บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 114 หากไม่ล้างแค้น จะกลายเป็นเพียงบิดาที่ไร้ค่า
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 114 หากไม่ล้างแค้น จะกลายเป็นเพียงบิดาที่ไร้ค่า
ฉินเหวินเยวียนอายุเกือบห้าสิบปีแล้ว แต่ยังดูอ่อนเยาว์มาก
เขานั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยท่าทีสบาย แต่งกายเสื้อคลุมหรูหรา ดูสง่างามและทรงอำนาจ
เมื่อฉินเฟิงคุกเข่าลงบนพื้นเบื้องหน้า เขาก็ละทิ้งความโกรธไปหมดแล้ว ท่าทีของฉินเหวินเยวียนดูสงบนิ่งไม่แปรเปลี่ยน ขณะเล่นกับหยกแกะสลักสีขาวในมือ
เพียงแต่หลังของเขาเหยียดตรง ดูสง่าผ่าเผยอย่างล้นพ้น
“ท่านพ่อ โปรดตัดสินใจให้ลูกด้วย!” ฉินเฟิงก้มศีรษะลงพื้น
“พูดจบแล้วหรือ?” ฉินเหวินเยวียนกล่าวถ้อยคำถามไร้อารมณ์
น้ำเสียงกังวานราวฟ้าคะนอง แววตาลุ่มลึกยากหยั่งคาด เปี่ยมล้นด้วยคุณสมบัติของผู้บัญชาการ!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฉินเหวินเยวียนผู้ว่าเขตปกครองอวิ๋นเหอซึ่งดูแลนครสิบเก้าแห่งนั้นห่างไกลจากความธรรมดา หาผู้ใดเทียบเคียงยากยิ่ง
ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นบิดา หัวใจเย็นเยือกอย่างไม่อาจอธิบายได้ ความคับข้องใจก่อนหน้าเหือดหายสิ้น
ฉินเหวินเยวียนลูบหยกขาวในมือ น้ำเสียงราบเรียบกล่าวออก “มันเป็นความผิดข้าที่ใช้เวลาไปกับงานเล็กน้อยหลากหลายในช่วงหลายปีให้หลังนี้ จึงได้ละเลยที่จะสั่งสอนบุตรชาย ทำให้เจ้าไร้ความอดทน เต็มไปด้วยความยโสโอหัง จนกระดูกของเจ้านุ่มยิ่งกว่าโคลน”
ร่างกายฉินเฟิงสั่นเทา ถ้อยคำกล่าวตอบ “ท่านพ่อ เรื่องราวค่ำคืนนี้ไม่ใช่ความผิดของข้าเลย แต่…”
ตูม!
หยกขาวในมือฉินเหวินเยวียนกระแทกลงพื้นเบื้องหน้าฉินเฟิง ก่อนที่มันจะแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ขณะชิ้นส่วนที่แตกของหยกกระเด็นใส่ใบหน้าของฉินเฟิง
เขาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ขณะมองผู้เป็นบิดาด้วยสายตาว่างเปล่า
ท่าทีของฉินเหวินเยวียนยังคงสงบนิ่งเหมือนก่อนหน้า น้ำเสียงราบเรียบกล่าวออก “ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกลียดคนที่คิดหาข้อแก้ตัวเพื่อพิสูจน์ตัวเองมากที่สุด ในฐานะบุตรชายของฉินเหวินเยวียน การกระทำของเจ้าทำให้ข้าผิดหวังอย่างแท้จริง”
ฉินเฟิงตื่นตระหนก
“ลืมเสีย อย่างไรข้าผู้เป็นบิดาได้ละเลยที่จะสั่งสอนเจ้า ดังนั้นวันนี้ข้าจะไม่ดุด่าหรือลงโทษอีกต่อไป”
ฉินเหวินเยวียนขมวดคิ้วมุ่นพลางถอนหายใจ สีหน้าเผยความสงสาร
เสือแม้จะร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง*[1] ไม่ต้องพูดถึงลูกชายที่อยู่เบื้องหน้า แม้จะไม่เอาไหนเพียงใด ทว่าเขาก็เป็นเมล็ดพันธุ์ของฉินเหวินเยวียน
“ท่านพ่อ… ข้าทำผิดไปแล้ว!” ฉินเฟิงก้มหน้าลงพื้น ถ้อยคำขมขื่นกล่าวออก “คืนนี้ข้าเป็นคนทำให้ท่านต้องอับอาย!”
ฉินเหวินเยวียนโบกมือ “ลุกขึ้น”
กระทั่งฉินเฟิงลุกขึ้น ดวงตาลุ่มลึกจ้องมอง ถ้อยคำเบากล่าวออก “เฟิงเอ๋อร์ เจ้าต้องจำไว้ให้ดี ในโลกนี้ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจ ตราบใดที่ชนะ เจ้าจะเป็นฝ่ายถูก แต่หากแพ้ เจ้าจะเป็นฝ่ายผิดทันที”
“สิ่งนี้เรียกว่าชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร”
พูดถึงเรื่องนี้ สายตาของฉินเหวินเยวียนฉายแววเย็นชา “ค่ำคืนนี้ เจ้าต้องทำความเข้าใจสองสิ่งเท่านั้น”
ฉินเฟิงรีบกล่าวออก “ท่านพ่อโปรดชี้แนะข้า”
“ประการแรก หากหนี้แค้นนี้ไม่ได้รับการชำระ เราสองพ่อลูกจะต้องอับอายขายหน้า หนำซ้ำการตายขององครักษ์ทั้งหกแห่งจวนผู้ว่าจะทำให้ขวัญกำลังใจของเหล่าบ่าวไพร่สั่นคลอน”
“ประการที่สอง ชายหนุ่มสกุลซูทราบถึงตัวตนของเจ้าดี แล้วยังกล้าฆ่าคนอย่างอุกอาจ เขาต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่างให้พึ่งพา เจ้าไม่สามารถล้างแค้นได้ ตราบใดที่ยังไม่ทราบถึงที่มาของอีกฝ่าย”
ฉินเหวินเยวียนมองตรงไปยังดวงตาฉินเฟิงผู้เป็นบุตรชาย ถ้อยคำกล่าวออก “แผนต้องดีก่อน จากนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใด ทุกอย่างจึงสะดวกขึ้น”
ฉินเฟิงดีใจมาก เขาจะไม่เข้าใจความหมายของถ้อยคำเหล่านี้ได้อย่างไร ว่าพ่อของตนตัดสินใจแก้แค้นให้เขา?
เขาสูดหายใจเข้าลึก กล่าวตอบออกไป “ท่านพ่อ ลูกเข้าใจแล้ว สืบหาเรื่องราวของบุคคลผู้นี้ก่อน แล้วจึงเลือกโอกาสลงมือ!”
“ไม่เลว”
ฉินเหวินเยวียนพยักหน้าพลางกล่าวออก “การระมัดระวังไม่ใช่สิ่งเลวร้าย มันจะทำให้เรามีโอกาสชนะมากขึ้นเมื่อต้องการล้างแค้น”
สิ้นเสียง ดูเหมือนเขาจะขี้เกียจเกินกว่าจะพูดสิ่งใดอีก จึงกล่าวออก “เจ้าไปได้แล้ว อย่าก้าวออกจากบ้านจนกว่าจะถึงเวลาล้างแค้น”
ฉินเฟิงลังเลครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “ท่านพ่อ เมื่อตัดสินใจลงมือ ช่วยพาลูกไปด้วยได้หรือไม่?”
ฉินเหวินเยวียนพยักหน้ากล่าวตอบ “ได้”
ฉินเฟิงรู้สึกตื่นเต้นมาก จากนั้นจึงหันหลังกลับเพื่อจากไป
“ข้าหวังว่าบทเรียนนี้จะช่วยเจ้าเติบโตขึ้น…” ฉินเหวินเยวียนถอนหายใจแผ่วเบา
เมื่อเหลือเขาเพียงคนเดียว คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันอย่างจนใจ
บิดาพยัคฆ์ย่อมไม่มีบุตรสุนัข*[2] แต่เห็นได้ชัดว่าลูกชายของเขา… ฉินเฟิงล้าหลังเกินไป
“เข้ามา”
หลังจากสงบสติอารมณ์ ท่าทีของฉินเหวินเยวียนก็กลับมาสุขุมอีกครั้ง
“นายท่าน” ชายชราในชุดดำเดินเข้ามาอย่างเงียบงัน
“ไปค้นหาตัวตนของชายหนุ่มสกุลซู รวมถึงการเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของเขา ผู้คนที่เขาติดต่อ และสิ่งที่เขาทำ จงขุดคุ้ยมาให้ข้าทั้งหมด”
ฉินเหวินเยวียนขมวดคิ้วครุ่นคิด “ก่อนจะได้ทราบเรื่องราว อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะหนีไปจากมหานครอวิ๋นเหอเสียก่อน”
“ขอรับ” ชายชราตอบรับเสียงเบา
“อีกอย่าง จงส่งคนออกไปเก็บกวาดเหตุการณ์ในคืนนี้ ห้ามมิให้ผู้รู้เห็นแพร่งพรายเหตุการณ์ออกไปทั่วทั้งเมือง ชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของจวนผู้ว่าไม่อาจทนต่อการหยามเช่นนี้ได้”
“ขอรับ”
“และ…”
กล่าวเช่นนั้น ฉินเหวินเยวียนขมวดคิ้วมุ่น ในที่สุดก็เผยท่าทีคล้ายกับตัดสินใจได้ “ข้าจะกักขังโหรวหรงไว้ก่อน”
โหรวหรง!
นามของผู้เป็นป้าหวงเฉียนจวิน แน่นอนว่านางยังเป็นอนุภรรยาคนโปรดของฉินเหวินเยวียน
“นายท่าน นี่ดูจะไม่จำเป็นเลยนะขอรับ?” ชายชราชุดดำกล่าวคำเบา
ฉินเหวินเยวียนตอบกลับเฉยเมย “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหวงเฉียนจวินด้วย หากโหรวหรงทราบว่าข้ากำลังคิดล้างแค้นสหายของหวงเฉียนจวิน คราวนี้นางจะต้องมาหาข้าเพื่อร้องขออย่างแน่นอน ดังนั้นเป็นการดีกว่าที่จะยับยั้งความเป็นไปได้นี้โดยเร็วที่สุด”
สิ้นเสียง เขาสูดหายใจเข้าลึก แสงเย็นเยียบฉายผ่านดวงตาทั้งสอง “หากอยู่ในโลกนี้และไม่อาจปกป้องลูกชายของตนเองได้ ข้าจะกลายเป็นเพียงบิดาที่ไร้ประโยชน์!”
น้ำเสียงกังวานดั่งคมดาบกระทบทองคำ พร้อมจิตสังหารอันท่วมท้น
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
ภายในเรือนเงียบสุขสงบ หลังจากซูอี้รับประทานอาหารเช้า เขาก็เดินตรงกลับไปยังห้องตัวเอง
ชายหนุ่มต้องการสร้างป้ายค่ายกล
อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องแน่ใจว่าเมื่อตัวเองไม่อยู่ เขาจะสามารถปกป้องเฝิงเสี่ยวเฟิง เฝิงเสี่ยวหราน และหวงเฉียนจวินได้
จนถึงเวลาพลบค่ำ
ภายในห้อง ซูอี้มองดูแผ่นป้ายสิบแปดแผ่นขนาดเท่าฝ่ามือเบื้องหน้าที่เขาเพิ่งสร้างเสร็จ ก่อนที่จะเผยท่าทีผ่อนคลายอย่างอดไม่ได้
แผ่นป้ายค่ายกลแต่ละแผ่นมีรูปร่างคล้ายกล่องเข็มทิศทรงกลม ซึ่งหล่อจากวัตถุวิญญาณ จากนั้นก็แกะสลักอักขระอย่างประณีต
“ยังโชคดีที่ข้าอยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณ ไม่เช่นนั้นอาจต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะหลอมสิ่งเล็กน้อยนี้ได้…”
ซูอี้ครุ่นคิดกับตัวเอง
เมื่อวานนี้ เขาเริ่มฝึกฝนขั้นหนึ่ง ‘เบิกปัญญา’ ในระดับต้นของขอบเขตรวบรวมลมปราณ
ด้วยรากฐานอันมั่นคงในขอบเขตโคจรโลหิต ทำให้เขาสามารถเปิด ‘หนึ่งร้อยแปดจุดเบิกวิญญาณ’ ทั้งหมดภายในไม่ถึงสองชั่วยาม
สาเหตุที่กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาสั้นและไร้การสะดุดตั้งแต่ต้นจนจบเป็นเพราะ…
หนึ่งคือมีรากฐานที่แข็งแกร่งเพียงพอ สองคือเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องเป็นเคล็ดวิชาที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับการสร้างรากฐาน รวมทั้งเขายังมีเคล็ดวิชาลับในการขัดเกลาจุดเบิกวิญญาณที่นับได้ว่ายอดเยี่ยมมากที่สุดในโลกหล้า
ทั้งหมดนี้ทำให้ระดับการบ่มเพาะของซูอี้พัฒนามาถึงขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นต้นได้อย่างง่ายดาย
“หากเปลี่ยนเป็นผู้บ่มเพาะคนอื่น เกรงว่าคงไม่น่าเชื่อเลยใช่หรือไม่?” ซูอี้กล่าวพึมพำกับตนเอง
เท่าที่เขารู้ ตัวตนขอบเขตรวบรวมลมปราณในดินแดนต้าโจว หนึ่งร้อยแปดจุดเบิกวิญญาณ ผู้ที่สามารถเปิดได้ถึงครึ่ง เรียกได้ว่าแทบเป็นหนึ่งในพัน
และมากกว่าครึ่งในจำนวนเหล่านั้นล้วนเป็นศิษย์ของมหาอำนาจ เช่น ตำหนักยุทธ์ทั้งสิบแห่ง ตระกูลระดับชั้นนำในเขตปกครองต่าง ๆ เป็นต้น
และผู้ที่เปิด ‘หนึ่งร้อยแปดจุดเบิกวิญญาณ’ ได้ครบทั้งหมด แทบเป็นดั่งตำนาน!
หาใช่เพราะไร้พรสวรรค์ แต่ในโลกนี้ขาดแคลนปราณวิญญาณและเคล็ดวิชาที่เลิศล้ำ แม้จะเป็นในกลุ่มคนระดับสูงสุด ทว่าแทบไม่มีกลุ่มใดเลยที่มีวิธีการเปิดจุดเบิกวิญญาณได้หนึ่งร้อยแปดจุดอย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย
ว่ากันว่าศิษย์ของมหาอำนาจบางคน พวกเขาจะใช้เวลาฝึกฝนอยู่หลายปี ถึงจะสามารถประสบความสำเร็จในการเปิดจุดเบิกวิญญาณจนครบหนึ่งร้อยแปดจุด
แน่นอนว่า ราคาที่จ่ายไปนั้นต้องใช้เวลาและความพยายามนานหลายปี แต่สุดท้ายก็อาจไม่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
ในขณะที่ซูอี้ได้เปิดหนึ่งร้อยแปดจุดเบิกวิญญาณในชั่วข้ามคืน ซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
นี่ยังหมายความว่า แม้เขาจะเพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นต้น ทว่ารากฐานของเขาเหนือกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเดียวกันมาก
จึงเพียงพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้ในโลกหล้า!
แต่สำหรับซูอี้ การสำเร็จขั้นตอนนี้ไม่มีความหมายใด
หากวัดตามมาตรฐานของเก้ามหาแดนดิน แม้ความสำเร็จดังกล่าวจะน่าทึ่ง แต่ศิษย์เอกสำนักชั้นนำก็สามารถบรรลุขั้นตอนนี้ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
เป้าหมายของซูอี้นั้นแสนเรียบง่าย เขาจะฝึกฝนโดยการหล่อเลี้ยงจุดเบิกวิญญาณทั้งหนึ่งร้อยแปดจุด จนกระทั่งบรรลุถึงจุดที่เรียกว่า ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ ให้ได้!
ในเวลานั้น จุดเบิกวิญญาณแต่ละจุดจะเป็นเสมือนดินแดนขนาดเล็ก นิมิตอัศจรรย์ก่อกำเนิด ซึ่งเชื่อมต่อพลังฟ้าดิน ส่องสว่างหนทางอันยิ่งใหญ่
ความสำเร็จหนทางวิถียุทธ์ดังกล่าว แม้จะอยู่ในเก้ามหาแดนดิน ก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหมื่น ยากที่ผู้ใดจะเทียบเทียม!
เขาหยิบแผ่นป้ายค่ายกลขึ้นมา และเดินออกจากห้อง
เขาเริ่มจัดวางแผ่นป้ายค่ายกลโดยการฝังไว้ในพื้นที่ที่แตกต่างกันของเรือนเงียบสุขสงบ
ข้างใต้แผ่นป้ายแต่ละแผ่น มีศิลาวิญญาณสิบก้อนวางอยู่
ในโลกที่ไร้ซึ่งปราณวิญญาณอยู่ใต้ดิน หากต้องการวางค่ายกลขนาดใหญ่ จำเป็นต้องขอยืมพลังจากศิลาวิญญาณเท่านั้น
โชคดีที่ครั้งนี้ซูอี้ไม่ได้ตั้งใจให้ ‘ค่ายกลแปดธารคีรีรกร้าง’ แสดงอำนาจออกเต็มสิบส่วน ภัยคุกคามขณะนี้แค่พึ่งพาอำนาจมันเพียงหนึ่งในสิบส่วนก็พอ ซึ่งใช้เพียงแค่ศิลาวิญญาณก็สามารถรักษาการทำงานของค่ายกลทั้งหมดได้
“แม้พลังจะยังห่างไกลจากอำนาจอันที่แท้จริงของมันที่สามารถบดขยี้ขุนเขาหรือต้มน้ำทะเลจนเดือด แต่เท่านี้ก็เพียงพอที่จะกักขังและสังหารปรมาจารย์วิถียุทธ์ให้ตกตายได้…”
ซูออี้ตรวจสอบอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ก่อนพยักหน้า
“ศิษย์พี่ซู ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”
ไม่ไกลกันนัก เฝิงเสี่ยวหรานผลักรถเข็นของเฝิงเสี่ยวเฟิงเข้ามา
“เตรียมการ”
สิ้นเสียง ซูอี้ยื่นแผ่นหยกให้เฝิงเสี่ยวเฟิงพลางกล่าวออก “ศิษย์น้องเฟิง ดูแลแผ่นหยกนี้ให้ดี เมื่อใดที่ข้าไม่อยู่ หากมีศัตรูเข้ามาโจมตี เจ้าจงบดขยี้มันให้แตก”
ลวดลายอักขระถูกวาดลงบนแผ่นหยก และภายในของมันสถิตด้วยปราณวิญญาณจากศิลาวิญญาณระดับสอง
เมื่อทำให้มันแตก พลังภายในจะระเบิดออก และปลุกค่ายกลขนาดใหญ่ที่ฝังไว้รอบตัวบ้านเพื่อจัดการศัตรู
“จำไว้ว่า อย่าใช้มันหากไม่ใช่เรื่องร้ายแรงถึงความเป็นความตาย หลังใช้มันแล้ว เพียงซ่อนตัวอยู่ในโถงใหญ่และอย่าข้ามธรณีประตูออกมา” ซูอี้กล่าวเตือนอย่างจริงจัง
เฝิงเสี่ยวเฟิงไม่เคยใช้สิ่งใดที่เหมือนเช่นนี้มาก่อน เขาจึงกังวลไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม แม้นึกสงสัยอยู่ในใจ เขาก็พยักหน้ารับอย่างจริงจัง โดยถือว่าเป็นไพ่ตายที่ซูอี้ทิ้งไว้
รับชมภาพนี้ ซูอี้จึงเผยยิ้มและหันมองขอบฟ้าอันไกลโพ้น
“หลังจากความคับข้องใจในอดีตทั้งหลายได้รับการแก้ไขในวันพรุ่งนี้ อันตรายที่ซ่อนเร้นทั้งหมดจะได้รับการแก้ไขเช่นกัน จากนั้นก็ไม่สายเกินไปที่จะไปพบหลิงเสวี่ยที่สำนักดาบชิงเหอ”
ยามอาทิตย์อัสดง เมื่อมองดูพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าในระยะไกล ซูอี้พลันละทิ้งความคิดเรื่องการพบเจอกับเหวินหลิงเสวี่ย
เขาไม่ต้องการนำภัยอันตรายไปถึงนาง
แม้จะไม่เกรงกลัวผู้ใดในมหานครอวิ๋นเหอ ทว่าหากศัตรูใช้เหวินหลิงเสวี่ยเป็นเครื่องมือทำสิ่งอันน่ารังเกียจ เขาก็ไม่อาจป้องกันได้
คงดีกว่าที่จะไม่พบเจอกันชั่วขณะหนึ่ง
[1] เสือแม้จะร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง หมายถึง คนเราไม่ว่าเหี้ยมโหดแค่ไหนก็จะไม่ทำร้ายลูกของตนเอง
[2] บิดาพยัคฆ์ย่อมไม่มีบุตรสุนัข หมายถึง หากพ่อมีความสามารถยอดเยี่ยม ลูกก็ต้องมีความสามารถยอดเยี่ยมเหมือนพ่อ