บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1139: ทำใจแพ้ไม่ได้หรือ?
ตอนที่ 1139: ทำใจแพ้ไม่ได้หรือ?
พื้นดินยุบตัวจนเกิดเป็นหลุมใหญ่
ร่างของสตรีถือหอกถูกซูอี้กดลงกับพื้นอย่างแรง กระดูกของนางร้าวหัก อวัยวะภายในเหมือนจะเคลื่อนจากที่
เนื่องจากมีหน้ากากสำริดปิดบัง จึงไม่อาจเห็นสีหน้าของนางได้ชัดเจน มีเพียงดวงตาสีม่วงซึ่งฉายแววขัดข้องใจ
นางกัดฟัน แขนที่อยู่รอบคอซูอี้ออกแรง พยายามบีบคอของชายหนุ่มและหยุดการเคลื่อนไหวของเขา
ทว่าใครเล่าจะคิด ว่าการทำเช่นนี้จะเหมือนกดร่างซูอี้เข้าสู่อ้อมแขนของนาง
จุดบอดร้ายกาจยิ่งกว่าคือ แม้แขนขวาของซูอี้จะหัก แต่แขนซ้ายของเขาพาดผ่านอกของนาง ตรึงแขนข้างหนึ่งของนางอยู่
และเมื่อนางออกแรง แขนซ้ายของซูอี้พลันจมลึกเข้าในอกของนาง
“หือ?”
ดวงตาของซูอี้เบิกกว้างเมื่อสัมผัสถึงคลื่นความนุ่มนิ่ม
ทั้งสองแนบชิดดุจบิดเกลียว ใกล้กันสุดขั้ว ดวงตาสองคู่จ้องประสาน บรรยากาศพลันเงียบงันน่าพิศวง
ทว่าซูอี้หาได้มีจิตพิสมัยใด ๆ
ศึกที่ผ่านมาอันตรายป่าเถื่อน โหดร้ายละเลงโลหิต
ร่างของเขาบาดเจ็บ แขนขวาหัก เลือดโซมกาย
สตรีถือหอกเองแม้จะบาดเจ็บน้อยกว่าเขา แค่นางเองก็เต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ จมกองเลือดเฉกเช่นกัน
สถานการณ์เช่นนี้ สิ่งใดเล่าจะสวยงาม
ทว่า…
ต้องกล่าวว่าการกดร่างสตรีผู้ร้ายกาจสุดขีดเช่นนี้ไว้ใต้ร่าง ในใจซูอี้ก็ยังรู้สึกประหลาดใช่ย่อย
ทันใดนั้น แววตาของสตรีถือหอกก็วาวโรจน์ดุดัน สิบนิ้วดุจตะขอพุ่งเข้าใส่ลำคอของซูอี้
ซูอี้หาได้คิดมาก แขนซ้ายซึ่งทาบบนอกสตรีถือหอกพลันออกแรง พยายามยกตัวขึ้นหลบการโจมตี
สตรีถือหอกมีหรือจะปล่อยเขา ขาเรียวยาวอันยืดหยุ่นทั้งสองขัดกันดุจกรรไกร บิดขวางเอวของซูอี้และออกแรงกด
ตุ้บ!
ร่างของซูอี้ซึ่งเพิ่งยกขึ้นพลันฟาดลงมาบนร่างสตรีถือหอกอีกครั้ง
สตรีถือหอกอดส่งเสียงในลำคออย่างจุกเสียดมิได้ ร่างอรชรของนางกระตุกเล็กน้อย
ซูอี้สับสนนิด ๆ
ท่าทางเมื่อครู่… ดูจะ… ทะแม่ง ๆ ชอบกล?
หากมิใช่เพราะเกิดขึ้นผิดโอกาส คงเหมือนศึกบนเตียง…
ทว่า ซูอี้ไร้โอกาสได้ครุ่นคิด สตรีถือดาบดูอับอายกรุ่นโกรธอย่างเห็นได้ชัด จึงฟาดหลังมือใส่ตาของเขา
ขาทั้งสองของนางเกี่ยวเอวซูอี้ไว้ สองแขนยึดคอของเขาดุจปีศาจงู ร่างของนางเป็นดั่งเชือกพันธนาการร่างของซูอี้อย่างแนบแน่น
ขณะนี้ เมื่อเห็นว่านางพยายามเชือดตาของเขาอย่างดุเดือด ศีรษะของซูอี้ก้มลงโดยไม่รู้ตัว และขณะเดียวกัน เอวของเขาก็เกร็ง แขนซ้ายพุ่งขึ้นพยายามดิ้นรนหนี
ยามนี้ แม้เขาจะหลบมือซึ่งหมายควักตาของเขาไปได้ ทว่าก่อนจะทันได้ลุก เอวของเขาพลันถูกขาของคู่ต่อสู้ออกแรงบีบดึง ร่างของเขาล้มลงกระแทกสตรีถือดาบอีกครั้ง
ทันใดนั้น ดวงตาคู่งามของนางก็เบิกโพลง กล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “เจ้า… มิคาดคิดเลย…”
ซูอี้กล่าวอย่างจริงจัง “ข้าเองก็เป็นชาย ในความคิดข้า ศึกนี้ควรจบลงที่นี่ หาไม่ ดำเนินต่อเช่นนี้… เจ้าก็ว่าบางอย่างมันผิดแปลกมิใช่หรือ?”
เปรี้ยง!!
อึดใจต่อมา สตรีถือหอกก็หดแขนของนาง มือเนียนราวกับหยกของนางผลักร่างของซูอี้ออก จนเขาลอยกระเด็นไปไกล
ทันทีที่เขาตั้งหลักได้ สตรีถือหอกก็ออกจากหลุมลึก ร่างของนางเดือดพล่านด้วยจิตสังหารบ้าคลั่ง
ดวงตาสีม่วงจับจ้องซูอี้อย่างเย็นชาเคืองแค้น คมปลาบเยี่ยงอสนีบาต
ครืน!
ร่างของนางเรืองประกาย
ในพริบตา บาดแผลทั่วร่างของนางก็สมานกัน ผิวกายแหว่งวิ่นฟื้นกลับสู่สมบูรณ์ กระทั่งเลือดชโลมกายยังระเหยหายสิ้น
อำนาจทั่วร่างของนางแข็งแกร่งน่าหวาดหวั่น ฟ้าดินปั่นป่วนรุนแรง เผยเค้าลางคล้ายนภาใกล้ถล่มลงมา
หัวใจของซูอี้ตะลึงงัน
ยามสตรีผู้นี้ไม่ได้สะกดการฝึกฝนของตนอีกต่อไป อำนาจที่แสดงนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าอวตารวิถีของช่างเสื้อมากโข
กระทั่งอำนาจร้ายกาจแห่งกฎเกณฑ์ยังปรากฏขึ้นเหนือท้องนภา เห็นได้ชัดว่าอำนาจของสตรีถือหอกชักนำมันมา!
ทันใดนั้น ซูอี้ก็กล่าวขึ้น “ทำใจแพ้ไม่ได้หรือ?”
วาจาเลื่อนลอยแผ่วเบา ทว่ากลับทำให้สตรีถือหอกฟังแล้วนิ่งไป
แววตาของนางแปรเปลี่ยน บ้างเดือดดาลหมายสังหาร บ้างเย็นชาดุจน้ำแข็ง บ้างแค้นเคืองอับอาย…
ท้ายที่สุด นางก็เลือกสูดหายในลึก ๆ สะกดกลั้นจิตสังหารในใจ และอำนาจร้ายกาจซึ่งแทบระเบิดออกมาก็สลายไปดุจคลื่นตีกลับสู่สมุทร
ซูอี้ลอบถอนใจโล่งอก
หากสตรีถือหอกผู้นี้คิดโจมตีบ้าคลั่ง เขาคงต้องสู้ยิบตา
โชคดีที่ดูเหมือนว่า แม้สตรีผู้นี้จะแข็งแกร่งอหังการ ทว่าก็เป็นบุคคลรักษาคำพูด
“ศึกยังไม่จบ เจ้าฟื้นตัวก่อน เมื่อสมบูรณ์พร้อม เราจะต่อสู้กันอีก”
นางกล่าวพลางนั่งลงกับพื้น หลับตาทำสมาธิ
ซูอี้เปิดขวดหยกออก ฉับพลันนั้น แสงสีเงินก็ปรากฏขึ้นพร้อมกลิ่นสุคนธ์หอมชื่นใจโชยละล่อง
เพียงได้ดม จิตวิญญาณของซูอี้ก็ผ่อนคลาย พลังปราณซึ่งแทบเหือดหายเริ่มฟื้นตัวทีละน้อย!
เมื่อมองเข้าไปในขวดหยก เม็ดโอสถขาวกระจ่างไร้ตำหนิดุจหิมะปรากฏอยู่ภายใน นิมิตอัศจรรย์สะท้อนอยู่ในเม็ดโอสถ เหล่าปราชญ์ส่ายหัวร่ายตำรา นางเซียนร่ายระบำ สกุณาสัตว์ร้ายละล่องเหินเดินดินสบายอุรา…
ซูอี้อดอัศจรรย์ใจมิได้ “นี่มันโอสถใดกัน?”
“โอสถทิพย์อันหลอมโดยช่างหลอมยาในขอบเขตไร้ขีดจำกัด หากกังวลว่าจะมีพิษ จะไม่กินก็ได้นะ”
ดวงตาของสตรีถือหอกปิดสนิท ขณะกล่าววาจาเย็นชาเชือดเฉือน
ซูอี้ยิ้มอย่างอ่อนใจ สตรีผู้นี้โกรธอยู่อย่างเห็นได้ชัด วาจาของนางจึงได้เต็มไปด้วยโทสะเช่นนี้
เขาไม่ลังเลอีก จากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิ และกลืนเม็ดโอสถทิพย์ลงไป
ครืน!
บาดแผลของเขาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แขนขวาซึ่งหักสะบั้นราวท่อนไม้ตายของเขาซ่อมแซมกลับคืน
ดวงตาซึ่งหลับอยู่ของสตรีถือหอกปรือขึ้นเงียบ ๆ
ที่มาของนางเหนือธรรมดา ไม่ใช่บุคคลในยุคสมัยนี้ และด้วยวิถีเต๋าของนาง ตัวตนสูงสุดในขอบเขตราชันแห่งภูมิบางคนในโลกหล้ายังถูกเมินได้
ส่วนขอบเขตจักรพรรดินั้นมิได้อยู่ในสายตานางแสนนาน
ทว่านางไม่คาดเลยว่าเมื่อต่อกรในขอบเขตเดียวกัน นางจะได้พบกับคู่ประมือที่เหมาะสม!
ไม่คาดเลยว่าคู่ต่อสู้ผู้นี้ ไม่เพียงรอดสิบกระบวนท่าของนางได้ แต่ยังประมือกับนางอย่างเท่าเทียม จนเอาชนะได้ยาก
สตรีถือหอกอดสงสัยมิได้ว่าหากช่วงสุดท้าย นางไม่ถูกทำให้อับอายและการประลองดำเนินต่อ จะเกิดสิ่งใดขึ้น
แต่ท้ายที่สุด ก็มิอาจหาคำตอบอันแน่ชัด
จริงอยู่ที่นางสะกดการฝึกฝนของตนเอง หาได้กลัวความเป็นความตายไม่
แต่นางแน่ใจว่าคู่ต่อสู้เช่นนี้ต้องมีไพ่ตายในมือซึ่งนางมิอาจทราบได้
“เจ้าเฒ่าปลิ้นปล้อนผู้นั้นพูดจริงหรือ?”
สตรีถือหอกระลึกถึงคำพูดของช่างเสื้อขึ้นมาได้
ทัศนาจารย์ผู้นั้นเคยเรืองอำนาจเป็นหนึ่งในยุคสมัย หนึ่งดาบสยบจักรวาลพร่างดาวทั่วทศทิศ และครั้งหนึ่งยังเคยลั่นวาจา ว่าแม้จะมีเทพเซียนจากชั้นฟ้า ก็ต้องก้มหัวให้ยามพบกับเขา!
หากเป็นเช่นนั้นจริง ทุกสิ่งก็อธิบายได้
เพราะถึงอย่างไร การเวียนวัฏพร้อมประสบการณ์ในอดีตชาติย่อมสามารถแก้ไขความผิดพลาดในวิถีแห่งอดีต และค้นหาวิถีอันสูงส่งทรงพลังยิ่งขึ้นได้!
‘การเวียนวัฏสงสารคือเรื่องต้องห้าม มันได้หายสาบสูญไปจากกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ตั้งนานแล้ว กล่าวกันว่าเรื่องภายในเกี่ยวข้องกับ ‘พันธสัญญาทวยเทพ’ แต่ที่ภูมิดาราฟ้าดินนี้กลับมีร่องรอยการเวียนวัฏ และคนผู้หนึ่งที่ก้าวสู่วังวนวัฏสงสารโดยแท้จริง ช่างน่าเหลือเชื่อ…’
สตรีถือหอกกระซิบในใจ
ในสายตาผู้อื่น การเวียนวัฏเป็นเพียงตำนานเพ้อฝัน เป็นกฎมหาวิถีต้องห้าม
ทว่าสตรีถือหอกรู้ว่าเรื่องเบื้องหลังของการเวียนวัฏได้ซุกซ่อนความลับร้ายแรงมากมายเกินคาดเดาเอาไว้!
เนื้อหาพันธสัญญาไม่เป็นที่ล่วงรู้ ทว่าเชื่อกันว่าสร้างโดยเหล่าทวยเทพบรรพกาล!
ยามนี้ สตรีถือหอกพลันเกิดความสนอกสนใจลึกล้ำต่อภูมิดาราฟ้าดิน
สองสามชั่วยามต่อมา
ซูอี้ตื่นจากภวังค์สมาธิ บาดแผลทั้งหลายของเขาฟื้นตัวสมบูรณ์ กระทั่งการฝึกฝนของเขายังเลื่อนระดับ ขาดเพียงไม่มากก็จะสามารถเข้าสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นปลายได้แล้ว
ต้องทราบว่าเมื่อไม่นานมานี้ เขาเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นกลาง
ความเร็วนี้ช่างน่าทึ่ง!
ประการแรก ศึกอันดุเดือดที่กล่าวได้ว่าสมน้ำสมเนื้อนี้กระตุ้นศักยภาพของซูอี้ ขัดเกลาลับคมตัวเขาในศึกอย่างสุดขั้ว
ประการที่สอง โอสถซึ่งสตรีถือหอกให้เขานั้นพิสดารพันลึก แม้จะเป็นโอสถเยียวยา แต่อำนาจบริสุทธิ์ของมันเทียบได้กับการชำระร่างทั้งภายนอกและภายในของเขาให้บริสุทธิ์!
ซูอี้อดรำพึงไม่ได้ว่า นี่แหละหนาประโยชน์ของการต่อสู้
ซูอี้ลุกขึ้นจากพื้น เป็นฝ่ายเชิญต่อสู้เอง
สตรีถือหอกตะลึงไป ดวงตาสีม่วงลืมขึ้นพลางกล่าวอย่างแปลกใจ “ตลอดมา ข้ามักถูกมองเป็นหญิงบ้าผู้หมกหมุ่นการศึก ไม่คาดเลยว่าเจ้าเองก็ดูจะเป็นเช่นนั้น”
นางลุกจากพื้น ร่างอรชรสูงเกือบเทียบเท่าซูอี้ โดยเฉพาะเรียวขาคู่ยาวเนียนละเอียดดุจหยกอันสะดุดตา
“แม่ทัพทำศึกพบยอดคน เซียนหมากพบคู่ปรับ หากไม่วัดแพ้ชนะให้แน่ชัด จะนิ่งเฉยเลิกราได้เช่นไร?”
ซูอี้กล่าว
ดวงตาของสตรีถือหอกวูบไหว “อย่าห่วงเลย ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปจากภูมิดาราฟ้าดินในชั่วขณะนี้ และมีเรื่องที่อยากถามเจ้าด้วย”
ซูอี้ถาม “เรื่องใดหรือ?”
“การเวียนวัฏ”
สตรีถือหอกถามเรื่องการเวียนวัฏอย่างตรงไปตรงมา มิอ้ำอึ้งซ่อนประเด็นใด ๆ
ซูอี้หัวเราะกล่าว “สู้กันอีกสิ หากเจ้าชนะ ข้าจะบอกให้”
ดวงตาสีม่วงของสตรีถือหอกเรืองประกายเย็นชา ส่งเสียงรับ “เจ้าแน่ใจนะ?”
บรรยากาศตึงเครียดเปี่ยมเขม่าดินปืนอย่างเงียบงัน
ซูอี้นำไหสุราออกมากระดกดื่ม กล่าวพลางยิ้มน้อย ๆ “ถามเพียงว่าเจ้ากล้าหรือไม่?”
“กล้าหรือไม่?”
สตรีถือหอกกระซิบราวถูกยั่วยุร้ายแรง
ดวงตาสีม่วงคมปลาบ ไร้วาจาเยิ่นเย้อ แขนขวาของนางพุ่งชกดุจหอก หมัดขาวเช่นหิมะดุจคมหอกฟาดฟันสู่เวหา
………………..