บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1137: ถูกดูแคลน
ตอนที่ 1137: ถูกดูแคลน
“เพียงว่า กฎกำเนิดห้วงดาราแห่งภูมิดาราฟ้าดินนี้พังทลายลงไปมากเลย…”
สตรีถือหอกขมวดคิ้ว
นางมองปราดเดียวก็เห็นว่าต้นกำเนิดแห่งภูมิดาราฟ้าดินเสียหาย ราวกับเกิดปัญหาใหญ่หลวงกับกฎเกณฑ์ในมหาแดนดิน!
นี่เป็นดั่งปลักโคลน ไม่ใช่สมุทรกว้างที่มังกรสามารถแหวกว่ายอิสระ
“สถานที่เช่นนี้หรือจะให้กำเนิดตัวตนแข็งแกร่งเยี่ยงนั้นได้?”
สตรีถือหอกพลันรู้สึกว่าเจ้าเฒ่าที่นางพบก่อนหน้านี้เหมือนจะหลอกนางเสียแล้ว!
“ช่างเถอะ ในเมื่อชะตาพาข้าสู่ที่นี่ เดินเล่นสักหน่อยเป็นไร”
สตรีถือหอกรำพึงเบา ๆ
ปราณบนร่างของนางพลันสงบลงมาก
ครืน!
อำนาจกฎสวรรค์พลุ่งพล่านราวถูกกระตุ้น
“นี่ข้ากดการฝึกฝนลงถึงขอบเขตคืนสู่สามัญแล้วนะ ยังไม่ได้อีกหรือ?”
สตรีถือหอกตะลึงตกใจ
“งั้นก็ลดอีก!”
สตรีถือหอกสูดหายใจลึก ๆ แล้วกดการฝึกฝนของนางลงอีกครั้ง
ทว่าเมื่อนางเข้าใกล้มหาแดนดิน ไม่นานนักก็ตระหนักว่ายังไม่อาจเข้าถึงได้!
หากฝืนฝ่าเข้าไป เกรงว่าอำนาจกฎเกณฑ์ในมหาแดนดินคงได้มองนางเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งแน่แท้!
“ไอ้เฒ่าสมควรตายนั่นดูจะหลอกข้าจริงแท้ ที่แย่ ๆ เช่นนี้มีหรือจะให้กำเนิดตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิได้”
สตรีถือหอกขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน โกรธเสียจนตั้งใจว่าจะไปคิดบัญชีกับช่างเสื้อในภายหลัง!
ท้ายที่สุด เมื่อสตรีถือหอกกดการฝึกฝนของนางสู่ขอบเขตมหาจักรพรรดิ นางก็เลี่ยงการโจมตีของกฎสวรรค์และเข้าสู่แดนเทวามหาแดนดินได้สำเร็จ
ทว่า ด้วยประสบการณ์เช่นนี้ สตรีถือหอกจึงคิดว่าเก็บเกี่ยวผลจากที่นี่ได้น้อยเป็นแน่
ปลักโคลนเยี่ยงที่นี่ มังกรไหนเลยจะเกิดได้?
…
ณ เมืองแห่งหนึ่งในมหาแดนดิน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทัศนาจารย์คือผู้ใด?”
สตรีถือหอกหาชายชราซึ่งมีการฝึกฝนแข็งแกร่งที่สุดพบในทันที
ทว่า ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ว่านั้นอยู่เพียงขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ ในสายตาสตรีถือหอก เขาก็ไม่ต่างอันใดกับต้นหญ้าดอกไม้ป่าข้างถนนเลย
ทุกสิ่งล้วนเป็นสุนัข!
นี่ไม่ใช่เพราะในจิตคิดดูแคลน แต่ในสายตาตัวตนเช่นนาง ไม่ว่าจักรพรรดิจะแข็งแกร่งเช่นไรก็มิต่างกับปุถุชน
ชายชรากล่าวติดขัด เหงื่อกาฬแตกพลั่ก
ก่อนหน้านี้เขากำลังเก็บตัวฝึกฝน แล้วจู่ ๆ ก็ถูกหญิงสาวลึกลับสวมหน้ากากสำริดตรงหน้าเขาจับตัวมา ยามนั้นตัวเขาแทบแหลกสลาย
“มิใช่ว่าเขาแข็งแกร่งไร้พ่ายที่นี่หรือ? หนึ่งดาบสยบจักรวาลพร่างดาว เป็นหนึ่งทั่วทศทิศ?”
สตรีถือหอกรู้สึกแย่ลงมากขึ้นทุกขณะ
นางจำได้แม่นยำว่าเฒ่าสับปลับผู้นั้นเคยบอกไว้ ว่าเมื่อมาถึงแดนเทวามหาแดนดิน หากสุ่มถามใครสักคน ก็จะได้รู้แน่ว่าทัศนาจารย์คือผู้ใด
ทว่ายามนี้ แม้นางจะพบผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเมือง แต่อีกฝ่ายกลับไม่ทราบว่าทัศนาจารย์คือผู้ใด!
“มหาแดนดินของข้ามีตัวตนในตำนาน เป็นหนึ่งในโลกหล้าอยู่จริง แต่ว่า… คนผู้นั้นดูเหมือน… จะไม่ใช่ทัศนาจารย์ที่ผู้อาวุโสว่า”
ชายชราดูหวาดกลัวเหงื่อแตกพลั่ก
“โอ้ เขาคือใครเล่า?”
สตรีถือหอกถามเลื่อนลอย
นางผิดหวังสิ้นเชิงไปแล้ว กระทั่งอยากออกจากมหาแดนดินเสียทันที
โดยไม่รีรอให้ชายชราพูดจบ สตรีถือหอกก็กลับมากะปรี้กระเปร่าสนใจในที่สุด และกล่าวขัดขึ้น “ร่างเวียนวัฏหรือ? เจ้าเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยสิ”
ชายชราผู้นั้นหรือจะกล้าขัดขืน?
เขาเล่าถึงเรื่องราวของซูอี้จนหมดเปลือกในทันใด
ท้ายที่สุด ชายชราก็ดูจะนึกบางอย่างได้กะทันหัน ก่อนกล่าวว่า “เมื่อวาน มหาศึกที่ถ้ำเสวียนจวินเพิ่งจบลง แม้ข้าจะไม่เคยเดินทางไปชมศึกด้วยตนเอง แต่ข้าเคยได้ยินว่ามีคนเรียกปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินว่าทัศนาจารย์อยู่!”
ดวงตาสีม่วงของสตรีถือหอกทอประกายอย่างเงียบเชียบ “ทัศนาจารย์ ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน ซูอี้… หรือนี่จะเป็นวัฏจักรเวียนวัฏฝึกฝนใหม่… น่าสนใจ!”
วูบ!
เสียงยังไม่ทันสร่าง ร่างของนางก็หายวับไป
ชายชราตะลึงไป จากนั้นชั่วครู่ เขาก็ทรุดหมดเรี่ยวแรงลงไปกองกับพื้น พึมพำอย่างอ่อนเปลี้ย “สตรีผู้นั้น… เป็นเทพเซียนที่แท้จริงหรือไร?”
…
ซูอี้กำลังนั่งฝึกฝนด้วยการขัดสมาธิ
ก่อนหน้านี้ เขาได้นับจำนวนสมบัติที่ซุกซ่อนไว้ในกรุสมบัติถ้ำเสวียนจวิน และพบว่ามันไม่ได้ลดหายไปมากนัก
มิต้องสงสัยเลยว่าตลอดช่วงที่ผ่านมา ไม่เพียงชิงถังไม่แตะต้องสมบัติในกรุ แต่ยังตามทวงคืนสมบัติซึ่งหายไปจากการปล้นชิงในกาลก่อนด้วย!
สิ่งที่ทำให้ซูอี้ปรีดาที่สุดคือสมบัติลับฟ้าดินซึ่งเขาถือเป็นสมบัติธรรมดา โยนมั่ว ๆ มานอนจมฝุ่นในกรุยังคงอยู่ที่เดิม
มีทั้งหมดสิบสามชิ้น!
จากการคำนวณของซูอี้ หากเขาหล่อหลอมปราณมารดาฟ้าดินในสมบัติเหล่านี้ได้ครบถ้วน มันจะเพียงพอส่งเขาสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำได้โดยง่าย
ถึงยามนั้น เขาก็จะสามารถใช้ตนเองเป็นหนึ่งเตาหลอมได้
ด้วยพลังแห่งแก่นแท้เอกกะ เขาก็สัมผัสความลับจากดาบเก้าคุมขังได้มากขึ้น
เขาสามารถใช้ปราณมารดาฟ้าดินเข้าพินิจกฎต้นกำเนิดภูมิดาราฟ้าดิน และเตรียมก้าวสู่วิถีสู่สวรรค์ได้!
กล่าวสั้น ๆ ก็คือ หากเขาก้าวสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำได้ จะเทียบเท่าเหยียบย่างสู่จุดสูงสุดแห่งวิถีลึกล้ำ
“อาจารย์ หลวงจีนเยี่ยนซินได้สติแล้วเจ้าค่ะ”
นอกถ้ำพำนัก เสียงของจิ่นขุยดังขึ้น
ซูอี้พลันตื่นจากภวังค์ครุ่นคิด และลุกขึ้นเดินออกนอกถ้ำพำนักทันที
ในศาลาน้อยหลังหนึ่ง
“เจ้าเฒ่า รู้สึกเช่นไรบ้าง?”
เมื่อซูอี้มาถึง เขาก็เห็นหลวงจีนเยี่ยนนั่งครุ่นคิดบางอย่างกับตนเอง
หลวงจีนเยี่ยนซินลุกขึ้น พนมมือเข้าหากันไหว้คำนับ “หากไม่ได้เจ้า สัตว์ประหลาดเฒ่าซูช่วยไว้ ชีวิตนี้ของข้าคงสิ้นแล้ว”
สีหน้าของเขาดูซาบซึ้งเหลือแสน
ซูอี้หัวเราะ จากนั้นถือวิสาสะนั่งลงและกล่าวว่า “การถูกช่างเสื้อยึดร่างต้องไม่น่าอภิรมย์เป็นแน่”
หลวงจีนเยี่ยนซินเองก็นั่งลง พลางยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่เพียงน่าอึดอั้นไม่สบายกายใจ แต่มันก็ไม่ต่างกับลงนรกเลย”
กล่าวจบ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “สัตว์ประหลาดเฒ่าซู เจ้าต้องระวังตัวให้มาก สิ่งที่ช่างเสื้อเสียไปเป็นเพียงอวตาร คงไม่นานก่อนที่เขาจะกลับมาอีก”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงเข้าใจแล้ว
ยามนี้ เขาได้เวียนวัฏกลับมา และความจริงที่เขาเป็นร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ก็ถูกช่างเสื้อตรวจพบ
กอปรกับในช่วงกาลก่อน เขาสังหารยอดฝีมือจากลัทธิทางช้างเผือก หอเก้าสวรรค์และโรงวาดฤทัยซ้ำ ๆ
คาดการณ์ได้เลยว่าอีกไม่นาน หนึ่งพายุจะกวาดเข้าใส่จากส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว!
หลังเสวนาไปสักพัก หลวงจีนเยี่ยนซินก็ลุกขึ้นจากไป
เขาตั้งใจจะไปรักษาตัวที่แดนบูรพาน้อย
ซูอี้ไม่ได้รั้งเขา แต่ได้ส่งชิ้นหยกซึ่งเตรียมไว้นานแล้วแก่หลวงจีนเยี่ยนซิน ภายในนั้นบรรจุความลับเกี่ยวกับวิถีสู่สวรรค์และสมบัติลับฟ้าดินไว้ให้
ในมหาแดนดินนี้ หลวงจีนเยี่ยนซินคือหนึ่งในสหายรักของเขา
หากเขาสามารถช่วยหลวงจีนเยี่ยนซินได้ ซูอี้จะไม่มัวเห็นแก่ตัว
ณ ข้างนอกถ้ำเสวียนจวิน
“สหายเต๋า ยังมีบางสิ่งที่ใจข้ามิอาจสะสางให้กระจ่างได้”
ก่อนจาก หลวงจีนเยี่ยนซินจำบางอย่างขึ้นได้ “ด้วยสายตาของเจ้า ไฉนเลยจึงไม่อาจมองเห็นตัวตนของคุณหนูและชิงถังแต่แรก ว่าพวกนางซุกซ่อนตัวตน ข้ามจักรวาลมาฝึกฝนที่ถ้ำเสวียนจวิน?”
ซูอี้หัวเราะให้ตนเอง “ยามนั้น แม้ข้าจะไร้เทียมทานในโลกหล้า แต่ก็เป็นเพียงในแดนเทวามหาแดนดินนี้เท่านั้น”
เมื่อชิงถังมายังมหาแดนดิน นางก็เป็นราชันแห่งภูมิในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงอยู่แล้ว!
อาจารย์ของนางยิ่งเป็นตัวตนที่กุมพลังสูงส่งไปใหญ่ ซึ่งก็คือทัศนาจารย์ผู้ไร้เทียมทานในจักรวาลพร่างดาว
ณ ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง ผู้ฝึกตนซึ่งทำลายตรวนมาถึงขอบเขตนี้ได้ ขอเพียงพวกเขาไม่ได้ถูกฆ่าหรืออยากตาย ก็จะสามารถยืนยงตราบนานเท่านาน
ดังนั้นสำหรับชิงถัง การซ่อนจากเขาในยามสมบูรณ์พร้อมจึงไม่ได้ยากเย็น
ส่วนคุณหนูจากโรงวาดฤทัยนั้น นางยืมพลังจากสมบัติลับเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ตนเอง
“ท้ายที่สุดแล้ว เราทั้งหลายต่างติดอยู่ในมหาแดนดินนานแสนนาน ไม่เพียงถูกปิดกั้นวิถี แต่สายตารู้เห็นเข้าใจยังถูกปิดให้มืดบอดอีกด้วย”
หลวงจีนเยี่ยนซินรำพึงเบา ๆ
นี่แหละหนา เป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าเหนือยอดเขาสูงยังมีสูงกว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า
หลวงจีนเยี่ยนซินผงะไป
เขาครุ่นคิดชั่วครู่ และกล่าวอย่างชื่นมื่น “อามิตตาพุทธ!”
จากนั้น เขาก็ก้าวสู่อากาศ ร่างผอมแห้งของเขาค่อย ๆ เลือนหายไป
ซูอี้หันกลับ ตั้งใจกลับสู่ถ้ำเสวียนจวิน
ทันใดนั้น สตรีผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ พลางเอ่ยถาม “สหาย ที่นี่ใช่ถ้ำเสวียนจวินหรือไม่?”
ผู้มาเยือนสวมอาภรณ์สีเทา สวมรองเท้าแตะฟาง เรือนผมดำรวบหางม้าด้วยเชือกแดง ใบหน้าปกคลุมด้วยหน้ากากสำริด เผยเพียงดวงตาสีม่วง
ในมือขวาของนางถือหอกยาวสีเทาคราม และมีอักขระสวัสดิกะลึกลับสลักอยู่ที่ด้าม
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย ซูอี้ก็แปลกใจ
สตรีถือหอกผู้นั้นหรือ!?
จักรพรรดิพิษเทียนฮู่เคยกล่าวไว้ว่าเนิ่นนานมาแล้ว ยามที่เขาและพวกจักรพรรดิมหายุทธ์จากมหาแดนดินข้ามไปยังจักรวาลพร่างดาว พวกเขาได้พบสตรีลึกลับถือหอก ร้ายกาจแข็งแกร่งยิ่งนัก
ยามนั้น พวกจักรพรรดิมหายุทธ์ร่วมมือและขวางหนึ่งกระบวนของสตรีถือหอกได้
ส่วนจักรพรรดิพิษเทียนฮู่นั้นไร้คุณสมบัติที่สตรีถือหอกจะมองเป็นศัตรู…
และยามนี้ สตรีผู้นั้นก็ปรากฏตัวมาอยู่ตรงหน้าถ้ำเสวียนจวินด้วยตนเอง!
“ถูกต้อง”
ซูอี้พยักหน้าโดยมิขยับตัว “ผู้อาวุโสมาทำการใดที่นี่หรือ?”
“มาประลองกับทัศนาจารย์”
สตรีถือหอกกล่าวเฉยเมย
สายตาของนางจับจ้องตรงไปที่ถ้ำเสวียนจวินแล้ว “ข้าได้ยินมาว่าเขาแข็งแกร่งมากและเวียนวัฏกลับมา ข้าจึงอยากเห็นว่าเขาแข็งแกร่งเพียงไร”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย และกล่าวว่า “แค่… ต่อสู้หรือ?”
สตรีถือหอกดูจะสัมผัสได้ว่าบางอย่างผิดปกติ ดวงตาจึงหันมองซูอี้อีกครั้ง “ข้าแค่ชอบต่อสู้ จะมีเจตนาร้ายอันใดได้?”
ซูอี้ “…”
สตรีถือหอกออกคำสั่งเสียงเรียบ “ดูเหมือนเจ้าจะมาจากถ้ำเสวียนจวินนี้เช่นกัน งั้นข้าก็ไม่ประกาศตัวแล้ว เจ้าไปเรียกทัศนาจารย์ออกมา ต่อสู้เสร็จข้าก็จะจากไป แน่นอนว่า หากเขารับการโจมตีของข้าได้ ข้าก็ไม่ขัดหากจะรับเขาเป็นลูกน้องและปกป้องเขา”
ซูอี้อดถูหว่างคิ้วมิได้ “ไม่ต้องปกป้องหรอก หากเจ้าอยากสู้จริง ๆ งั้นข้าจะสู้กับเจ้าให้ถึงที่สุดเอง”
“เจ้าคือ… ทัศนาจารย์หรือ?”
สตรีถือหอกประหลาดใจ ดูเชื่อไม่ลง “การฝึกฝนของเจ้าไม่อ่อนแอไปหน่อยหรือ?”
ซูอี้ “…”
นี่ข้าถูกดูแคลนอยู่หรือ!?
………………..