บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1124: ยามท่านกลับมา ข้าชะเง้อคอมอง
ตอนที่ 1124: ยามท่านกลับมา ข้าชะเง้อคอมอง
………………..
ตอนที่ 1124: ยามท่านกลับมา ข้าชะเง้อคอมอง
ซ่างเทียนฉีนิ่งเงียบไปชั่วครู่จึงกล่าว “บรรพชนของพวกเราจะต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอน!”
พูดจบ เขาก็ชำเลืองสายตามองไปที่ชิงถัง ก่อนกล่าวว่า “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องอื่นเลย เจ้าคิดว่าเมื่อซูเสวียนจวินกลับมา เขาจะปล่อยเจ้าไปเช่นนั้นหรือ?”
ชิงถังไม่สนใจ แล้วหมุนตัวกลับไปมองดูทะเลหมอกที่อยู่ห่างหอแห่งนี้อีกครั้ง
“อย่าลืมสิ เจ้ามีคนของลัทธิทางช้างเผือกอยู่ในนี้ เจ้าแฝงตัวเข้ามาอยู่ในถ้ำเสวียนจวินมานาน ลำพังเพียงแค่จุดนี้จุดเดียวก็เพียงพอที่จะให้ซูเสวียนจวินมองเจ้าเป็นไส้ศึกได้แล้ว!”
ซ่างเทียนฉีกล่าวเสียงเคร่งขรึม “จนถึงตอนนี้ หากเจ้าคิดว่าตัวเองยังสามารถโกหกซูเสวียนจวินได้ สามารถขอร้องซูเสวียนจวินให้อภัยได้ ไม่ผิดไปจากคนละเมอเพ้อฝัน!”
ชิงถังหันหลังให้ซ่างเทียนฉี หัวเราะสบายใจ พลางกล่าว “เจ้าจะเข้าใจอะไร ข้าเคยพูดเมื่อไรกันว่าจะโกหกอาจารย์?”
สายตาของซ่างเทียนฉีหวั่นสะท้านขึ้นมาในทันใด “ที่แท้แล้วเจ้าคิดจะทำเช่นใดกันแน่? ถึงเวลาเช่นนี้แล้ว ยังคิดจะอำพรางอีกเช่นนั้นหรือ?”
ชิงถังกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้ามองออก ว่าเจ้านั่งไม่ติดแล้ว ก็ใช่ ผีหมัวตายไปแล้ว คุณหนูแห่งโรงวาดฤทัยก็ถอยไปแล้วเช่นกัน ประกอบกับอวตารของชาวประมงเฒ่าอาจจะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ทำให้เจ้ารู้สึกได้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว”
ชิงถังกลับเอ่ยขึ้นมาราวกับไม่รู้สึกสิ่งใด “เมื่อช่วงก่อน พวกเจ้ายังมีท่าทีพึงพอใจ รู้สึกตื่นเต้นดีใจที่อาจารย์ข้ากลับมาสู่มหาแดนดิน คันไม้คันมืออยากจะจับตัวอาจารย์เร็ว ๆ เพื่อแย่งเอาความลับแห่งวัฏสงสารในตัวของอาจารย์…”
“นี่ผ่านไปแค่ไม่เท่าไรเอง เจ้าก็เริ่มหวาดกลัวตื่นตระหนก คิดไปนั่นนี่ หากว่าชาวประมงเฒ่ามาเห็นเข้า คงจะโกรธจนระเบิดเป็นสายฟ้าฟาดแล้ว”
สีหน้าของซ่างเทียนฉีโกรธเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าอย่างรวดเร็ว เขาก็สงบใจลง และกล่าวว่า “ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการจะร่วมมือกับลัทธิทางช้างเผือกของพวกข้า ถ้าเช่นนั้นก็ต่างฝ่ายต่างเดิน!”
พูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อและเดินจากไป
ทว่าเพิ่งเดินไปได้ครึ่งทาง เสียงราบเรียบของชิงถังก็ดังขึ้นจากข้างหลัง
“อย่าใจร้อน อย่างไรเสียก็ยังมีเวลาอีกสามเดือน เจ้าไม่อยากดูภาพที่ข้าแสดงไพ่ใบสุดท้ายต่ออาจารย์จริง ๆ หรือ?”
ซ่างเทียนฉีหมุนขวับกลับมา “ข้าเพียงแค่ต้องการคำตอบที่ชัดเจนเท่านั้น ที่แท้แล้วเจ้าคิดจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร?”
ชิงถังเอ่ยขึ้นมา “คอยดูก็แล้วกัน”
“ได้ ถึงเวลาข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะเผชิญหน้ากับไฟโกรธของซูเสวียนจวินเช่นใด!”
ซ่างเทียนฉีพูดจบก็หมุนตัวจากไป
ชิงนั่งยืนอยู่คนเดียวในหอ ดวงตาใสสว่างลุ่มลึกจ้องมองดูไกล ๆ นิ่ง ๆ ขณะกล่าวขึ้นมาเสียงแผ่วเบา
“พายุลูกนี้ สุดท้ายก็ถึงเวลาที่ต้องแสดงความรุนแรงอย่างที่สุดแล้ว แดนบูรพาน้อยสงบนิ่งมานาน ตอนนี้คงจะเริ่มมีความเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน อาจารย์ ศิษย์อยากจะพบหน้าอาจารย์เต็มทีแล้ว…”
…
สองเดือนให้หลัง
ณ แดนอสูรปรีดี
บนแท่นสะบั้นตน ขวานหยกยาวประมาณฉื่อกว่า ๆ ส่งเสียงปัง กลายเป็นผงธุลีดินต่อหน้าซูอี้
ปราณมารดาฟ้าดินที่สะสมอยู่ในขวานหยกถูกหลอมละลายไปจนหมดไม่เหลือ
และเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ตราประทับที่สั่งสมปราณมารดาฟ้าดินอีกชิ้นหนึ่งก็ถูกซูอี้หลอมละลายไปจนหมดเช่นเดียวกัน
ชั่วขณะนี้ ผิวทั่วทุกอณูบนตัวเขาปริแตก ถูกเผาผลาญจนกลายเป็นเศษธุลี
ภายนอกร่างเต๋ากลับมีผิวใหม่ก่อตัวขึ้น เปล่งปลั่งราวกับหยก มีกลิ่นอายคลุมเครืออันลี้ลับมหัศจรรย์ล้อมรอบ
ลักษณะเช่นนี้ คล้ายกับงูวิญญาณที่กำลังลอกหนัง!
ความเป็นจริงแล้ว ไม่เพียงแต่ผิวรอบตัวซูอี้เท่านั้นที่เปลี่ยนแปลง เลือดเนื้อ กระดูกเอ็น อวัยวะภายใน และเส้นประสาททั้งหมดของเขา… ทั้งในและนอกตัวล้วนเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิดราวกับพญาหงส์เกิดใหม่
และนี่ เป็นเพียงแค่หนึ่งในข้อดีของการหลอมละลายปราณมารดาฟ้าดิน!
ในแบบเดียวกัน ระดับการฝึกตนและจิตวิญญาณของเขาก็ได้รับการชะล้างจากต้นกำเนิดฮุ่นตุ้น ได้รับคุณประโยชน์อันประมาณค่ามิได้
ระดับวิถีในตัวแสดงความงดงามออกมาในแบบ ‘ย้อนรอยบรรพบุรุษ’!
“ไม่เสียแรงที่เป็นพลังต้นกำเนิดฮุ่นตุ้นของภูมิดาราฟ้าดิน ระยะเวลาสั้น ๆ เพียงแค่สองเดือนเท่านั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ระดับการฝึกตนของข้าบรรลุสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นกลางเท่านั้น แม้กระทั่งระดับการฝึกตน จิตวิญญาณและร่างเต๋าล้วนเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง!”
ซูอี้สัมผัสรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองแล้วอดปลาบปลื้มไม่ได้
คุณประโยชน์ของการหล่อหลอมปราณมารดาฟ้าดินนั้นมีมากมายมหาศาลจริง ๆ ไม่ด้อยไปกว่าศิลปกรรมอันวิจิตรบรรจง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบรรลุอย่างสิ้นเชิงเช่นนั้น ใช่ว่าฝึกตนอย่างอุตสาหะพยายามแล้วจะสามารถได้มา
ซูอี้ยากจะสงบจิตใจแห่งความปลาบปลื้มลงได้
แม้กระทั่งเขาก็ยังไม่คาดคิด เพียงแค่บรรลุสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำอีกระดับหนึ่งเท่านั้น ทว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้กลับมีผลที่น่าตื่นตะลึงเพียงนี้ เกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก
ดังที่เข้าใจกันว่าหากทุกอย่างดำเนินไปตามการคาดคะเนของเขาในตอนแรก เมื่อถึงขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นปลายแล้ว บางทีอาจจะเปรียบได้กับตัวเองในชาติที่แล้วตอนรุ่งเรืองสูงสุด!
แต่ตอนนี้ ระดับวิถีขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นกลางของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเมื่อชาติก่อนตอนรุ่งเรืองที่สุดเลย!
ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ล้วนเป็นเพราะปราณมารดาฟ้าดินทั้งสิ้น!
“มิน่าเล่า ภูมิดาราฟ้าดินในช่วงแรกสุดจึงให้กำเนิดผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้าดังเทพเซียนจำนวนมากมาย และไม่แปลกเลยที่ยักษ์ใหญ่ในจักรวาลพร่างดาวอย่างเช่นหอเก้าสวรรค์ โรงวาดฤทัย ลัทธิทางช้างเผือกจะส่งกำลังมายังมหาแดนดินกันอย่างเต็มที่ เพราะปราณมารดาฟ้าดินนี้เป็นวัตถุอันสูงส่งที่หาพบไม่ได้ทั่วไปนั่นเอง”
ซูอี้เข้าใจถึงคุณค่าของปราณมารดาฟ้าดินอย่างลึกซึ้ง
“ลำดับถัดมา เมื่อฝึกฝนกฎเกณฑ์เอกกะไปได้อีกขั้น พอก้าวสู่ขอบเขตมหาจักรพรรดิก็สามารถใช้พลังกฎเกณฑ์เช่นนี้ประสานรับกับดาบเก้าคุมขัง บางทีอาจจะสามารถรู้กระจ่างได้มากยิ่งขึ้นจากดาบเก้าคุมขัง”
ตอนนี้ พลังมหาวิถีที่เขามีล้วนฝึกฝนเป็นกฎเกณฑ์ในขั้นขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ
ที่แข็งแกร่งที่สุดคือกฏเกณฑ์ต่าง ๆ อย่างกฎสุดวิถี กฎแห่งสังขาร กฎแห่งการจม และกฎแห่งจุดจบซึ่งประกอบกันเป็นเคล็ดเวียนวัฏสงสาร
เมื่อเทียบกันแล้ว กฎเกณฑ์เอกกะดูด้อยกว่าอยู่บ้าง
แต่ซูอี้เข้าใจดีกว่านั่นเป็นเพราะกฎเกณฑ์เอกกะยังไม่ได้สำแดงอานุภาพที่แท้จริงออกมา!
เมื่อชาติก่อนตอนที่รุ่งเรืองที่สุด เขาเคยขบคิดถึงความลี้ลับของดาบเก้าคุมขังเป็นวันเป็นคืน ทุ่มเทเวลาและแรงกายแรงใจไปไม่รู้มากมายเท่าใด ในที่สุดจึงรู้กระจ่างถึงความลี้ลับมหาวิถีบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้เอกกะภายในดาบเก้าคุมขัง
คิด ๆ ดู ครั้งแรกสุดดาบเก้าคุมขังสยบโซ่เก้าเส้น โซ่แต่ละเส้นเป็นตัวแทนของแต่ละชาติของเขา
ส่วนแก่นแท้เอกกะนั้นได้มาจากดาบเก้าคุมขัง
พลังแห่งมหาวิถีเช่นนี้จะเหมือนพลังปกติทั่วไปได้เช่นใด?
แก่นแท้เอกกะในตอนนี้ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เมื่อก้าวสู่ขอบเขตมหาจักรพรรดิ แก่นแท้เอกกะจึงจะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง
ถึงเวลานั้น พลังมหาวิถีเช่นนี้ก็จะคล้ายกับลูกกุญแจที่ไขความลับส่วนหนึ่งของดาบเก้าคุมขัง!!
สลัดความคิดฟุ้งซ่านออก ซูอี้เริ่มนั่งสมาธิอีกครั้ง
ฝึกตนอยู่บนแท่นสะบั้นตน ภาวะจิตใสสะอาด ไร้สิ่งแปดเปื้อน เข้าสู่ขั้นรู้กระจ่างได้อย่างง่ายดาย
นี่คือสาเหตุที่ซูอี้เลือกอยู่ฝึกตนที่นี่
เหมือนดังครั้งนี้ เขาสามารถบรรลุถึงขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำระยะกลางได้ภายในเวลาสองเดือน นอกจากเป็นเพราะปราณมารดาฟ้าดินแล้ว แท่นสะบั้นตนก็มีบทบาทสำคัญมากเช่นกัน
…
วันเวลาผันผ่าน
มหาแดนดิน ปีศักราชใหม่ที่ห้าร้อยสาม เทศกาลสารทจีน
อากาศหนาวเหน็บ ต้นไม้ใบหญ้าไม่เหลือใบ
มหาแดนดินเกิดลมพายุพัดกระหน่ำ
ขุมกำลังต่าง ๆ ในแดนดินต่างก็ส่งกำลังไปที่ถ้ำเสวียนจวินก่อนล่วงหน้า
ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินจะสามารถปกครองถ้ำเสวียนจวินได้อีกครั้งหรือไม่ในครั้งนี้ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับแนวโน้มของแผ่นดินมหาแดนดินในวันข้างหน้า!
ครั้งก่อนตอนที่ซูอี้เดินทางไปภูเขาศักดิ์สิทธิ์เทวยุทธ์ ยังมีเหล่าตัวตนบรรพกาลจำนวนมากมายคอยดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ ไม่เคยมาดูเหตุการณ์ด้วยตนเอง
ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ตัวตนระดับสุดยอดที่มีชื่อเสียงทั่วทั้งมหาแดนดินล้วนมารวมตัวกัน
อย่างเช่น ‘ศาลาเมฆาเซียน’ ขุมกำลังวิถีปีศาจอันดับหนึ่งในใต้หล้า ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อัสดงทักษิณา’ ขุมกำลังผู้ฝึกผีอันดับหนึ่งในใต้หล้า ‘สำนักบัณฑิตเก้าแคว้น’ ขุมกำลังวิถีขงจื่อสายตรงแห่งมหาแดนดิน…
ขุมกำลังยิ่งใหญ่แต่ละฝ่ายล้วนมีผู้อาวุโสที่เก็บตนเงียบมานานปรากฏตัวออกมา
เมื่อนานมาแล้วผู้อาวุโสเหล่านี้เคยเป็นที่ตื่นตะลึงของแดนดิน มีอานุภาพสั่นสะท้านไปทั่วใต้หล้า ถึงแม้วันเวลาจะผ่านพ้นไป หายไปจากสายตาคนทั้งหลายและเริ่มลืมเลือนไปอย่างช้า ๆ
ทว่าเรื่องเล่าของพวกเขายังคงถูกเล่าขานจนถึงทุกวันนี้
และบัดนี้ ผู้อาวุโสเหล่านั้นต่างก็ทยอยปรากฏกาย สร้างความฮือฮาและตื่นตระหนกไม่รู้เท่าใดต่อเท่าใด
ทำให้ทั่วใต้หล้ามหาแดนดินอยู่ในบรรยากาศตื่นตัวก่อนพายุจะโหมกระหน่ำ
“ความเคลื่อนไหวของคน ๆ หนึ่งนำมาซึ่งพายุในใต้หล้า ย้อนมองดูวันเวลาที่ผ่านมา มีแต่เพียงซูเสวียนจวินเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีอิทธิพลมากถึงเพียงนี้”
ปรมาจารย์เผิงแห่งแดนลี้ลับขั้นเก้าผู้ออกจากการปิดตนแล้วถึงกับรำพึง
ปรมาจารย์วิถีที่ทุกขุมกำลังสายวิถีในใต้หล้าต่างมองว่าเป็นเหล่าตัวตนบรรพกาลระดับดึกดำบรรพ์ก็เป็นหนึ่งในตัวตนขอบเขตมหาจักรพรรดิระดับสุดยอดในช่วงเวลาที่ผ่านมานานเช่นกัน
ไม่มีใครรู้ว่าเขามีชีวิตอยู่มานานเท่าใดแล้ว
แต่หากพูดถึงรุ่น ตัวตนยิ่งใหญ่อย่างจักรพรรดิมารสวรรค์กับจักรพรรดิพิษเทียนฮู่ของแผ่นดินมหาแดนดินในตอนนี้ถือเป็นแค่ผู้ด้อยอาวุโสของปรมาจารย์เผิงเท่านั้น!
แม้กระทั่งหลวงจีนเยี่ยนซินแห่งแดนบูรพาน้อยก็ยังอายุน้อยกว่าปรมาจารย์เผิง
ทว่าตอนนี้ หลังจากที่เขาออกจากการปิดตนก็พาประมุขแดนลี้ลับขั้นเก้า ผู้อาวุโสเยี่ยนซู่หนี รวมถึงเยว่ซือฉานผู้เป็นศิษย์สายตรงเดินทางออกจากแดนลี้ลับขั้นเก้า
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ ในมหาแดนดิน
จนเป็นเหตุให้เหล่าผู้ฝึกตนที่เดินทางไปถึงบริเวณรอบ ๆ ถ้ำเสวียนจวินในช่วงระยะนี้แทบคลั่ง
เพราะว่ามีตัวตนอาวุโสในตำนานจำนวนมากมายที่ไม่เคยปรากฏตัวมานานมากแล้วพากันแสดงตนอยู่รอบ ๆ ถ้ำเสวียนจวิน สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนมากมายไม่รู้เท่าใด
ในที่สุด กำหนดสามเดือนก็มาถึง
ณ แคว้นวิญญาณ
บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งในใต้หล้า หน้าถ้ำเสวียนจวิน
แสงอรุณเบิกฟ้า ฟ้าดินสว่างพลัน ความเหน็บหนาวแห่งสารทฤดูแผ่กระจาย ต้นไม้คงเหลือแต่กิ่งก้าน ใบหลุดร่วงไม่คงเหลือ
พอมองออกไป ผู้คนนับไม่ถ้วนกระจายตัวอยู่ในป่าลำเนาไพรที่ห่างออกไป แนวเขากว้างไกลเหมือนดังมหาสมุทรอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
ตำแหน่งที่ใกล้กับประตูสำนักถ้ำเสวียนจวินที่สุด มีเหล่าตัวตนบรรพกาลที่ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มานานเท่าใดคนแล้วคนเล่ายืนอยู่
พวกเขาพูดคุยยิ้มแย้ม ต่างก็กล่าวว่า
ครั้งนี้ หากไม่ใช่เพราะซูเสวียนจวินกลับชาติมา คนแก่ ๆ ที่เก็บตัวไม่สนใจเรื่องราวใด ๆ ในโลกอย่างพวกเขาก็คงจะไม่มีโอกาสได้มาพบหน้ากันเหมือนในวันนี้
ผู้อาวุโสบางกลุ่มที่เคยมีความแค้นต่อกันเมื่อในอดีต ถึงแม้ต่างฝ่ายต่างยังคงไม่ถูกกัน ทว่าในเวลาเช่นนี้ กลับเลือกที่จะอดทน ไม่สร้างความขัดแย้งขึ้น
เสียงโหวกเหวกดังขึ้นจากทั่วทุกทิศดังก้องไปทั่วผืนพสุธา
จู่ ๆ เสียงร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้นก็ดังขึ้น
“ใต้… ใต้เท้าซูมาแล้ว!!”
ฉับพลัน เสียงร้องโหวกเหวกก็หยุดนิ่งลง ความหนาวเหน็บแห่งสารทฤดูที่วนเวียนอยู่ท่ามกลางภูเขาลำเนาไพรพลันสงบนิ่งลง
ราวกับว่าแม้กระทั่งเสียงลมก็ยังนิ่งไป เมฆบนสวรรค์ก็เข้าสู่ความสงบด้วย
จากนั้น สายตาของคนทั้งหลายก็กวาดมองไปในทิศทางเดียวกัน
หลังจากร้างราห่างเหินไปห้าร้อยปี วันที่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินกลับสู่ถ้ำเสวียนจวิน คนทั้งหลายต่างชะเง้อคอมอง!
………………..