บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1136: ผู้คนสัญจร
ตอนที่ 1136: ผู้คนสัญจร
ยอดเขาแยบยล
เมฆหมอกทอประกายดุจสุขาวดีบนดิน
งานเลี้ยงร่ำสุราดำเนิน
ซูอี้นั่งบนเก้าอี้ประธานยกสูง ร่ำสุราหัวเราะกับปรมาจารย์เผิง บรรพชนมารเยว่อิ๋นและตัวตนบรรพกาลอื่น ๆ
พวกจิ่นขุยเองก็อยู่ด้วย
เมื่อพวกเขาได้เห็นอาจารย์ตนสรวลเสเฮฮากับเหล่าตัวตนบรรพกาลอย่างอิสระ พวกเขาก็ล้วนตกอยู่ในภวังค์ราวหวนคืนสู่อดีต
ยามนั้น อาจารย์ของพวกตนเป็นที่ยกย่องในแดนเทวามหาแดนดิน หนึ่งดาบสยบสวรรค์ และผู้ที่ควรค่าดื่มฉลองกับเขาได้นั้นล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสชั้นหนึ่งในโลกหล้า
ยามนั้น จักรพรรดิใด ๆ ซึ่งมิได้อยู่ในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำล้วนไร้คุณสมบัติเข้าร่วมงานเลี้ยงของอาจารย์
จากนั้น…
มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ ว่าแม้อาจารย์จะยกโทษให้นาง และเหล่าศิษย์เองก็มิคิดติดใจ ทว่า… ทุกสิ่งย่อมไม่อาจหวนคืน
ชิงถังนั่งนิ่งเงียบ
ในงานเลี้ยง ซูอี้กล่าวถึงความลับของวิถีสู่สวรรค์ และยังพูดถึงความลับบางอย่างเกี่ยวกับภูมิดาราฟ้าดินและสมบัติลับฟ้าดิน
พวกเขาติดอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิมาเนิ่นนานไม่อาจทราบปี นับแต่ความพยายามช่วงแรกจนความผิดหวังในช่วงท้าย จวบจนยามนี้ จิตต่อสู้ในใจของพวกเขาก็แทบเหือดสิ้น
พวกปรมาจารย์เผิงล้วนตกตะลึง ดวงตาของพวกเขาทอประกาย และคุมกิริยาไม่อยู่ด้วยความตื่นเต้น
และยามนี้ ซูอี้ก็กำลังชี้ทางไปสู่วิถีสู่สวรรค์แก่พวกเขา ใครเล่าจะมิงงงัน?
จักรพรรดิมารสวรรค์ฟังเรื่องทั้งหมดนี้ ในใจรู้สึกชื่นชม
ทว่าซูเสวียนจวินกลับทำได้ พวกเขาราวกับกำลังสนทนาของสหายเก่า จึงไร้ความคิดปิดบัง
กล่าวอีกนัยก็คือ หากเปลี่ยนเป็นนาง คงไม่อาจกล่าวความลับเหล่านี้ออกมาโดยไร้ปิดบังได้เช่นเขา
ชิงถังนั่งนิ่งเงียบ
มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ ว่าแม้อาจารย์จะยกโทษให้นาง และเหล่าศิษย์เองก็มิคิดติดใจ ทว่า… ทุกสิ่งย่อมไม่อาจหวนคืน
ในงานเลี้ยง ซูอี้กล่าวถึงความลับของวิถีสู่สวรรค์ และยังพูดถึงความลับบางอย่างเกี่ยวกับภูมิดาราฟ้าดินและสมบัติลับฟ้าดิน
พวกปรมาจารย์เผิงล้วนตกตะลึง ดวงตาของพวกเขาทอประกาย และคุมกิริยาไม่อยู่ด้วยความตื่นเต้น
พวกเขาติดอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิมาเนิ่นนานไม่อาจทราบปี นับแต่ความพยายามช่วงแรกจนความผิดหวังในช่วงท้าย จวบจนยามนี้ จิตต่อสู้ในใจของพวกเขาก็แทบเหือดสิ้น
และยามนี้ ซูอี้ก็กำลังชี้ทางไปสู่วิถีสู่สวรรค์แก่พวกเขา ใครเล่าจะมิงงงัน?
จักรพรรดิมารสวรรค์ฟังเรื่องทั้งหมดนี้ ในใจรู้สึกชื่นชม
กล่าวอีกนัยก็คือ หากเปลี่ยนเป็นนาง คงไม่อาจกล่าวความลับเหล่านี้ออกมาโดยไร้ปิดบังได้เช่นเขา
ทว่าซูเสวียนจวินกลับทำได้ พวกเขาราวกับกำลังสนทนาของสหายเก่า จึงไร้ความคิดปิดบัง
เป็นความยิ่งใหญ่ใจกว้างโดยแท้จริง!
ปรมาจารย์เผิงลุกขึ้นก้มหัวอย่างจริงจัง “หากสักวันข้าเลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ สหายเต๋าต้องการให้ข้าช่วยประการใด ข้าจะบุกน้ำลุยไฟเพื่อเจ้า!”
วาจานั้นกังวานฟังชัด
เมื่อตัวตนบรรพกาลอื่น ๆ เห็นเช่นนี้ พวกเขาต่างลุกขึ้นตาม ๆ กัน
ทันใดนั้น บรรยากาศของงานเลี้ยงก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
ซูอี้โบกมือ ส่งสัญญาณให้ทุกคนนั่งลง และกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเราล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตน เราก็ควรช่วยเหลือกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าข้าทำเพียงชี้ทางให้พวกเจ้าเท่านั้น ส่วนการที่จะข้ามขอบเขตได้หรือไม่ นั่นขึ้นกับความสามารถของพวกเราเอง”
“สัตว์ประหลาดเฒ่าซู เจ้าว่าสมบัติลับเสวียนหวงวิเศษเพียงนั้นจริง ๆ หรือ?”
บรรพชนมารเยว่อิ๋นอดถามไม่ได้
ซูอี้กล่าวเรียบ ๆ “เนิ่นนานมาแล้ว พวกเจ้าน่าจะสะสมสมบัติลับฟ้าดินไว้มากมาย แต่น่าจะไม่อาจมองทะลุเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกมันได้ หากพวกเจ้าเชื่อใจข้า ข้าสามารถช่วยพวกเจ้าเรื่องนี้ได้”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
ตราบจนงานเลี้ยงสิ้นสุด เหล่าตัวตนบรรพกาลรับปากจะกลับมาเยือนอีกครั้งในครั้งต่อมา และรีบร้อนจากไป
…
ในศาลาแห่งหนึ่งบนยอดเขา
มวลเมฆาทอประกาย สายลมบนเขาเคลื่อนโคจร
ซูอี้ทอดร่างบนเก้าอี้หวาย มองทิวทัศน์ดุจภาพวาดไกลออกไป และครุ่นคิดอยู่ในใจ
ก่อนหน้านี้ เขาเคยชอบมานั่งที่นี่ ไม่คิดสิ่งใด ไม่ทำสิ่งใด ปล่อยตนเองให้ว่างเปล่าโดยสมบูรณ์
ทุกครั้ง เขาก็มาทำใจให้สงบเงียบที่นี่
ชิงถังยืนอยู่ข้างกายเขา อาภรณ์เปรอะโลหิต ใบหน้างดงามซีดขาว
ในศึกก่อนหน้านี้ นางบาดเจ็บสาหัสเกินไป
แต่นางก็ดูไม่สนใจ
ชิงถังลังเลชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวเบา ๆ
“ข้ารู้ ต่อให้แก้ความเข้าใจผิดได้ เจ้าก็จะไม่อาจปฏิบัติกับข้าเช่นกาลก่อนได้อีก และในถ้ำเสวียนจวิน เจ้าก็จะมิอาจเข้ากันได้ดีกับศิษย์ร่วมสำนักคนอื่น ๆ ได้เยี่ยงกาลก่อนเช่นกัน…”
ซูอี้เว้นช่วงชั่วครู่ และกล่าวว่า “เจ้าคิดจะไปหรือ?”
ชิงถังส่งเสียงเบา ๆ และกล่าวว่า “ข้าตัดสินใจจะกลับสู่ห้วงลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวเจ้าค่ะ และก่อนจาก ข้าอยากจะคุยกับท่านดี ๆ สักหน่อย”
ซูอี้ก้มหน้าน้อย ๆ “ได้”
กล่าวจบ เขาก็โยนไหสุราให้ชิงถังพลางกล่าว “อย่าดื่มมากนักเล่า ระวังบาดแผลด้วย”
ดวงตากระจ่างของชิงถังสว่างไสว “อื้อ!”
ทุกสิ่งเงียบงัน ทิวทัศน์งดงามดุจภาพวาด
ในศาลา คู่ศิษย์อาจารย์นั่งยืนเคียงกัน ร่ำสุราเสวนาท่ามกลางบรรยากาศสงบสุขและเงียบงัน
……
บ่าวเฒ่าผู้นั้นรับหน้าที่เฝ้าโลกาทัศนาและดูแลทัศนาจารย์
ชิงถังไม่เคยได้พบกับบ่าวเฒ่าหรือเคยไปยังโลกาทัศนามาก่อน
นางรู้เพียงว่า ‘โลกาทัศนา’ ที่ว่านี้ไม่ใช่แดนศักดิ์สิทธิ์ขุนเขาเลื่องชื่อใด ๆ แต่เป็นโลกทั้งใบ
โลกาทัศนา ทัศนาโลกหล้า!
ทั้งชีวิตของเขา ทัศนาจารย์รับศิษย์เพียงผู้เดียว นั่นคือชิงถัง
ทว่าชิงถังถูกรับเข้าสู่โลกาทัศนาช้าไปแสนนาน
นับแต่แรกเริ่ม ทัศนาจารย์อยู่ในสภาวะถดถอยมาแสนนาน ออกเดินทางไปทั่วทุกสถานที่ในจักรวาลพร่างดาวเพื่อเสาะหาวิถีที่สูงกว่า
และชิงถังก็คือศิษย์ซึ่งทัศนาจารย์รับไว้ระหว่างเดินทาง
ชิงถังติดตามทัศนาจารย์ท่องสู่พื้นที่ลึกลับอันตรายเหล่านั้นเป็นเวลาสามพันปีเต็ม
ระหว่างช่วงกาลนั้น ภายใต้การสั่งสอนของทัศนาจารย์ ชิงถังก็เติบโตจากสาวน้อยไม่รู้ความเป็นยอดยุทธ์ในมหาวิถีอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งทัศนาจารย์เวียนวัฏสงสาร ชิงถังจึงเริ่มเดินทางลำพังในโลกหล้า
ชีวิตของชิงถังกล่าวได้เพียงอับโชค
นางเกิดในตระกูลโบราณสูงสุดแห่งหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งดาษดื่นเช่นเมฆา และผู้อาวุโสล้วนแข็งแกร่ง เป็นราชันแห่งภูมิโดยถ้วนทั่ว!
ชิงถังใช้ชีวิตยามเด็กเยี่ยงไข่ในหิน ทว่าเมื่ออายุได้เจ็ดปี สถานการณ์ในตระกูลกลับพลิกผันร้ายแรง และตระกูลของนางก็พังทลายลงชั่วข้ามคืน
นอกจากนาง บุพการีพี่น้องทั้งหลายล้วนตกตายในเหตุพลิกผันนั้น
และเหตุที่นางรอดมาได้ก็เป็นเพราะจี้หยกรูปดาบซึ่งคล้องคอนางอยู่ตั้งแต่ยังเล็ก
และเพราะจี้หยกนี้ ชิงถังจึงได้รับความช่วยเหลือจากทัศนาจารย์
ยามนั้น ทัศนาจารย์บอกว่าเขาช่วยนางล้างแค้นแทนให้ได้
ทว่าชิงถังวัยเจ็ดปีตอบปฏิเสธ
นางขอกราบเขาเป็นอาจารย์เพื่อล้างแค้นด้วยตนเองในภายหน้า
ทัศนาจารย์ไม่ได้ปฏิเสธ
น่าเศร้าที่เพียงสามพันปีต่อมา ทัศนาจารย์ก็ลาลับ
เหลือเพียงชิงถังเดียวดาย เตร็ดเตร่ลำพังในจักรวาลพร่างดาว
และยามออกล้างแค้น นางก็พบว่าศัตรูซึ่งทำลายตระกูลของนางเมื่อเนิ่นนานถูกทำลายสิ้นไปนานแล้ว!
ด้วยเหตุนี้ ช่วงแรกชิงถังจึงแทบบ้า
น่าเศร้าเพียงใดที่เมื่อแข็งแกร่งพอ ศัตรูก็ชิงตายไปเสียก่อน ช่าง… อับโชคเพียงใด?
…
“ข้ายังจำได้ดี ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าการทำลายตระกูลของข้ามีความลับอื่นแฝงอยู่ ไม่เรียบง่ายเช่นที่เห็น”
“แต่เดิม ข้าคิดว่าขอเพียงหาร่างเวียนวัฏอาจารย์ข้าเจอ ข้าจะไถ่ถามท่านถึงความลับเบื้องหลังความพินาศของตระกูลข้าได้”
“ทว่ายามนี้ ข้าก็รู้แล้วว่าท้ายที่สุด… อาจารย์ข้าก็ไม่อยู่อีกแล้ว…”
ชิงถังที่อยู่ในศาลาหดหู่ใจ
นางยกไหสุราขึ้นจิบเบา ๆ อย่างเหม่อลอย
หลังได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้ ซูอี้ก็อดถอนใจเบา ๆ และกล่าวมิได้ว่า “ในเมื่อทัศนาจารย์ไม่ได้บอกเจ้าก่อนหน้านี้ ก็พิสูจน์ได้ว่าเหตุที่ซุกซ่อนอยู่ต้องอันตรายสุดขีด ห่างไกลเกินกว่าที่เจ้าจะแก้มันได้โดยลำพัง”
ชิงถังก้มหน้าน้อย ๆ และกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ หลังจากกลับสู่ห้วงลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว ข้าจะแปลงตัวตนและลอบตรวจสอบเรื่องนี้ ไม่ว่าจะยาวนานเพียงใด ข้าก็จะหาความจริงให้จงได้!”
ท้ายที่สุด ใบหน้างามซีดขาวของนางก็เปี่ยมความมุ่งมั่น
ซูอี้หันไปกล่าวกับชิงถังว่า “แม้ข้าจะมิใช่ทัศนาจารย์ แต่ถึงอย่างไรข้าก็คือร่างเวียนวัฏของเขา และไม่ช้าก็เร็วก็จะปลดผนึกกรรมมหาวิถีและความทรงจำที่เขาทิ้งไว้ ดังนั้นข้าย่อมต้องแบกรับผลกรรมในชาตินั้นไปด้วย ข้าสามารถช่วยเจ้าเรื่องนี้ได้”
หัวใจของชิงถังตะลึงอึ้ง และหลังจากมองซูอี้อยู่เนิ่นนาน นางก็ก้มหัวลงกล่าว “ศิษย์ละอายในใจนัก ไม่กล้าใช้ท่านอาจารย์อีกแล้วเจ้าค่ะ…”
สีหน้าแววตาของนางล้วนเศร้าสร้อย
“ความเข้าใจผิดคลี่คลายเนิ่นนานแล้ว ไฉนยังรู้สึกละอายเล่า?”
ซูอี้ส่ายหัว “แม้เราศิษย์อาจารย์จะไม่อาจหวนคืนเช่นกาลก่อน แต่ถึงอย่างไร ข้าก็เป็นอาจารย์เจ้ายามเป็นทัศนาจารย์ และยังเป็นอาจารย์เจ้ายามเป็นซูเสวียนจวินอีก จากนี้… หากเจ้าไม่คิดติดใจ ข้าก็จะปฏิบัติต่อเจ้าเป็นศิษย์ผู้หนึ่งเช่นเดิม”
ดวงตาพร่างดาวของชิงถังเบิกกว้าง อกกระเพื่อมขึ้นลง อารมณ์ของนางผันผวนมหาศาล
เนิ่นนานจากนั้น ชิงถังก็กล่าวเบา ๆ “อาจารย์ ด้วยวาจาของท่าน ศิษย์พอใจแล้ว จากวันนี้ ศิษย์จะไปรออาจารย์ที่ห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวนะเจ้าคะ!”
ท้ายที่สุด นางก็ยังตั้งมั่นจะจากไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็ลุกจากเก้าอี้หวาย มองรอยยิ้มจากใจบนใบหน้าหญิงสาว ความรู้สึกสงสารอย่างเกินบรรยายเอ่อขึ้นในใจ ก่อนจะกล่าวเบา ๆ ว่า “ตลอดมา โลกหล้ารู้เสมอว่าข้าตามใจเจ้า ศิษย์คนเล็กของข้าที่สุด แม้จะมีความเข้าใจผิดกันมา แต่จำไว้เสียว่าหากพบปัญหาอันไม่อาจแก้ จงมาหาข้า”
หลังครุ่นคิดเล็กน้อย เขาก็เอ่ยเสริม “นี่คือคำสั่ง และคำสั่งของอาจารย์ห้ามฝ่าฝืน”
ดวงตาของชิงถังแดงก่ำขึ้นเงียบ ๆ หมอกชื้นปกคลุมดวงตากระจ่างของนาง
ทันใดนั้น นางก็คุกเข่าลงกราบซูอี้ “ศิษย์น้อมรับคำสั่งอาจารย์เจ้าค่ะ”
วาจาของนางเจือเสียงสะอึกสะอื้น
ทว่ากิริยาของนางเคร่งขรึมจริงจังยิ่งกว่าครั้งใด เหมือนดั่งสาวกผู้ศรัทธาแรงกล้า
…
วันถัดมา
ชิงถังไปจากถ้ำเสวียนจวินเพียงลำพังอย่างเงียบงัน มิรบกวนผู้ใด และเดินทางสู่ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว
ยามนั้น นางอดตะลึงมิได้ และความทรงจำเสี้ยวแล้วเสี้ยวเล่าของการฝึกฝนตลอดหนึ่งหมื่นแปดพันปีในถ้ำเสวียนจวินก็ประดังเข้ามาในใจ
“ศิษย์น้องหญิงเล็ก เจ้าต้องรักษาตัวด้วยนะ!”
จิ่นขุยกล่าวอย่างนุ่มนวล
หวังเชวี่ย เย่ลั่ว เสวียนหนิงและไป๋อี้ล้วนโบกมือพลางยิ้มให้
ชิงถังเองก็แย้มยิ้ม คารวะให้ทุกคนจากระยะไกล “อาจารย์และศิษย์พี่ทั้งหลาย พวกท่านก็ต้องรักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ!”
“ไปเถอะ”
ซูอี้กล่าวอย่างอบอุ่น
ชิงถังพยักหน้า และหันไปมองถ้ำเสวียนจวินอย่างลึกล้ำ
จากนั้น นางก็หันหลังจากไป
แสงสว่างจากนภาส่องอาบลงบนร่างงดงามของหญิงสาว อาภรณ์กระเพื่อมไหว ห่างสายตาออกไปเรื่อย ๆ และไม่นานก็หายลับไป
ณ วันนี้ จักรพรรดินีชิงถังผู้เป็นที่ยกย่องกล่าวขานตลอดห้าร้อยปีผ่านมาได้จากถ้ำเสวียนจวิน กลับคืนสู่ห้วงลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว
และวันนี้เช่นกันที่สตรีถือหอกผู้หนึ่งสัญจรผ่านจักรวาลพร่างดาว เข้ามายังภูมิดาราฟ้าดินสู่นอกมหาแดนดิน
“ทัศนาจารย์… ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”
สตรีถือหอกกระซิบกับตนเอง