บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 113 เคล็ดวิชาแก่นแท้มหาดารกะ บัญญัติคว้าล้ำลึก
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 113 เคล็ดวิชาแก่นแท้มหาดารกะ บัญญัติคว้าล้ำลึก
บรรยากาศโดยรอบหดหู่
หวงเฉียนจวินรู้ดีว่า การเลือกของเขาจะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ของเรื่องราวนี้
เขาสูดหายใจเข้าลึก ฟันกรามขบกันแน่น “พี่ซู คราวนี้ข้ายืมพลังของท่านบังคับให้ฉินเฟิงคุกเข่าขอโทษ หากฆ่าเขาตอนนี้ ข้าคงไม่อาจยอมรับมันและทุกข์ใจตลอดไป”
สิ้นเสียง เขาประสานมือคารวะให้ซูอี้พลางกล่าวออก “พี่ซู ข้าคิดว่าจะขอยุติความคับข้องใจนี้ด้วยตนเองในภายภาคหน้า!”
ซูอี้เก็บดาบเข้าฝัก ถ้อยคำกล่าวออก “ถือเป็นสัญญา”
สิ้นเสียง เขาหันกลับเดินออกไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้สนใจฉินเฟิงที่คุกเข่าด้วยความกลัวราวกับลูกแกะรอถูกเชือดแม้แต่น้อย
“ฉินเฟิง ข้าทราบถึงนิสัยเจ้าดี เจ้าจะเลือกแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งหากรอดชีวิตกลับไป แต่ข้าขอแนะนำ เมื่อเจ้าทำเช่นนั้น มันจะย้อนกลับไปทำร้ายพ่อของเจ้าเอง จะรับฟังหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่ตัวเจ้า” หวงเฉียนจวินกล่าวถ้อยคำออกและหันหลังกลับ
ฉินเฟิงพลันโล่งใจ นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม
แก้มของเขาบวมแดง ผมเผ้าดูยุ่งเหยิง เกิดความอับอายเหลือล้น ดวงตาทั้งสองเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นตระหนก ความขุ่นเคือง และความเกลียดชังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
…
คืนนั้น เหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นในโรงหลอมแพร่สะพัด ก่อเกิดความโกลาหลไปทั่วมหานครอวิ๋นเหอ
ท้ายที่สุดฉินเฟิงก็เป็นบุตรชายของฉินเหวินเยวียนผู้ว่าเขตปกครอง องครักษ์ข้างกายทั้งหมดถูกฆ่าตาย แม้แต่ตัวเขาเองยังถูกบังคับให้คุกเข่าและก้มศีรษะขอความเมตตา นี่ไม่ต่างจากการตบหน้าผู้ว่าฉินเหวินเยวียนโดยตรง!
ใครบ้างจะไม่ตกตะลึงกับสิ่งนี้?
ใครก็ตามที่ได้ยินข่าวคราวนี้ ทุกผู้คนล้วนคาดเดาถึงตัวตนซูอี้และหวงเฉียนจวิน ทั้งต้องการรู้ว่าพวกเขาจะทรงพลังเพียงใด ด้วยแม้แต่ตัวตนอย่างผู้ว่าก็ยังไม่แยแส!
น่าเสียดาย ทั้งซูอี้และหวงเฉียนจวินต่างเป็นเพียงคนหนุ่มที่เพิ่งมาถึงมหานครอวิ๋นเหอเพียงไม่กี่วัน ดังนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่บุคคลภายนอกจะทราบถึงตัวตนพวกเขา
…
ระหว่างทางกลับเรือนเงียบสุขสงบ
ซูอี้สำราญใจและชื่นชมแสงไฟตลอดทาง
ส่วนหวงเฉียนจวิน เขารู้สึกวิตกเล็กน้อย หลังจากผ่านไปนาน จึงอดไม่ได้จะกล่าวถ้อยคำเบา “พี่ซู ข้าเป็นคนสร้างปัญหาให้ท่านในครั้งนี้”
น้ำเสียงนั้นแฝงความละอายใจล้นพ้น
“แค่เรื่องเล็ก”
ซูอี้กล่าวถ้อยคำกันเอง “แน่นอนว่าหลังจากประสบกับสิ่งนี้ มันจะทำให้เจ้ากระจ่างชัดและตระหนักถึงความสำคัญของการฝึกฝนและความแข็งแกร่ง ซึ่งนับว่าคุ้มค่าเช่นกัน”
หวงเฉียนจวินรีบกล่าวตอบรอดเร็ว “พี่ซูโปรดวางใจ จากนี้ไปข้าจะเพิ่มความพยายามในการฝึกฝนเป็นสองเท่า และจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังอีก!”
“การฝึกฝนเป็นเรื่องของตัวเจ้าเอง อย่าได้สัญญาอะไรกับข้าเลย”
ซูอี้ครุ่นคิดก่อนกล่าวออก “เรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ย่อมนำไปสู่อันตรายอีกมากมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยความแข็งแกร่งอันน้อยนิดของเจ้า เกรงว่าคงไม่อาจหยุดมันได้เลย แต่ไม่ต้องกังวลสิ่งใดทั้งนั้น หากฉินเหวินเยวียนกล้าจะแก้แค้นล่ะก็ ข้าจะเป็นคนจบทุกอย่างเอง”
หวงเฉียนจวินตกใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิด
เขาทราบดีว่า หลังจากเกิดเรื่องราวคืนนี้ ฉินเหวินเยวียนผู้เป็นลุงของเขาจะต้องเคืองโกรธและไม่อาจนิ่งเฉย
ในเวลานั้น ไม่เพียงแต่ตัวหวงเฉียนจวินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงป้าของเขาอันเป็นอนุภรรยาของฉินเหวินเยวียน และตระกูลหวงที่อยู่เบื้องหลังจะต้องทนทุกข์กับความทรมานนับครั้งไม่ถ้วน
นี่คือสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด
แต่หวงเฉียนจวินไม่คาดคิดว่า ซูอี้แลเห็นความกังวลนั้นได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังกล่าวชัดเจนว่าเขาจะรับผิดชอบ!
นี่เทียบเท่ากับซูอี้คิดจะแบกปัญหาทั้งหมดคนเดียว!
เช่นนั้นหวงเฉียนจวินจะยังทำใจสงบนิ่งได้อย่างไร?
“พี่ซู ข้าจะไม่พูดสิ่งใดอีก นับจากนี้ไป ชีวิตข้าเป็นของท่าน
แม้ต้องการปล่อยให้ข้าตายตกตอนนี้ ข้าไม่คิดโต้แย้ง!”
น้ำเสียงแหบพร่ากล่าวออก ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ เสียงขาดหายเล็กน้อยด้วยความตื้นตัน
“แค่เรื่องเล็กน้อย เจ้าสาบานเช่นนี้ มันคุ้มกันแล้วหรือ?” ซูอี้ส่ายศีรษะ
ครั้งลองครุ่นคิดดู เป็นความจริงที่หวงเฉียนจวินและตระกูลหวงอ่อนแอเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับตัวตนอันยิ่งใหญ่ เฉกเช่นผู้ว่าเขตปกครองอวิ๋นเหอ
เมื่อต้องเกี่ยวพันกัน จึงถูกลิขิตให้ไม่อาจต้านทานพลังอำนาจดังกล่าว
“ในเมื่อเจ้าติดตามข้า ข้าจึงไม่อาจปล่อยให้เจ้าถูกรังแก แล้วภายภาคหน้าเจ้าจะเข้าใจเอง นับประสาอะไรกับผู้ว่าเขตปกครองขนาดเล็ก ต่อให้เป็นกลุ่มอิทธิพลหรือตัวตนทรงอำนาจทั้งหมดในโลกนี้ ก็เป็นเพียงหมาและไก่ในสายตาข้า”
ซูอี้กล่าวถ้อยคำสบาย ๆ ราวกับพูดเรื่องไร้สาระ
หวงเฉียนจวินเผยความสับสน
พี่ซูอี้ของเขามีความมั่นใจมากเพียงใด ถึงได้กล้าเอ่ยถ้อยคำผยองโลก เหยียดหยามทุกตัวตนอย่างล้นพ้นเช่นนี้?
ณ เรือนเงียบสุขสงบ
เฝิงเสี่ยวเฟิงและเฝิงเสี่ยวหรานยังคงตื่นอยู่ พวกเขาเฝ้ารอทั้งสองกลับมา
สายลมพัดเอื่อยยามราตรี หมู่แมกไม้ในลานบ้านแกว่งไกล ก่อเกิดเสียงเสียดสี บ้างแว่วเสียงแมลงร้องจากระยะไกล เพิ่มพูนความเงียบสงบแก่สถานที่ โคมไฟใต้ชายคาสว่างไสว ฉายแสงอบอุ่นยามค่ำคืน
เมื่อเดินเข้ามาในลานบ้านและรับชมฉากนี้ ซูอี้พลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
“พี่ซูอี้ ท่านกลับมาแล้ว!”
เฝิงเสี่ยวหรานวิ่งไปด้านหน้าด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนหวาน
ซูอี้ลูบหัวเด็กสาวตัวน้อยพลางกล่าวถ้อยคำออก “ค่ำแล้ว เข้าไปพักผ่อนเถอะ”
“อื้อ! พี่ซูอี้เองก็ควรพักผ่อนโดยเร็วเช่นกัน”
เฝิงเสี่ยวหรานตอบรับอย่างเชื่อฟัง ก่อนหันหลังเดินกลับไปยังห้องของตน
“ศิษย์น้องเฟิง คราวหน้าเจ้าไม่ต้องรอข้าจนดึกดื่นเพียงนี้” ซูอี้ก้าวไปด้านหน้าพร้อมกล่าวคำ
“ขอรับศิษย์พี่” เฝิงเสี่ยวเฟิงตอบรับด้วยรอยยิ้ม
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็พูดขึ้นอีกครั้ง “คืนมะรืนนี้ ข้าจะยุติความคับข้องใจทั้งหมดของเราที่มีต่อสำนักดาบชิงเหอ จำไว้ว่าอุ่นสุราหนึ่งไห แล้วข้าจะกลับมาดื่มฉลองด้วยกัน”
เฝิงเสี่ยวเฟิงตกใจ ปากคิดเอ่ยคำออก ทว่าซูอี้หันหลังกลับเดินเข้าห้องของตนไปแล้ว
‘ถูกแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของศิษย์พี่ซู จึงไม่จำเป็นต้องอดทนรออีกต่อไป…’ เฝิงเสี่ยวเฟิงกล่าวถ้อยคำพึมพำในใจ
เขาจดจำภาพที่เกิดขึ้นในโถงธารคีรีบนชั้นเก้าของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ในวันนั้นได้
ทั้งยังจดจำภาพของอู่เทียนฮ่าวที่คุกเข่านอกลานบ้านด้วยความตื่นตระหนกราวกับสุนัขแก่
“พี่เฟิง ข้าจะพาท่านกลับห้องเอง”
หวงเฉียนจวินก้าวไปด้านหน้า ผลักรถเข็นด้วยรอยยิ้ม
“น้องหวง เจ้าดูเหมือนเก็บงำบางอย่างในใจ?” เฝิงเสี่ยวเฟิงถามขึ้นทันใด
“เก็บงำ?” หวงเฉียนจวินตกใจ
“ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น อย่าลืมบอกกล่าวศิษย์พี่ซู และอย่าเก็บงำมันไว้เพียงลำพัง ย้อนกลับไปครั้งอยู่ในสำนักดาบชิงเหอ หากศิษย์พี่ซูและข้าไม่ได้เดินหน้าและถอยกลับด้วยกัน ข้าอาจถูกพวกสารเลวรังแกจนตายตกไปแล้ว”
ดวงตาเฝิงเสี่ยวเฟิงแฝงไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก “แม้ว่าศิษย์พี่ซูอี้จะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แต่ข้าทราบดี ตราบใดที่เขายอมรับ บุคคลนั้นก็จะได้รับการปฏิบัติเหมือนดั่งพี่น้องของตัวเอง หากมีปัญหาใดแล้วไม่บอกกล่าว เขาจะโกรธอย่างมาก เจ้ารู้ไหม?”
หวงเฉียนจวินพลันรู้สึกแสบจมูก เขาพยักหน้ารับ ถ้อยคำกล่าวออก “พี่เฟิง ข้าเข้าใจแล้ว”
กระทั่งส่งเฝิงเสี่ยวเฟิงกลับห้อง หวงเฉียนจวินพยายามละทิ้งอารมณ์ของตนและกลับไปยังห้อง
เขานอนพลิกตัวไปมาอยู่บนที่นอน ไม่อาจข่มตาหลับได้
สิ่งที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ส่งผลกระทบแก่เขาอย่างใหญ่หลวง การกระทำของตนเองที่ทำให้ซูอี้คล้ายเกิดความไม่พอใจในขณะนั้น ทำให้เขารู้สึกผิดอย่างมาก
“ในอนาคต มันจะไม่เป็นเช่นนี้อีก!” หวงเฉียนจวินตัดสินใจอย่างเฉียบขาด
“นอนแล้วหรือยัง?”
ทันใดนั้น เสียงของซูอี้ดังขึ้นจากนอกห้อง
หวงเฉียนจวินตกใจ และรีบลุกขึ้นเพื่อเปิดประตูพร้อมกล่าวออก “พี่ซู มีสิ่งใดหรือ?”
“รับไป”
ซูอี้ยื่นกระดาษหนาหนึ่งปึก แล้วหันหลังกลับทันที
หวงเฉียนจวินทั้งตกตะลึงและยังลังเล
เพราะซูอี้ได้เดินกลับห้องของเขาไปแล้ว
“นี่คือสิ่งใด?”
หวงเฉียนจวินกลับเข้าห้อง นั่งลงที่โต๊ะและเปิดอ่าน
หลังจากนั้นไม่นาน เขานั่งนิ่งอยู่ที่เดิม
บนกระดาษแผ่นหนา หมึกดำยังไม่แห้งสนิท ตัวหนังสือถูกเขียนอย่างชัดเจน
มันเป็นบันทึกเคล็ดวิชาลับที่เรียกว่า ‘เคล็ดวิชาแก่นแท้มหาดารกะ’ ทั้งยังรวมไปถึงความคิดเห็นและคำอธิบายของซูอี้เกี่ยวกับเคล็ดวิชาลับแต่ละบทอย่างพิถีพิถัน
แม้ว่าเคล็ดวิชาแก่นแท้มหาดารกะจะเป็นวิชาที่ใช้บ่มเพาะสำหรับขั้นวิถียุทธ์เท่านั้น แต่แค่นี้ก็ทำให้หวงเฉียนจวินตกใจมากแล้ว
นึกไม่ถึงเลยว่า จะมีความลับเช่นนี้เก็บซ่อนอยู่บนโลก!
หากให้ตัดสินด้วยสัญชาตญาณ นี่เรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาลับชั้นยอดที่ถูกรังสรรค์อย่างแยบยล!
หากเปรียบเทียบแล้ว เคล็ดวิชาที่สืบทอดกันมาของตระกูลหวงนั้นธรรมดาและไร้ราคาอย่างสิ้นเชิง
ในเวลานี้เอง หวงเฉียนจวินจึงตระหนักได้ว่า เหตุใดซูอี้จึงได้หยิ่งผยองภายใต้รูปลักษณ์อันเรียบง่ายของเขา!
ซูอี้ครอบครองสุดยอดเคล็ดวิชาลับมากมาย แม้แต่ตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุดก็ยังไม่น่าจะเทียบได้!
หวงเฉียนจวินนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ริมฝีปากสั่นไหว เปี่ยมล้นด้วยอารมณ์หลากหลาย ภายใต้แสงสลัว ดวงตาเอ่อชื้นเล็กน้อย ทำให้ดวงตาของเขาพร่ามัว
…
อีกห้องหนึ่ง
ซูอี้มองดูดาบวิญญาณในมืออย่างระมัดระวัง
หลังจากผ่านไปนาน ริมฝีปากยกขึ้นด้วยความพึงพอใจ
ในที่สุด เขาก็มีดาบที่เหมาะสมอยู่ในมือ
คราวนี้ การหลอมดาบใช้วัตถุวิญญาณเกือบส่วนใหญ่ มีเพียงเหล็กเย็นเกล็ดครามเท่านั้นที่ยังเหลืออีกสองชั่ง
ช่วงสุดท้ายของการขัดเกลาดาบ เขาใช้เลือดของตัวเองเป็นสื่อกลาง สลักบัญญัติอันลึกลับและคลุมเคลือบบนใบดาบ
ชื่อของบัญญัตินี้คือ ‘คว้าล้ำลึก’ ซึ่งหมายถึงการดึงความลึกลับของพลังฟ้าดินมาควบคุม
การสลักบัญญัติเช่นนี้ มันเป็นการมอบคุณสมบัติพิเศษให้แก่ตัวดาบ
ตัวอย่างเช่น บัญญัติ ‘คว้าล้ำลึก’ เมื่อชักดาบออกมา มันจะสามารถดึงพลังจากทุกสรรพสิ่ง
ขณะดาบอยู่ในฝัก ด้วยบัญญัติ ‘คว้าล้ำลึก’ ดาบวิญญาณจะสามารถดึงพลังฟ้าดินมาหล่อเลี้ยงตัวเองได้ตลอดเวลา
เป็นความลึกล้ำสุดแสนจะพรรณนา
เป็นที่น่าสังเกตว่า การสลักบัญญัตินี้คล้ายกับการจารึกอักขระ ซึ่งคุณประโยชน์ของมันแบ่งออกไปใช้ได้หลายประเภทได้เหมือน ๆ กัน เช่น การกลั่นโอสถ การหลอมอาวุธ การต่อสู้ การทำนาย และการหลบหนี… ทั้งหมดล้วนมีบัญญัติแตกต่างกันตามการใช้งาน
ในสายตาของสำนักหกวิถี บัญญัตินี้เรียกว่า ‘ตำราศึกษา’
ในสายตาของสำนักพุทธ บัญญัตินี้เรียกว่า ‘กฎประสงค์’
ในสายตาของลัทธิขงจื่อ บัญญัตินี้เรียกว่า ‘กฤษฎีกา’
ในสายตาของลัทธิมาร บัญญัตินี้ถือเป็น ‘คาถาลับ’
แต่ไม่ว่าฝ่ายใดจะเรียกขานมันว่าอย่างไร คนส่วนใหญ่ก็ยังคงใช้คำง่าย ๆ ว่าบัญญัติ
“ดาบเล่มนี้สามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้ ดังนั้นข้าจะตั้งชื่อมันว่า ‘ดาบบงการฟ้าดิน’ แล้วกัน”
ซูอี้ลูบใบดาบแผ่วเบา พลางกระซิบกับตนเอง
ชิ้ง!
ดาบบงการฟ้าดินส่งเสียงตอบรับ เปี่ยมล้นด้วยจิตวิญญาณ
นี่คืออาวุธวิญญาณอย่างแท้จริง ซึ่งแตกต่างจากดาบสุดแดนดินที่เป็นแค่ดาบที่อยู่กึ่งกลางระหว่างศาสตราธรรมดาและศาสตราวิญญาณ พลังของพวกมันแตกต่างกันราวกับมาจากคนละโลก
ควบคู่ไปกับบัญญัติคว้าล้ำลึก ดาบบงการฟ้าดินนี้แตกต่างจากอาวุธทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
หลังจากเก็บดาบบงการฟ้าดินลงไปในฝักดาบไม้ไผ่ ซูอี้ก็ไม่เสียเวลาและเริ่มฝึกฝนต่อ
สำหรับดาบสุดแดนดิน เขาไม่ได้ทอดทิ้งมัน แต่ได้เก็บไว้ในจี้หยกข้างเอว
ดาบเล่มนี้เป็นดาบแรกที่เขาหลอมขึ้นตั้งแต่ต้น แม้จะมีคุณสมบัติธรรมดา แต่ก็มีความหมายที่ต่างออกไป
เข้าสู่โลกมนุษย์ ลับหัวใจให้เฉียบคม!
นี่คือจุดเริ่มต้นวิถีดาบของซูอี้ในโลกนี้ เมื่อใดที่ไปถึงจุดสูงสุดของวิถีดาบ ดาบเล่มนี้จะมีนัยสำคัญที่ไม่อาจแทนที่ได้ เนื่องจากมันเป็นของเขา… ซูอี้!
ภายในคืนเดียวกัน
จวนผู้ว่า
ฉินเฟิงราวกับสุนัขตื่นตระหนก ก้าวเดินตรงไปยังห้องทำงานของฉินเหวินเยวียนผู้เป็นบิดาที่กำลังขุ่นเคือง