลา ข้าไม่ได้ยื่นมือช่วยก่อนหน้า เจ้าโทษข้าหรือไม่?” ซูอี้กล่าวออกด้วยท่าทีสงบ
หวงเฉียนจวินส่ายศีรษะ “ข้าเพียงเกลียดตัวเองที่ไม่กล้าแกร่งพอ จนทำให้พี่ซูต้องอับอาย!”
ซูอี้ถอนหายใจแผ่วเบา “มันเป็นความผิดข้าเอง เพราะข้าไม่ได้ชี้แนะแก่เจ้ามากพอ เจ้าจึงไม่อาจต่อกรกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้”
“ลุกขึ้นมาเร็ว”
ซูอี้กล่าวออก หันมองฉินเฟิงและคนอื่นด้วยสายตาไม่แยแส “คราวนี้ ก็สามารถคิดบัญชีของเราได้แล้ว”
“คิดบัญชี? ข้าจะฆ่าเจ้าก่อนเอง!”
องครักษ์ชุดดำที่ถูกตบเต็มแรงกำลังเดือดดาล เมื่อรับฟังถ้อยคำ เขาจึงรีบลุกขึ้นทันใดและซัดฝ่ามือไปทางศีรษะของซูอี้
ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่งลงมือด้วยความโกรธเคือง มันจะทรงพลังเพียงใด?
ผู้ชมระยะไกลอดไม่ได้จะเหงื่อตกแทนซูอี้
กร๊อบ!
แลเห็นเพียงซูอี้ยกมือขึ้นคว้ามืออีกฝ่ายและบิด ข้อมือขององครักษ์ชุดดำหักเสียงดัง ตามมาด้วยแขนขวาทั้งหมดถูกบิดเกลียว กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้เขาทรุดลงพื้นด้วยความเจ็บปวดในทันใด
แต่ก่อนจะได้ส่งเสียงร้องออกไป ฝักดาบไม้ไผ่สีเขียวคล้ายหยกเคาะลงบนลำคออย่างแผ่วเบา
กร๊อบ!
ลูกกระเดือกอันปูดโปนยุบตัวลง กระดูกคอแตกเป็นเสี่ยงราวกับกระดาษ ก่อนที่ศีรษะจะหักพับไปด้านข้าง
หลังจากนั้น องครักษ์ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่งก็ถูกโยนลงไปกองกับพื้นไม่ต่างจากขยะ ดวงตาเบิกโพลง สีหน้าเผยความเจ็บปวดและสับสนยิ่ง
ปลิดปลงลมหายใจ
ผู้ชมเงียบงัน ทุกคนต่างตกตะลึงและหวาดกลัว
ไม่พูดพร่ำทำเพลง ผู้บ่มเพาะขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่งถูกบี้จนตายเหมือนแมลงวัน!
“นี่…”
เถ้าแก่โรงหลอมตะลึงงัน
ก่อนหน้าเขาคิดว่าซูอี้เป็นช่างตีดาบวัยเยาว์ แต่ไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นปรมาจารย์ผู้สังหารคนโดยไม่กะพริบตา!
“หากทำร้ายคนรอบตัวข้า นอกเหนือจากความตายแล้ว เจ้าก็ไม่มีทางเลือกอื่น”
ซูอี้กล่าวออกอย่างเฉยเมย ท่าทีสงบราวกับเพิ่งฆ่ามดปลวกไร้ค่า
“สารเลว!”
รับชมฉากนี้ สีหน้าฉินเฟิงบิดเบี้ยวน่าเกลียด น้ำเสียงเดือดดาลตะโกนดัง “มัวทำบ้าอะไรอยู่ ออกไปกำจัดเจ้าสารเลวนั่นซะ!”
องครักษ์อีกห้านายที่อยู่ด้านข้างก็รีบพุ่งตัวออกไปทันใด
พวกเขาทั้งหมดชักอาวุธออกมา ลมปราณน่าเกรงขามพรั่งพรูออกมา
องครักษ์เหล่านี้ล้วนผ่านประสบการณ์นองเลือดมามากมาย พวกเขาจะไม่เห็นได้อย่างไรว่า แม้ซูอี้จะยังเยาว์ แต่แท้จริงเป็นบุรุษผู้เหี้ยมโหดยิ่ง
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาไม่กล้าโจมตีอย่างหุนหันพลันแล่น
“คนเยอะกว่าแล้วอย่างไร? ก็แค่ปาไข่ใส่หิน”
ด้วยเสียงเย้ยหยัน ซูอี้สะบัดข้อมือ ก่อนที่ดาบยาวจะออกมาจากซีกไผ่
ดาบเล่มนี้เสมือนแสงอรุณรุ่งที่สาดลอดจากท้องฟ้าสีคราม ใสสะอาดไร้ที่ติ ขณะเดียวกันก็ปรากฏแสงสีฟ้าอ่อนเลือนรางบนใบดาบ ราวกับหมอกจางปกคลุม
ดาบนี้มีความคมเหนือล้ำและเป็นประกายเจิดจ้า รับชมเช่นนี้ นัยน์ของทุกคนหดลีบด้วยความหวาดเกรง
ครั้งชักดาบออกมา เสียงดาบดังสนั่นไปทั่วพื้นที่ เสียดแทงแก้วหูของผู้คน กระทั่งหัวใจของพวกเขาสั่นสะท้าน
ชิ้ง!
ทันทีที่ซูอี้ชักดาบออกมา
เกิดเสียงแตกร้าวดังเป็นชุด แลเห็นดาบ หอก และง้าวในมือขององครักษ์ถูกตัดขาดอย่างง่ายดาย ราวกับเต้าหู้อ่อน
ไม่ทันตั้งตัว สีหน้าองครักษ์ล้วนแปรเปลี่ยน ช่างเป็นดาบวิญญาณที่เฉียบคมยิ่ง!
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้เคลื่อนไหว ซูอี้สะบัดดาบของตนอีกครา คมดาบระเบิดออกเป็นแสงเย็นเยียบจำนวนนับไม่ถ้วน ก่อเกิดเงาดาบปกคลุมทั่วทศทิศ
ฉึก!
ฉึก!
ฉึก ๆๆ!
บุปผาโลหิตเบ่งบานสาดกระเซ็นราวกับจุดประทัดไฟ
แลเห็นองครักษ์ขอบเขตรวบรวมลมปราณทั้งห้าถูกเจาะลำคอเป็นรู ร่างกายทรุดฮวบลงไปที่พื้น รูม่านตาเบิกกว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน
เลือดสีแดงข้นไหลทะลัก
ดาบเดียว สังหารหมู่ศัตรู!
ภาพอันครอบงำและดุเดือดนี้ ทำให้ทุกคนต่างประหลาดใจและงุนงง
น่าหวาดกลัวเกินไป!!
คนเหล่านั้นเป็นองครักษ์ประจำจวนของผู้ว่าเขตปกครอง ล้วนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่ง ทว่ากลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายเลย
ภายใต้ดาบเดียว องครักษ์ทั้งห้าถูกสังหารสิ้น!
หวงเฉียนจวินเป็นคนที่รักษาท่าทีสงบนิ่งที่สุด สายตาไม่อาจละจากดาบวิญญาณในมือซูอี้
แม้ว่าดาบจะเปื้อนเลือด ทว่ายังคงใสสะอาด ทั้งยังคมกริบเลิศล้ำจนน่าตกใจ!
“เจ้า… เจ้า…”
ฉินเฟิงสั่นสะท้าน สีหน้าเผยความตกใจสุดขีด ร่างกายสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ภายในศีรษะขาวโพลน
เขาไม่คาดคิดเลยว่า ชายหนุ่มผู้นี้จะกล้าลงมือแม้รู้ตัวตนของเขา
ทั้งยังไม่คาดคิด องครักษ์รอบกายไม่อาจต้านทานคมดาบของอีกฝ่ายได้เลย!
“มีดีแค่นี้หรือ?”
ไม่ไกลนัก ซูอี้ถือดาบพลางกล่าวย้อนถ้อยคำที่อีกฝ่ายเคยกล่าวออกด้วยสายตาไม่แยแส
เพียงไม่กี่คำ แต่เหมือนได้เหยียบย่ำและมอบความอัปยศแก่อีกฝ่ายอย่างมาก!
ฉินเฟิงกำหมัดของตนเองเงียบงัน พยายามควบคุมความหวาดกลัวและขุ่นเคืองภายในใจ ถ้อยคำกล่าวออก “ก่อนหน้านี้ข้าตามืดบอด สร้างความขุ่นเคืองแก่สหาย หวังว่าท่านจะเห็นแก่หน้าผู้ว่าเขตปกครองและเมตตาข้า…”
หลังจากกล่าว ฟันของเขากระทบกันด้วยความสั่นกลัว ในเวลานี้เขาหวาดกลัวอีกฝ่ายอย่างแท้จริง
“เมื่อครู่เจ้าทำให้คนรอบกายข้าอับอาย เจ้ากลับไม่เห็นแก่หน้าข้าแม้แต่น้อย” ซูอี้กล่าวถ้อยคำพลางก้าวออกไปด้านหน้า
ฉินเฟิงตกใจมากจนรีบตะโกนกลับไป “หากฆ่าข้า เจ้าไม่กลัวถูกผู้ว่าเขตปกครองตอบโต้งั้นรึ?”
เมื่อเห็นซูอี้เดินเข้ามาทีละก้าว เขาทรุดตัวลงด้วยความสิ้นหวัง ถ้อยคำกล่าวออกเสียงดัง “น้องชาย! เร็วเข้า รีบมาหยุดเขาไว้! พ่อของข้าก็คือลุงของเจ้า!!”
หวงเฉียนจวินเยาะเย้ย ก่อนหน้าเพิ่งกล่าวว่าไม่อาจมีลูกพี่ลูกน้องเช่นเขาได้ ยามใกล้ตาย กลับเปลี่ยนใจทันใด น่าสมเพช!
ทันใดนั้น ซูอี้ยืนนิ่งราวกับได้เปลี่ยนใจ ถ้อยคำกล่าวออก “ข้าจะให้โอกาสเจ้าเช่นกัน โอกาสที่จะคุกเข่าและตบสั่งสอนตัวเอง ครั้งนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
สิ้นเสียง เขาชี้ไปทางหวงเฉียนจวินที่อยู่ไม่ไกล
ตุบ!
ฉินเฟิงคุกเข่าลง ตบปากตัวเองอย่างดุเดือดพลางตะโกนออก “น้องชาย ครั้งนี้ข้าตามืดบอด ข้าผิดไปแล้ว ข้าทำผิดไปอย่างแท้จริง!”
ซูอี้รับชมเงียบงัน
เขาคิดว่าฉินเฟิงจะลังเลและดื้อรั้น แต่ใครจะคาดคิด ชายผู้นี้กลับคุกเข่าลงโดยตรง
หวงเฉียนจวินตกตะลึงชั่วขณะ ดวงตาเผยความสับสน ภายในหัวใจปั่นป่วนยิ่ง
เขาไม่คาดคิดว่า ฉินเฟิง บุตรชายผู้ว่าเขตปกครองที่สง่างาม กลับยอมเชื่อฟังอย่างง่ายดาย
ช่างน่าขัน ตัวเขากลับมัวแต่สนใจเรื่องของตัวตนอีกฝ่าย จนเลือกที่จะอดกลั้น…
หวงเฉียนจวินเข้าใจได้อย่างชัดเจน ตัวตนและสถานะเป็นเพียงเปลือกนอก ครั้งเปลือกนอกนั้นถูกทุบจนแตก จึงจะสามารถมองเห็นแก่นแท้ของบุคคล
เช่นเดียวกับฉินเฟิง หลังจากละทิ้งตัวตนในฐานะบุตรชายผู้ว่าเขตปกครอง เขาก็เป็นเพียงคนขี้ขลาดเท่านั้น!
“หากไม่พอใจ เจ้าสามารถฆ่าเขาได้ในตอนนี้” ซูอี้กล่าวออกเฉยเมย
เพียงคำเดียว บรรยากาศรอบกายหม่นหมองในทันใด
เหล่าผู้ชมระยะไกลสีหน้าแปรเปลี่ยน ไม่ว่าลูกชายผู้ว่าเขตปกครองจะมีนิสัยที่น่าเหลืออดเพียงใด แต่หากเขาถูกฆ่าตายเช่นนั้น ก็ไม่ต่างจากการยั่วยุอำนาจจากฟากฟ้า!